|
บทความสำหรับพ่อ แม่ที่มีลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น
บันทึกของแม่ที่มีลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น
โดนไล่ออกจากรร.
น้องเม่นอายุไม่ถึง 3 ขวบ แต่ครูเชิญให้ออกจากรร. หลังจากที่เรียนได้แค่เทอมเดียว วินาทีแรกที่ทางรร.แจ้งว่าขอเชิญให้ลูกออกจากรร.เนื่องจากซนมากจนรร.ดูแลไม่ไหว ทั้งๆที่ทางรร.ไม่เคยแจ้งให้ทางบ้านทราบถึงปัญหาดังกล่าวมาก่อน ดิฉันรู้สึกโกรธอย่างมาก ก็คงเหมือนกับพ่อแม่ทั่วไปที่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร แต่ ลูก ในสายตาเราก็เปรียบเสมือน เทวดาตัวน้อย เสมอ เมื่อมาเข้ารร.อนุบาลที่ใหม่ก็เล่าความจริงให้คุณครูฟัง คุณครูไม่แปลกใจเพราะว่ารับนร.ที่โดนเชิญออกจากรร.นี้ทุกปี ดิฉันก็ใจชื้นขึ้นคิดว่าลูกเราคงไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ผ่านไป 1 สัปดาห์คุณครูก็แจ้งว่าลูกซนผิดปกติ ดิฉันปรึกษาสามีว่าควรจะพาลูกไปพบจิตแพทย์นะ แต่สามีไม่ยอม จนกระทั่งดิฉันเอาบทความเกี่ยวกับเด็กสมาธิสั้นที่ระบุว่า 80% ของผู้ที่เป็นอาชญากร และติดยาเสพย์ติดเป็นเด็กสมาธิสั้น เมื่อเห็นข้อมูลดังกล่าวเราทั้ง 2 คนก็ตัดสินใจนัดคุณหมอทันที
โดยใช้เวลารอคิวถึง 3 เดือนกว่าจะได้พบจิตแพทย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
พบจิตแพทย์
คุณหมอให้ข้อมูลว่าโรคนี้ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ และสมองส่วนที่พัฒนาสมาธิโตไม่เท่าอายุ ไม่ใช่ความผิดของเด็กที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เค้าไม่ได้จงใจที่จะก่อความรำคาญให้ใคร แต่เค้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งในการรักษาจำเป็นต้องใช้ยาควบคู่ไปด้วย คำพูดของคุณหมอที่ดิฉันจำได้แม่นก็คือ ยาที่ดีที่สุดที่จะใช้รักษาเด็กประเภทนี้ก็คือความรัก คำพูดของคุณหมอประโยคนี้ทำให้ดิฉันตั้งใจว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเลี้ยงลูกคนนี้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ใช่ความผิดของเค้าเลยที่เป็นแบบนี้ เป็นความผิดปกติที่ยีนของเราต่างหาก ซึ่งจากการตรวจคลื่นสมอง และสอบประวัติครอบครัวก็พบว่าลูกเป็นเด็กสมาธิสั้นจริงๆ เราก็เลี้ยงดู ประคับประคองกันมาโดยอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์และมีคุณครูที่เข้าใจคอยช่วยเหลือจนจบชั้นอนุบาล 3 นอกจากคุณครูแล้วยังมีพี่เลี้ยงใจดีคือพี่ศรีที่คอยดูแลน้องเม่นหลังเลิกเรียนด้วยการทำข้าวไข่เจียวให้กินทุกเย็น เพราะมนุษย์เงินเดือนอย่างเราทั้งคู่กว่าจะเลิกงานห้าโมงครึ่งไปถึงรร.ก็จะเหลือน้องเม่นเป็นคนสุดท้ายทุกครั้ง คุณครูดา และ พี่ศรี จึงเป็นบุคคลที่มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยประคับประคองน้องเม่นตลอด 3 ปีในรร.อนุบาลแห่งนี้
นอกจากอาการสมาธิสั้นแล้ว ลูกของดิฉันยังมีอาการของความพร่องทางการเรียนรู้ เช่น เขียนพยัญชนะกลับด้าน เขียนไม่ตรงบรรทัด ความจำสั้น ไม่เข้าใจโจทย์เลข ละยังมีอาการโมโหง่าย ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีต่างๆนาๆ ยอมแม้กระทั่งแกล้งพี่แกล้งน้องเพื่อให้โดนตี ที่บรรยายมาท่านผู้อ่านคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กับคนที่เป็นพ่อ แม่ และต้องดูแลเค้าอย่างใกล้ชิด ต้องคอยสอนการบ้าน ต้องบังคับตัวเองไม่ให้ใช้อารมณ์กับลูก ต้องคอยปลอบ คอยกอดให้เค้ารับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเค้าเป็นเทวดาตัวน้อย เป็นลูกที่เรารักเหลือเกิน ไม่ว่าเค้าจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องพยายามที่จะแก้ไขให้ดีที่สุด ให้เค้ารู้ว่า รัก ของเรานั้นไม่มีข้อจำกัดอื่นใด ไม่ว่าเค้าจะเป็นอย่างไรเราก็รักเค้าไม่เปลี่ยนแปลง
