รวม 3 ข่าวประจำวันที่ 25 มีนาคม 2565

ข่าวที่ 1สุชัชวีร์เสนอนโยบายชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ประกาศไม่นั่งเซ็นแฟ้ม แต่ขอทำงานเคียงข้างคนกรุงเทพฯ
.
วันนี้ (25 มีนาคม) สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) และผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ทั้ง 50 เขต สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จัดงาน 1,000,000 ก้าว #เราทำได้ เพื่อนำเสนอนโยบาย ‘เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้’
.
สุชัชวีร์ขึ้นมานำเสนอนโยบาย ‘เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้’ โดยกล่าวว่า จากวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ที่ได้ประกาศตัวลงสมัคร พร้อมกับประกาศวิสัยทัศน์ ‘กรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัย ต้นแบบอาเซียน’ จากวันนั้นถึงวันนี้ตนและทีมงานได้ลงพื้นที่ครบ 50 เขต และก้าวเดินไปมากกว่า 1 ล้านก้าวแล้ว แม้จะมีก้าวพลาดไปบ้าง สะดุดไปบ้าง บางคนหกล้ม ตนขาพลิก ถ้าได้เป็นผู้ว่าฯ เมื่อไร จะไปเอาคืน ทำให้ดีเลย
.
“50 เขต 1 ล้านก้าว นอกจากได้เห็นภาพสะเทือนใจ ได้เห็นปัญหาหนักหนาสาหัส แต่ก็ทำให้ได้เห็นว่ากรุงเทพฯ ยังมีความหวัง มีพลังว่าเป็นกรุงเทพฯ เราทำได้ และเราที่ว่าหมายถึงตัวผู้ว่าฯ บุคลากรเจ้าหน้าที่ กทม. และประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกันทำงานเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ” สุชัชวีร์กล่าว
.
สุชัชวีร์นำเสนอวิสัยทัศน์ ‘กรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัย ต้นแบบอาเซียน’ พร้อมกับเสนอนโยบายหลัก 2 ด้าน คือ เปลี่ยนชีวิตคน-เปลี่ยนเมือง ที่เป็นนโยบายหลักที่ผ่านการคิดและกลั่นกรองร่วมกับทีมงานที่มีความรู้และประสบการณ์อย่างแท้จริง ทั้งที่เป็นคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยและคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศจำนวนมาก
.
นโยบายเปลี่ยนชีวิตคนกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ
.
เงินเต็มบ้าน งานเต็มมือ
จัดทำกองทุนเพื่อการจ้างงานชุมชน สร้างอาชีพ สร้างโอกาส เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในฐานราก
คนกรุงเทพฯ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตฟรี เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นรากฐานความเท่าเทียม ด้วยการติดตั้ง 150,000 จุดทั่วกรุงเทพฯ ความเร็ว 1,000 MB เพื่อให้เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
12 เทศกาลใหญ่ 50 เทศกาลเขต จัดเทศกาลระดับโลก 12 เทศกาลตลอดทั้งปี และเทศกาลเขต 50 ครั้ง ใน 50 สัปดาห์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สร้างรายได้ในทุกพื้นที่
.
หมอมี สาธารณสุขดีและใกล้บ้าน
เพิ่มอุปกรณ์การแพทย์ทันสมัย ศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน
ศูนย์สาธารณสุขมีแพทย์เฉพาะทาง 3 วันต่อสัปดาห์
ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทันสมัย
.
โรงเรียนดีและใกล้บ้าน
50 เขต 50 โรงเรียนต้นแบบ
เรียน 3 ภาษา สนับสนุนดนตรี กีฬา และวิชาอนาคต
อาหารดี มีคุณภาพ
.
ส่วนนโยบายเปลี่ยนเมืองประกอบด้วย
.
แก้ปัญหาจราจรเบ็ดเสร็จ
แก้รถติดด้วยคอมพิวเตอร์ AI
ขอคืนผิวทางจราจรทำทางเท้าได้มาตรฐานสากล
บังคับใช้กฎจราจรเข้มข้นและเท่าเทียม
สร้างทางจักรยานลอยฟ้า
.
แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำเน่า น้ำหนุน และซ้ำซาก
แก้น้ำท่วมด้วยแก้มลิงใต้ดิน แก้ปัญหาน้ำรอระบาย ด้วยการเพิ่มพื้นที่แก้มลิงใต้ดินบริเวณสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เมื่อฝนตกน้ำฝนจะระบายไปกักเก็บในแก้มลิงใต้ดิน ลดปริมาณน้ำบนพื้นผิวถนนทันที และสูบออกหลังฝนหยุด
ใช้ปั๊มไฟฟ้าและประตูระบายน้ำอัตโนมัติ
เริ่มโครงการป้องกันน้ำทะเลหนุนแม่น้ำเจ้าพระยา
.
เปลี่ยนเมืองให้ปลอดภัยและน่าอยู่
จัดการอาคารก่อสร้างไร้ความรับผิดชอบ
ประกาศสงครามกับฝุ่นพิษ PM2.5
ปฏิวัติระบบจัดเก็บขยะ ทั้งวิธีการและระบบคัดแยกขยะ จัดเก็บให้ทันเวลา ไม่ให้ขยะตกค้าง
สร้างสวนสาธารณะฉบับกระเป๋า
.
“ผู้ว่าฯ กทม. มีเวลาเพียง 4 ปี ถ้าไม่โฟกัส ไม่มีหลักยึด 4 ปีแป๊บเดียว ทำให้กรุงเทพฯ เสียโอกาสมากมาย นโยบายของเราต้องโฟกัสในการเปลี่ยนชีวิตคนและเปลี่ยนเมือง ผมอยากขอบคุณพี่น้องประชาชนทั้ง 50 เขต ที่ผมและทีมงานเดินมามากกว่า 1 ล้านก้าว ผมขอบคุณที่ท่านได้พาผมไปเห็นปัญหาและให้โอกาสผมได้เรียนรู้จากท่าน ผมจะเป็นผู้ว่าฯ ของคนกรุงเทพฯ ทุกคน ขอบคุณเจ้าหน้าที่ กทม. ที่เล่าความจริงให้ฟัง ขอบคุณเจ้าหน้าที่สำนักระบายน้ำทุกคน เจ้าหน้าที่โยธา ที่เล่าความจริงให้ผมได้เห็น ให้ผมได้สัมผัส
.
“ผมตั้งใจว่าจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่จะไม่นั่งเซ็นแฟ้มติดที่ดินแดง แต่จะต่อสู้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าหน้าที่คน กทม. ทุกระดับ ผมจะทวงศักดิ์ศรีของเจ้าหน้าที่ กทม. ทุกคน ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ กทม. ทำงานเต็มที่ และสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ใน 4 ปีนี้” สุชัชวีร์กล่าวในที่สุด


ข่าวที่ 2 
UPDATE: สหรัฐฯ ประกาศเป้าจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลวแก่ EU เพิ่ม 1.5 หมื่นล้าน ลบ.ม. ในปีนี้ หวังลดการพึ่งพารัสเซีย เยอรมนีระบุกำลังลดการซื้อพลังงานรัสเซียเช่นกัน
.
วันนี้ (25 มีนาคม) สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) ประกาศจัดตั้งคณะทำงานเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลจากรัสเซียของ EU และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของยุโรป โดยในความริเริ่มดังกล่าว สหรัฐฯ จะทำงานร่วมกับหุ้นส่วนต่างๆ เพื่อมุ่งมั่นจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้แก่ EU เพิ่มเติมอย่างน้อย 1.5 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรภายในสิ้นปีนี้ และเป้าหมายระยะยาวคือการทำให้มั่นใจว่าจะมีก๊าซจากสหรัฐฯ เพิ่มเติมประมาณ 5 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจนถึงปี 2030 เป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ คณะทำงานยังมีเป้าหมายลดความต้องการใช้งานก๊าซธรรมชาติลงผ่านวิธีการต่างๆ
.