ฟังดูเหมือนเรื่องง่ายแต่เวลาปฏิบัติจริงนั้นยากยิ่งนัก ต้องใช้ความอดทนในการควบคุมอารมณ์เวลาคุยกับลูก และเวลากอดเค้าเราต้องกอดด้วยความรู้สึกอยากที่จะกอดเค้าจริงๆ เพราะเค้าจะสัมผัสได้ตลอดเวลาว่าเรามีความรู้สึกอย่างไร ต้องใช้ความพยายามและความใจเย็นในการสอนเค้า ต้องสอนซ้ำๆ ต้องหากลวิธีแม้กระทั่งการสร้างบรรยากาศบ้าๆบอๆเพื่อให้ลูกสนุกกับการเรียนรู้ ต้องใช้กำลังใจอย่างแรงกล้าที่จะมุ่งมั่นไม่ท้อถอยและท้อแท้ เพราะเราถอยไม่ได้ เหมือนกับการหลงเข้าไปในอุโมงค์ที่เราได้แต่หวังว่าปลายทางจะพบแสงสว่าง เพราะฉะนั้นเราจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ ต้องเดินไปเรื่อยๆซึ่งก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าระยะทางนั้นจะยาวไกลแค่ไหน แม้จะเหนื่อยเพียงใด จะหมดแรงก็ต้องคลานเอาเพื่อที่จะได้เข้าใกล้ปลายอุโมงค์ให้เร็วที่สุดนั่นเอง
หารร.ให้ลูก
น้องเม่นจะจบชั้นอนุบาล 3 แล้วต้องเตรียมตัวหาที่เรียนป.1 กับมนุษย์เงินเดือนธรรมดา นามสกุลไม่คุ้นหู ไม่รู้จักใครใหญ่โตพอที่จะใช้เส้นเด็กฝาก ลูกเองก็ไม่เก่งกาจขนาดรร.เห็นผลการเรียนแล้วจะอ้าแขนรับแถมเป็นเด็กพิเศษอีกต่างหาก แต่เราก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวงพาลูกไปสอบ 3 รร.ดังในเครือคาทอลิคเพราะจะได้มีที่เรียนถึงม.6 และอยู่ในบริเวณที่รับส่งสะดวกที่สุด
ผลการสอบรร.แรกน้องเม่นส่งกระดาษเปล่าแถมเอาปากกามาเขียนตามแขนตามขาตัวเองเต็มไปหมด และยังต่อว่าเราอีกว่า แม่พาเม่นมาสอบรร.นี้ทำไม เม่นไม่ได้อยากเข้าสักหน่อย เด็กตัวแค่นี้จะไปเข้าใจอะไร ได้แต่ก้มหน้าพาลูกกลับบ้านแบบไม่ต้องลุ้นผลสอบเลย ดีเหมือนกันรู้ซะตั้งแต่วันนี้ว่าเข้าไม่ได้
รร.ที่ 2 ที่น้องเม่นไปสอบเป็นรร.ยอดฮิตติดอันดับซึ่งเราเองก็คิดเสมอว่า เกินเอื้อม จึงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมาย มารร.สุดท้ายนี่แหละที่เป็นความหวังเดียวที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงที่สุด พอประกาศผลสอบปรากฏว่าไม่มีชื่อตามคาด ซึ่งแม่อย่างดิฉันมีหรือจะยอมแพ้เพราะยังจำความรู้สึกที่ลูกหมีลูกคนแรกถามว่า ลูกหมีทำข้อสอบได้ทุกข้อทำไมไม่มีชื่อลูกหมี รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรมเลยสำหรับคนโนเนมอย่างเรา เอาอะไรมาตัดสินชีวิตเด็กๆตัวน้อยเหล่านี้ วันนี้เป็นไงเป็นกันต้องหาคำตอบให้ได้ ว่าแล้วก็ลางานไปนั่งเฝ้าบาร์เดอร์ถึง 3 วันกว่าจะได้เข้าพบ จำได้ว่าดิฉันจ้องหน้าบาร์เดอร์แล้วพูดอย่างมั่นคงว่า บาร์เดอร์คะ ดิฉันเป็นคนที่ยึดมั่นและเคารพในกฏเกณฑ์ แต่จากประสบการณ์จากลูกคนแรกที่ถามดิฉันว่าเค้าทำข้อสอบได้ทุกข้อ ทำไมถึงไม่มีชื่อ วันนี้ดิฉันขอทำหน้าที่แม่เพื่อหาคำตอบนี้ให้ลูก สิ่งที่จะขอบาร์เดอร์คือ ข้อแรกอยากทราบว่าการสอบครั้งนี้ตัดสินกันที่คะแนนเท่าไหร่ ดิฉันขอดูคะแนน ถ้าคะแนนของลูกดิฉันไม่ถึงก็จะกลับไป ข้อที่ 2 ทราบมาว่าต้องบริจาคเงินอยากทราบว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ถ้าดิฉันไม่มี(ซึ่งจริงๆแล้วก็มีอยู่ไม่กี่พัน)ก็จะกลับ ถ้าให้คำตอบไม่ได้ดิฉันทนไม่ได้อีกต่อไปที่จะให้ลูกมาเป็นตัวประกอบในการสอบคัดเลือกที่ไม่ทราบกฎกติกาครั้งนี้ นอกจากนี้ความที่หน้ามืดกลัวลูกไม่มีที่เรียนยังบังอาจขู่บาร์เดอร์อีกว่าจะไปร้องเรียนหนังสือพิมพ์ ต้องยอมรับว่าตอนนั้นหมดหนทางจริงๆ บาร์เดอร์อึ้งไปเหมือนกันได้แต่ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้และรับปากว่าจะติดต่อกลับมา
ดิฉันกลับมาที่ทำงานด้วยจิตใจหดหู่และสิ้นหวังพอมาถึงโต๊ะก็มีโทรศัพท์จากลูกค้าซึ่งเราดูแลอย่างดีมาสิบกว่าปีเต็มและคุยเรื่องลูกมาตลอด คำแรกที่ได้ยินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ท่านถามว่าพรุ่งนี้เตรียมเงิน(จำนวนไม่กี่หมื่น)ทันมั้ย อย่าว่าแต่หลักหมื่นเลยค่ะหลักพันดิฉันยังไม่มีเลย แต่ก็ตอบไปด้วยความมั่นใจในเสียงสวรรค์นี้ว่า ทันค่ะ หลังจากวางหูแล้วยังนึกว่าตัวเองฝันไปมือไม้สั่นรีบโทรหาสามีให้หาเงินให้ทันวันพรุ่งนี้แล้วนั่งน้ำตาคลออยู่คนเดียวด้วยความดีใจอย่างล้นเหลือที่ลูกได้มีโอกาสเข้าเรียนในรร.ที่เราคิดเสมอว่า เกินเอื้อม ด้วยโควต้าของผู้ที่มีอุปการะคุณกับรร. ทุกวันนี้ดิฉันยังเป็นหนี้บุญคุณของบุคคล 2 ท่านที่มีส่วนในการสร้างน้องเม่นคือ ท่านที่ฝากลูกเข้ารร. และท่านที่ให้ยืมเงิน ซึ่งขอบอกว่าจะระลึกถึงท่านไปจนวันตายไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้เด็ดขาด
เข้าเรียนป.1
เมื่อถึงวันมอบตัวเราเตรียมตัวน้องเม่นอย่างดีตั้งแต่ซ้อมท่าไหว้ การพูดจา จนถึงการขอร้องให้อยู่นิ่งๆ ในวันนั้นจริงๆทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย เราคุยกับท่านอธิการแล้วแอบถามว่าลูกได้คะแนนเท่าไหร่ ท่านอมยิ้มแล้วตอบว่าจะรู้ไปทำไม ดิฉันเรียนท่านว่าจะได้เตรียมตัวลูกได้ถูก ท่านตอบสั้นๆด้วยใบหน้าอมยิ้มว่า 30 คะแนน ก่อนออกจากห้องดิฉันให้น้องเม่นไหว้ท่านตามที่ซ้อมมา แต่น้องเม่นไม่ไหว้เฉยๆกลับพูดซะดังเลยว่า แม่บ้านนี้ท่าทางรวยดีเนอะ ของดีๆแพงๆทั้งนั้นเลย นี่แหละค่ะอาการอย่างหนึ่งของเด็กสมาธิสั้น มีจินตนาการ นึกจะพูดอะไรก็โพล่งออกมาโดยไม่รู้จักกาลเทศะ ดิฉันต้องรีบลาท่านอธิการและพาลูกออกมาโดยเร็วเนื่องจากเกรงว่าท่านจะเปลี่ยนใจ
เมื่อรู้ว่าลูกทำได้แค่ 30 คะแนน จึงต้องวางแผนในการเรียนให้เค้าเพื่อเป็นภาระให้กับรร.น้อยที่สุด อย่างน้อยก็จะได้ไม่เดือดร้อนผู้มีพระคุณที่ฝากเราเข้ามา การเข้าเรียนชั้นป.1 ของน้องเม่นในรร.นี้เป็นสิ่งที่สร้างความกดดันให้ดิฉันพอสมควร นอกจากนี้ปัญหาเรื่องสมาธิสั้นและความบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นอุปสรรคและสร้างความกดดันอย่างยิ่งให้กับตัวลูก ที่ต้องเรียนทั้งวัน ต้องจดการบ้าน ต้องท่องศัพท์ ต้องทำงานกลุ่ม แม้กระทั่งคุณครูที่ต้องดูแลนร.ในห้องถึง 60 คนและมีตัวป่วนอยู่ตลอดเวลา ดิฉันต้องไปพบกับคุณครูประจำชั้นทุกปีที่ลูกขึ้นชั้นใหม่ เพื่อชี้แจงว่าลูกเราไม่ปกติแต่ไม่ได้ขอให้คุณครูดูแลพิเศษหรือขออภิสิทธิ์ใดๆ ขอเพียงคุณครูแจ้งปัญหาให้ทราบทางสมุดจดการบ้าน เพื่อทางบ้านจะได้รับทราบปัญหาและร่วมมือกับคุณครูเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด
ที่น่าสงสารที่สุดคือวันหนึ่งลูกเดินร้องไห้มาบอกว่า แม่ครับ เพื่อนเค้าว่าเม่นโง่ และไม่มีใครยอมให้เม่นทำงานกลุ่มด้วย ทันที่ที่ฟังลูกพูดจบประโยค ดิฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สงสารลูกจับใจ และนั่งคิดว่าเด็กอายุแค่ 7 ขวบเองต้องเผชิญกับความโหดร้ายของสังคมรอบข้างขนาดนี้เชียวหรือ ช่างปวดใจแทนลูกเหลือเกิน ดิฉันได้แต่บอกลูกว่า จำไว้นะครับว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีสิทธิ์ชี้นิ้วบอกว่าลูกเป็นอะไรแล้วจะเป็นไปตามคำพูดเค้า เค้าไม่มีสิทธิ์เพราะเค้าไม่รู้จักลูกดีเท่าแม่ เค้าไม่ได้ใกล้ชิดลูก เค้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าลูกโง่ ลูกคิดว่าเด็กพวกนั้นวาดรูปแข่งกับลูกได้มั้ย เล่นเกมส์สู้ลูกได้รึเปล่า การที่เรียนเก่งไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ถ้าเก่งแล้วดูถูกคนอื่น ก็เป็นพวกผู้ร้ายไม่ใช่พระเอกจริงมั้ยครับ เมื่อลูกเข้าใจ เค้าก็พยักหน้าและอารมณ์ดีขึ้น