ในปัจจุบัน รัสเซียเป็นผู้จัดหาก๊าซให้กับ EU คิดเป็นราวร้อยละ 40 ของความต้องการของ EU และการบุกยูเครนของรัสเซียทำให้ก่อนหน้านี้ EU ออกมาประกาศว่า จะตัดการใช้ก๊าซจากรัสเซียลงสองในสามในปีนี้ โดยจะเพิ่มการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
.
ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการประกาศออกมาในวันนี้ ระหว่างการเยือนกรุงบรัสเซลส์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เป็นเวลา 3 วัน โดยไบเดน และ อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน และการเสนอความช่วยเหลือแก่ยูเครน
.
“คณะทำงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานนี้ จะมีตัวแทนจากทำเนียบขาว และตัวแทนของประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นประธาน” แถลงการณ์ระบุ
.
ขณะที่ฝั่งเยอรมนีระบุในวันนี้เช่นกันว่า เยอรมนีกำลังลดการซื้อพลังงานจากรัสเซียอย่างมาก ท่ามกลางการรุกรานยูเครนของรัสเซียที่กำลังเกิดขึ้น โดยการนำเข้าน้ำมันจะถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่งในเดือนมิถุนายน และการส่งมอบถ่านหินจะยุติลงภายในฤดูใบไม้ร่วง
.
โดย โรเบิร์ต ฮาเบค รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเยอรมนีระบุว่า จากเสียงเรียกร้องให้มีการแบนการค้าด้านพลังงานที่ดังขึ้น บริษัทต่างๆ ที่มีผู้จัดหาจากรัสเซียกำลังปล่อยให้สัญญาสิ้นสุดลง และกำลังหันไปหาผู้จัดหารายอื่นๆ ‘ด้วยความเร็วอันบ้าคลั่ง’ และการเปลี่ยนแปลงในด้านสัญญานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉ​พาะน้ำมัน แต่ยังเกิดขึ้นกับถ่านหินด้วย
.
แต่ทว่าสำหรับก๊าซนั้น ฮาเบคเน้นย้ำว่าเรื่องของการนำเข้าก๊าซ ‘ซับซ้อนกว่ามาก’ และเยอรมนีก็คาดว่าจะสามารถยุติการส่งมอบก๊าซจากรัสเซียโดยส่วนใหญ่ได้ในกลางปี 2024 เท่านั้น
.
อนึ่ง ก่อนรัสเซียจะรุกรานยูเครน หนึ่งในสามของการนำเข้าน้ำมันของเยอรมนี ตลอดจนร้อยละ 45 ของการซื้อถ่านหินของเยอรมนี และร้อยละ 55 ของการนำเข้าก๊าซของเยอรมนีล้วนมาจากรัสเซีย
.

ข่าวที่ 3
สสส. เปิดรายงานปี 63 เผยอุบัติเหตุทางถนนคร่าชีวิตคนไทยชั่วโมงละ 2 คน แม้ภาพรวมลดลง แต่ความสูญเสียยังอยู่ในระดับสูง
.
วันนี้ (25 มีนาคม) นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ประธานแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ข้อมูลรายงานสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนประเทศไทย ฉบับที่ 6 ปี 2563 แม้แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวมจะลดลง แต่การสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ระดับสูง คือ มีคนตายถึง 17,831 คน คิดเป็น 27.2 ต่อแสนประชากร หรือ 49 คนต่อวัน หรือชั่วโมงละ 2 คน ที่น่าสังเกตคือ กลุ่มอายุ 16-30 ปี เป็นกลุ่มช่วงอายุที่เสียชีวิตสูงสุด แต่ในปัจจุบันมีสัดส่วนเริ่มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่กลุ่มอายุ 46-60 ปี และกลุ่มที่อายุมากกว่า 60 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
.