วันรุ่งขึ้นดิฉันไปคุยกับเด็กกลุ่มนี้ถามเค้าว่า หนูอยากเป็นพระเอกมั้ยครับ ทุกคนพยักหน้า ดิฉันก็สอนเค้าว่า พระเอกคือคนที่เก่ง คนที่คอยช่วยเหลือและปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า หนูทำได้มั้ยครับ ทุกคนพยักหน้าอีกครั้ง ดิฉันจึงจูงลูกไปหาเค้าแล้วบอกว่า หนูช่วยปกป้องและช่วยเหลือน้องเม่นด้วยได้มั้ยครับ น้องเม่นเรียนไม่เก่งแต่เล่าเรื่องตลกเก่งนะ แล้วถ้าหนูช่วยน้องเม่นนอกจากหนูจะได้เป็นพระเอกแล้วหนูยังได้บุญและความภาคภูมิใจอีกด้วย ตั้งแต่วันนั้นลูกก็ยังคงโดนล้อบ้างแต่เค้าไม่เคยเก็บมาเป็นทุกข์อีกเลย นานเข้าเค้ากลับเคยชินและมองเป็นเรื่องตลก เนื่องจากคนที่ว่าเค้าก็คือผู้ร้ายนั่นเอง
โต๊ะในตำนาน
ทุกวันดิฉันต้องคอยโทรฯเวียนตามบ้านต่างๆที่ทราบปัญหาของลูกเรา และกรุณาให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อให้โทรฯเช็คการบ้านซึ่งลูกชายจดบ้างไม่จดบ้างแล้วแต่อารมณ์ ทุกเย็นก่อนและหลังรับประทานอาหารเย็นก็จะเป็นกิจกรรมทำการบ้านกันทั้งครอบครัว บนโต๊ะญี่ปุ่นซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับทำการบ้าน ลูก 3 คนกับพ่อที่คอยสอนเลข วิทยาศาสตร์ แม่คอยดูแลการบ้านภาษาอังกฤษ สังคม กพอ. ส่วนใหญ่พี่หมีและน้องมดจะทำเสร็จก่อน หลังจากนั้นจะเริ่มเป็นทั้งกองเชียร์ หรือผู้ช่วยเม่นในการทำการบ้านซึ่งมากมายมหาศาลสำหรับเด็กที่มีสมาธิบกพร่อง เราจะพยายามสอนลูกเท่าที่ลูกจะรับได้ โดยใช้เทคนิคและกลเม็ดที่แล้วแต่จะคิดกันขึ้นมา ส่วนใหญ่น้องเม่นก็จะทำจนเพลีย หรือหมดแรงหลับไปก่อนที่การบ้านจะเสร็จ ที่เหลือถ้าเป็นอะไรที่ไม่เกี่ยวกับวิธีการมากนักเช่น ระบายสี จดงานที่จดไม่ทันในห้องเรียนหรือเขียนตามรอยประ พี่หมีกับน้องมดก็จะช่วยตามกำลังและอารมณ์ที่จะช่วยได้ ซึ่งบางครั้งก็ไม่เสร็จทั้งหมด น้องเม่นต้องนั่งทำในรถ หรือไปนั่งทำที่รร.ก่อนเข้าแถว ก็เรียกว่าทำจนสุดความสามารถและศักยภาพของเด็กคนหนึ่งที่ทั้งสมาธิสั้นและมีความบกพร่องในการเรียนรู้จะทำได้
ลองหลับตาวาดภาพข้างต้นวันแล้ววันเล่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะประคับประคองกันให้ผ่านพ้นแต่ละวันมาได้ โดยที่ต้องพยายามสร้างบรรยากาศในบ้านให้ตรึงเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากเราทั้งคู่ก็เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องทำงาน 8 ชม.ต่อวัน รับส่งลูกด้วยตัวเอง ทำงานบ้านเอง อาศัยอาหารในถุงพลาสติกเอาเพราะไม่มีเวลาจะมาเอาใจใส่เรื่องอื่นนอกจากเรื่องลูกเท่านั้น 24 ชม.ในหนึ่งวันของเราทั้งคู่จึงมีความหมายอย่างยิ่ง และเราทั้งคู่ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มีเหนื่อยบ้าง อารมณ์เสียบ้าง หงุดหงิดบ้าง ท้อถอยบ้าง แต่เราก็ยอมแพ้ไม่ได้ และไม่สามารถใช้อารมณ์กับลูกได้ โต๊ะญี่ปุ่นดังกล่าวจึงเป็นที่ระบายอารมณ์โดยปริยาย กว่าน้องเม่นจะโตมาจึงมีโต๊ะญี่ปุ่น ที่พังไป2ตัวกลายเป็นโต๊ะญี่ปุ่นในตำนานของครอบครัวเราที่เวลาพูดถึงที่ไรก็จะขำกลิ้งทุกที
ผลสอบ
แม้ว่าเราจะทุ่มเทแค่ไหนแต่ผลสอบของน้องเม่นก็ยังเป็น 0 ในหลายวิชา สถิติสูงสุดคือ 10 วิชา จาก 11 วิชา เราไม่เคยติเตียนหรือบีบคั้นลูก บอกแค่ว่าไม่ต้องไปแข่งกับใคร แข่งกับตัวเองก็พอ จาก 10 วิชา ให้ลดลงไปเรื่อยๆ หรือบางครั้งมีเกรด 2 หรือ 3 โผล่มาซักตัวก็ดีใจกันทั้งบ้าน ซึ่งน้องเม่นก็พยายามเต็มที่ เริ่มต้นจากการไม่ส่งกระดาษเปล่าตามคำขอร้องของแม่ที่บอกว่าการส่งกระดาษเปล่าเป็นการแสดงถึงความขี้ขลาด ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลย น้องเม่นจึงเริ่มเขียนอะไรก็ไม่รู้ลงไปในกระดาษคำตอบ คุณครูก็ให้คะแนนสงสารมา 2 คะแนน และเค้าคงรู้ตัวว่าตัวเองเป็นภาระให้กับครอบครัวถึงกับคิดค้นการหลุดพ้นจากเกรด 0 ด้วยการไม่ขอกิน ไข่ ในวันสอบเนื่องจากมีความพยายามตามที่สมองน้อยๆจะคิดได้บวกกับความเชื่อว่า ไข่ คือที่มาของเกรด 0 นั่นเอง
ในการสอบแต่ละครั้งน้องเม่นไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตัวเองได้ เนื่องจากไม่มีสมาธิและความจำสั้น ดิฉันจำเป็นต้องหาซื้อคู่มือวิชาต่างๆจากศูนย์หนังสือจุฬาฯมาทำการสรุปย่อลงเทป บางครั้งก็เป็นการถามตอบ บางครั้งก็ทำเสียงเหมือนเล่านิทาน บางครั้งก็ทำเป็นบทสัมภาษณ์ โดยมีแม่เป็นผู้สื่อข่าวน้องเม่นเป็นคนตอบ หลังจากนั้นน้องเม่นก็จะฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกระหว่างทางไปโรงเรียน แม้กระทั่งตอนนอนหลับ แต่ผลสอบก็ยังคงเป็น0 เหมือนเดิม เห็นมั้ยคะว่า ฝัน ของดิฉันไม่ได้เป็นจริงหรือได้มาอย่างง่ายๆเพียงแค่ข้ามคืนเหมือนในนิทานเลย ที่โรงเรียนเวลาเอาเทปไปฟังน้องเม่นมักจะฟังหูเดียวและแบ่งอีกหูนึงให้เพื่อนฟัง ปรากฎว่าเพื่อนสอบได้ดี บรรดาแม่ๆของเพื่อนน้องเม่นก็จะนำชีทหรือรายละเอียดในวิชาต่างๆมาให้เพื่อเราจะได้มีข้อมูลในการอัดเทปมากขึ้น จึงเป็นที่มาของขบวนการแม่ แม่ แม่ ที่เกิดขึ้น
ในการสอบส่วนใหญ่น้องเม่นชอบส่งกระดาษเปล่า เนื่องจากไม่มีสมาธิในการทำข้อสอบ และในบางวิชาก็ทำข้อสอบไม่ได้โดยเฉพาะเลขโจทย์ปัญหา มีอยู่ครั้งหนึ่งนอกจากไม่ทำข้อสอบแล้วยังเอาดินสอไปเขียนเสื้อของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหน้า ทำให้ผลสอบของเพื่อนคนนั้นตกอันดับจากที่1ของชั้นมาเป็นที่4ของห้อง เมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้นน้องเม่นได้รับความกรุณาไปสอบเดี่ยวที่ห้องธุรการและเริ่มได้รับความเตตาและเป็นที่รู้จักทำให้ขบวนการแม่ แม่ แม่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นผลดีอย่างยิ่ง น้องเม่นได้รับความช่วยเหลืออย่างมากมาย จากขบวนการแม่ แม่ แม่ดังกล่าว ตั้งแต่มีโทรศัพท์มาแจ้งถึงกำหนดการส่งงานในวิชาต่างๆ มีชื่อในงานกลุ่มที่บรรดาลูกๆของขบวนการแม่ แม่ แม่เหล่านี้ และมีชีทที่ลูกๆของขบวนการแม่ แม่ แม่เหล่านี้ไปกวดวิชามาให้อัดเทปเพิ่มเติม มีขบวนการแม่ แม่ แม่คอยดูแลทั้งเช้าและเย็นทำให้จำนวนเกรด0ในแต่ละเทอมค่อยๆลดลง
อนาคตของน้องเม่น
เมื่อผลสอบในแต่ละครั้งติดอันดับท็อป5(ข้างท้าย)มาตลอด ดิฉันก็เริ่มฝันถึงอนาคตอันสดใสของลูกพยายามหาความสามารถพิเศษที่อาจจะซ่อนเร้นไว้เหมือนในหนังฟอเรส กั๊มส์ เริ่มต้นจากฝันว่าน้องเม่นจะเป็นภารดรน้อยจึงส่งไปเรียนตีเทนนิส 3 เดือนต่อมาไม่มีอะไรคืบหน้าเพราะน้องเม่นสนุกกับการวิ่งเก็บลูกเทนนิสมากกว่า ครูก็เริ่มเบื่อที่จะสอน ดิฉันก็เริ่มมีความฝันใหม่ว่าลูกเราจะเก่งเหมือนฉลามนุก จึงส่งไปเรียนว่ายน้ำน้องเม่นชอบว่ายน้ำมากเล่นได้ไม่เคยเบื่อแต่จะงอแงทุกครั้งเมื่อครูสอนท่าว่าย ในที่สุดความฝันนี้ก็ต้องพับเก็บเอาไว้ ต่อมาเริ่มไปเรียนยูโดกับน้องมด ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเหมือนเดิม จึงเริ่มหันเหไปสู่วิชาการบ้างเผื่อจะได้ผล ลองไปเรียนจินตคณิตปรากฏว่าได้ที่สุดท้ายของห้อง ไปเรียนภาษาที่คิงส์ คอลเลจ ผลสอบออกมาแนะนำให้เรียนซ้ำ