“แม้ 70% ของอุบัติเหตุทางถนนจะเกิดในกลุ่มอายุ 16-60 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยทำงาน แต่ที่เกิดกับผู้สูงอายุพบว่าเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประเทศไทย ที่สำคัญผู้สูงอายุเมื่อได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอายุน้อยถึง 10 เท่า ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดกับผู้สูงอายุ ด้วยความเข้าใจว่าเกิดขึ้นไม่มาก แต่จากข้อมูลล่าสุดทำให้เราจะต้องกลับมาพิจารณาและให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุกับผู้สูงวัยอย่างจริงจังมากขึ้น” นพ.วิทยากล่าว
.
นพ.วิทยาระบุต่อไปว่า ส่วนใหญ่ของผู้เสียชีวิตยังคงเป็นคนขับขี่ด้วยรถจักรยานยนต์ คิดเป็น 74% ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั้งหมด และเป็นเช่นนี้มานานนับสิบปีแล้ว โดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ได้รายงานในปี 2564 ไว้ว่า หากคนขี่และคนซ้อนรถจักรยานยนต์ทุกคนในประเทศไทยใส่หมวกกันน็อก 100% การเสียชีวิตในภาพรวมจะลดลง 36% ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงถึง 5,000 คนในปีนั้น แต่ถ้าเรายังใช้วิธีการเดิมๆ ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ คงไม่สามารถรณรงค์ให้คนขับขี่รถจักรยานยนต์หันมาสวมหมวกกันน็อกได้ทั้ง 100% สิ่งนี้จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องคิดหาวิธีการใหม่ในการแก้ปัญหานี้
.
ด้าน รศ.ดร.ปรีดา จาตุรพงศ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เผยว่า จากรายงานฉบับที่ 6 ปี 2563 พบว่า 10 จังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตต่อแสนประชากรสูงสุด ได้แก่ ระยอง, นครนายก, จันทบุรี, ชลบุรี, ชัยนาท, ปราจีนบุรี, สระบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ลำพูน และสุพรรณบุรี
.
ขณะที่ 10 จังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตต่อแสนประชากรต่ำสุด ได้แก่ อำนาจเจริญ, ยะลา, กรุงเทพมหานคร, สตูล, ปัตตานี, นราธิวาส, แม่ฮ่องสอน, สมุทรสงคราม, นนทบุรี และอุดรธานี
.
รศ.ดร.ปรีดากล่าวต่อไปว่า เมื่อเทียบกับรายงานฉบับที่ 5 ปี 2561 พบว่ามี 18 จังหวัดที่อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 5 อันดับแรก คือ นครนายก, สิงห์บุรี, ปัตตานี, สุโขทัย และยะลา ส่วน 58 จังหวัดที่อัตราการเสียชีวิตลดลง 5 อันดับแรก คือ พังงา, นครปฐม, ยโสธร, ภูเก็ต และกระบี่
.
ทั้งนี้วงเสวนาสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนประเทศไทย ฉบับที่ 6 ปี 2563 ยังชวนให้คิดว่าตั้งแต่เริ่มการระบาดโควิดเมื่อปี 2563 จนถึงวันนี้ ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการระบาดนี้ไปแล้ว 24,648 ราย แต่ระหว่าง ปี 2563-2564 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนรวม 34,788 ราย ยังไม่รวมการเสียชีวิต ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2565 ท่ามกลางมาตรการการควบคุมโควิดที่สามารถทำให้คนไทยใส่หน้ากากอนามัยกันทั้งประเทศ แต่การจะทำให้คนขับขี่รถจักรยานยนต์ใส่หมวกกันน็อกยังไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่ว่ากันตามจริงแล้วอุบัติเหตุทางถนนก่อให้เกิดความสูญเสียสูงกว่าโรคโควิด ดังนั้นประเด็นนี้คือสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องเร่งช่วยกันแก้ไข
.
#TheStandardNews

Create Date : 25 มีนาคม 2565 Last Update : 25 มีนาคม 2565 20:29:35 น. Counter : 569 Pageviews.		0 comments
Share Tweet