ดิฉันเริ่มคิดหนักว่าอนาคตของลูกจะอยู่ที่ไหน และเริ่มศึกษาหลักสูตรในคณะใหม่ๆของแต่ละมหาวิทยาลัย พบว่าจะมีโควต้าสำหรับเด็กที่เรียนดนตรีจบเกรด6เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้ โดยการรับสมัครตรง จึงลงทุน3คนแม่ลูกไปสมัครเรียนเปียโน โดยเริ่มมีความฝันอีกครั้งว่าลูกคงสอบได้เกรด 6 และได้ประกาศนียบัตรสำหรับสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยได้
เป็นการยากมากสำหรับคนวัย 30 กว่าที่ต้องไปเริ่มเรียนเปียโน แต่ถ้าไม่เรียนพร้อมลูกเราก็จะไม่รู้เรื่องเวลาเขาซ้อม อ่านโน้ตไม่เป็น และเป็นการยากมากในการคุมการซ้อมเปียโนในแต่ละวันสำหรับเด็กสมาธิสั้น ต้องสร้างบรรยากาศในการซ้อม บางวันก็แข่งกัน 3 คนว่าในการซ้อมแต่ละครั้งใครดีดผิดมากกว่ากัน บางครั้งก็ทำเป็นนักร้องโอเปร่าอ้าปากค้างรอจังหวะในแต่ละคีย์ บางครั้งก็มีพ่อเต้นท่าสวอนเลคตามจังหวะให้ขบขันเล่น บางครั้งก็มีน้องมดตัวกลมเต้นท่าทางกลมกลิ้งอยู่ไม่ห่าง ทำให้การซ้อมเปียโนในแต่ละวันผ่านไปได้อย่างฝืนบ้างฝืดบ้างตามอารมณ์ของคนเล่น
เชื่อหรือไม่ว่าตอนน้องเม่นจบม.6 ผลสอบเปียโนอยู่ที่เกรด 3 เอง ฝันของดิฉันไม่เป็นจริงอีกตามเคย แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม่ อย่างดิฉันไม่เคยหมดหวังหรือหยุดที่จะฝัน
ชีวิตพลิกผัน
ครอบครัวเราอยู่ด้วยความหวัง (Hope) แต่ไม่เคยคาดหวัง (Expectation) อะไรในตัวน้องเม่น คำว่า Hope กับ Expectation นั้นต่างกันมากนัก เพราะถ้าเรามีความหวังเราก็หาหนทางสารพัดที่จะให้ความหวังหรือความฝันของเราเป็นจริง แต่ถ้าเรามีความคาดหวังเมื่อไหร่ จะสร้างความกดดันให้กับลูกเราทันที สิบกว่าปีที่ผ่านมาเราก็อยู่กับคำว่า Hope มาตลอด ซึ่งเคยชินกับเกรด 0 ในสมุดพก มีความสุขกับเกรด 2 หรือ 3 ที่นานๆจะโผล่มาซักตัวก็แทบจะเฮกันลั่นบ้านแล้ว
จำได้ว่าเกรดของน้องเม่นตอนอยู่ชั้น ม.3 มีอยู่เทอมหนึ่งได้เพียงแค่ 0.96 ซึ่งแน่นอนเมื่อดูเกรดเฉลี่ยแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนต่อในชั้นม.4 เราเริ่มมองหารร.ให้ลูกใหม่ อย่างที่บอกว่าเราไม่กล้าที่จะร้องขอหรือใช้อภิสิทธิ์ใดๆกับทางรร. เนื่องจากที่ผ่านมาเราก็สร้างภาระให้กับทางรร.มามากพอแล้ว เมื่อขบวนการแม่ แม่ แม่ ทราบเรื่องก็เข้ามาคุยและบอกว่าได้คุยกับน้องเม่นแล้ว น้องเม่นไม่อยากย้ายรร.นะ เราก็อธิบายเหตุผลให้ทราบ เนื่องจากเค้ารักและเอ็นดูน้องเม่นมากเพราะช่วยประคับประคองกันมาตั้งแต่ป.1เปรียบเสมือนน้องเม่นเป็นลูกของพวกเค้าก็ว่าได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าความรักดังกล่าวจะส่งผลให้ทางขบวนการแม่ แม่ แม่ ไปเล่าเรื่องน้องเม่นให้กับหัวหน้าฝ่ายวิชาการของรร.ฟัง ทางรร.ให้ทำการสอบเข้าร่วมกับเด็กใหม่และอนุญาตให้น้องเม่นได้เรียนต่อในแผนการเรียนศิลป์คำนวณ 1 ซึ่งกลายเป็นจุดพลิกผันอย่างแรงในชีวิตน้องเม่น
ชีวิตใหม่
น้องเม่นดีใจมากที่ได้เรียนรร.เดิม ได้เจอเพื่อนๆที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตก็คงดำเนินต่อไปเหมือนปกติ จนกระทั่งสอบกลางภาคผ่านไปเราไม่เคยตื่นเต้นในผลการสอบอยู่แล้ว แต่เริ่มตื่นเต้นสุดชีวิตเมื่อได้รับโทรศัพท์จากทั้งป้าแมวและป้าหลีหนึ่งในขบวนการแม่ แม่ แม่ ว่าให้รีบเปิดเว็บไซต์ดูผลสอบด่วนเพราะน้องเม่นมีแต่เกรด 4 กับ 3 มีเกรด 2 แค่ 2 ตัว เราไม่เชื่อหูตัวเองนึกว่าโดนล้อเล่นแต่เห็นโทรมาทั้งคู่ไม่น่าจะเป็นเรื่องล้อเล่น พอเปิดดูแล้วก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเองอีก ยังคิดเลยว่าต้องมีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นแน่เลยเพราะไม่น่าจะได้เกรดสูงขนาดนั้น
เมื่อไปตรวจสอบกับรร.แล้วว่าเป็นเรื่องจริง น้องเม่นได้เกรด 3.5 เป็นอันดับท้อป 5 (ข้างต้น) ดิฉันบรรยายความรู้สึกไม่ถูกจริงๆ บ้านเป็นเหมือนสรวงสวรรค์ สมาชิกในบ้านทุกคนดีใจกับปรากฏการณ์ของเกรดปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้น บรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่รู้จักน้องเม่นพากันดีใจและร่วมอวยพรอย่างถ้วนหน้า ตัวดิฉันเองที่เคยถามตัวเองว่าคุ้มมั้ยกับ โอกาส และ ตำแหน่ง ในหน้าที่การงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วต้องทิ้งไปเพื่อลูก คำตอบณ ตอนนี้คือ ยิ่งกว่าคุ้ม เพราะดิฉันคิดเสมอว่าตำแหน่งหน้าที่การงานเมื่อเวลาเราตายไป คงไม่ได้ปักหน้าหลุมศพหรือมีคนจดจำได้ซักเท่าไหร่ เนื่องจากเราไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับประเทศ ว่าเราตายตำแหน่งอะไร แต่ตำแหน่ง แม่ นี่ต่างหากที่ติดตัวเราไปจนตาย ถ้าเราส่งลูกไม่ถึงฝั่งก็คงตายตาไม่หลับ เงินทองที่ได้มาจากการทำงานในตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตก็ไม่สามารถจะซื้อความสำเร็จให้ลูกได้ วันนั้นดิฉันได้ซึมทราบความหมายของประโยคที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และรู้ว่าเวลาสิบกว่าปีที่เราทุ่มเทนั้น คุ้มค่าจริงๆ
นักเรียนแลกเปลี่ยน
ดิฉันสนใจเรื่องส่งลูกไปศึกษาต่อต่างประเทศมาโดยตลอด แต่อย่างที่เรียนให้ทราบเราทั้งคู่เป็นมนุษย์เงินเดือน เรื่องส่งลูกไปเรียน เมืองนอก อย่างทีเศรษฐีเค้าทำกันคงไกลเกินเอื้อมอีกเหมือนกัน แต่ดิฉันก็พยายามหาหนทางจนได้ด้วยการศึกษาโครงการแลกเปลี่ยนต่างๆ ตั้งแต่โครงการAFS โครงการ Yes Thailand ซึ่งดูแล้วการแข่งขันค่อนข้างสูง และน้องเม่นเองก็ไม่ใช่เด็กที่เก่งระดับประเทศที่จะไปแข่งกับใครได้ ทุก Summer ดิฉันมักจะส่งลูกไปเข้าค่ายกับทาง AYC เพื่อให้ลูกได้แสดงศักยภาพ และค้นหาตัวตนกับคนรอบข้างที่ไม่ใช่เพื่อนเดิมๆ หรือคนที่รู้ว่าน้องเม่นเป็นเด็กพิเศษ และรู้จักกับเจ้าของโครงการเป็นอย่างดี เมื่อทางอาจารย์ทราบว่าน้องเม่นได้เกรด 3 จึงให้ไปทำข้อสอบดู ปรากฏว่าคะแนนใช้ได้ น้องเม่นจึงมีผู้ให้ โอกาส อันยิ่งใหญ่ในชีวิตอีกครั้ง คือการเดินทางไปเป็นนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยนที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา 1 ปี
ตลอดเวลาที่อยู่นิวซีแลนด์น้องเม่นมีพัฒนาการทางด้านคอมพิวเตอร์ ภาษา และคณิตศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด มีความเป็นผู้ใหญ่และมีกระบวนการทางความคิดที่สร้างสรรค์ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างแดนโดยที่ทางบ้านใช้เงินไปแค่ 3 แสนบาทตลอด 1 ปี (รวมค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายตลอดปี)ระหว่างนั้นทางดิฉันต้องเตรียมหาข้อมูลในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาให้ลูกไปด้วย เริ่มต้นจากการสมัครสอบ SAT, CU-TEB เพื่อเตรียมสอบเข้าคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะบริหารธุรกิจของ ABAC ไหนจะ O-NET, A-NET ที่เพิ่งเริ่มสอบปีแรกและขาดการประชาสัมพันธ์ทำให้เด็กหลายคนต้องพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
สอบเข้ามหาวิทยาลัย
วันที่น้องเม่นกลับจากนิวซีแลนด์ เครื่องลงตอนเกือบเที่ยงคืน กลับมาถึงบ้านก็นั่งอ่านการ์ตูนเพราะยังปรับเวลาไม่ได้ พอบ่ายเจอแม่พาไปเรียนเตรียมสอบ SAT อีก หลังจากนั้นชีวิตก็อยู่กับการเตรียมสอบ ทั้ง CU-TEB และ SATผลสอบ CU-TEB ทำได้ 580 แต่ต้องสอบถึง 3 ครั้ง ส่วนSAT อยู่ในระดับน่าตื่นเต้นเช่นเคย คือไม่ถึงกับสูงพอที่จะอยู่ในเกณฑ์เข้าได้ และไม่ถึงกับต่ำจนอยู่ในเกณฑ์ร่วง คือได้ Match 590, Critical Reading 380 และดูจากตารางสอบกับตารางการรับสมัครพบว่าไม่มีสิทธิ์สอบอีกครั้งเนื่องจากเวลาไม่ตรงกัน ถ้ารู้สักนิดว่าการประกาศผล O-NET, A-NET จะมีปัญหาล่วงเลยมาอีกเป็นเดือนน้องเม่นคงมีโอกาสได้สอบอีกครั้งเป็นแน่
ขณะที่นั่งเขียนต้นฉบับนี้น้องเม่นมีสิทธิ์สมัครสอบเข้าทั้ง 3 คณะที่ตั้งใจไว้ ได้แต่รอผลประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ แล้วต้องลุ้นต่อไปว่าจะได้เข้าเรียนต่อที่ไหน ถึงนาทีนี้ดิฉันบอกลูกว่าไม่ว่าลูกจะได้เรียนต่อที่ไหนลูกก็มาไกลเกินกว่าที่แม่ฝันมากมายนัก ดิฉันมั่นใจว่าเวลาและทุกแรงใจที่ทุ่มเทกับลูกคนนี้ไม่เสียเปล่า ดิฉันได้สร้างเด็กคนหนึ่งที่มีเปอร์เซ็นต์ที่จะล้มเหลวในการเรียน ให้เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม คนที่มีจิตใจดีงาม คนที่พูดกับแม่ตอนเค้ายังเป็นเด็กว่า คอยดูนะโตขึ้นเม่นจะไม่ปล่อยให้แม่กินข้าวกับหมาเหมือนในโฆษณา ตอนนี้ดิฉันคิดว่าส่งลูกใกล้ถึงฝั่ง และได้ ผลัก ลูกมาถูกทางแล้ว
ของฝาก
สิ่งที่อยากจะฝากสำหรับคนที่ใกล้ชิดกับเด็กพิเศษพวกนี้ก็คือ อยากจะฝากถึงคุณครูทุกท่านให้มีจิตวิญญาณของการเป็นครู คำพูดของท่านเพียงคำเดียว ไม่ว่าจะเป็น คำกล่าวชม หรือ คำติเตียน อาจมีอิทธิพลในการพลิกชีวิตของเด็กเหล่านี้จาก ขาวเป็นดำ หรือจาก ดำเป็นขาว ได้ ทุกวันนี้น้องเม่นยังจำคำชมของคุณครูบางท่านได้และตั้งใจว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เมื่อไหร่จะใส่ชุดไปอวดคุณครูทุกท่านที่เค้าจดจำไว้ในใจ
ฝากบอกคุณพ่อคุณแม่ที่มีเด็กพิเศษว่า ไม่มีใครจะมาทนลูกเราได้เท่าตัวเราเอง จงประคับประคองกันไป ไม่ใช่หน้าที่ของ แม่ หรือ พ่อ คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนในครอบครัว อย่า ทุกข์ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะ ทุกข์ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ศึกษาหลักศาสนาแล้วนำมาปฏิบัติหา สมุทัย นิโรธ และมรรคให้เจอ นั่นคือสัจจธรรมที่จะทำให้พ้นทุกข์ ส่วนในศาสนาคริสต์ก็มีคำกล่าวว่า พระเจ้าทรงทดสอบความอดทนของเรา แต่จะไม่ทดสอบเกินความสามารถของเรา พยายามสร้างบรรยากาศในบ้านให้รื่นเริงมากที่สุดเพื่อที่จะเก็บเกี่ยว ความสุข ด้วยกัน อย่าให้ อุปสรรค ต่างๆมาบั่นทอนความสุขในบ้านของเรา
ท้ายที่สุดขอขอบพระคุณ กลุ่มผู้สร้างน้องเม่นให้ยืนหยัดในสังคมนี้ได้ ตั้งแต่
คุณหมอปราโมทย์ซึ่งเป็นจิตแพทย์ คุณหมอพิวัฒน์ ที่ดูแลน้องเม่น ครูดา พี่ศรี ที่ดูแลในชั้นอนุบาล คุณจี๊ด ผู้ที่ให้โอกาสอย่างใหญ่หลวงในชีวิตน้องเม่น มิสมาลัยครูคนแรกในชั้นป.1ที่อดทนกับน้องเม่นอย่างมากมาย ขบวนการแม่ แม่ แม่ ตั้งแต่ ป้าหลี ป้าแมวที่ดูแลส่งข่าวเรื่องการเรียน เอาชื่อน้องเม่นเข้างานกลุ่มและรวบรวมชีทให้ ป้าอ๋อย ที่มีลูกเรียนเก่งเหลือเกินแต่ก็คอยช่วยเหลือแบ่งปันให้เด็กคนอื่นเสมอ ม้าอู๋กับป้าหมี่ ที่คอยเป็นกำลังเสริมในด้านเสบียงอาหาร คอยให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือเสมอมา และป้าๆทั้งหลายที่ไม่อาจเอ่ยนามได้หมด มาสเซอร์ ทบ ที่ให้โอกาสและเชื่อเสมอว่าเด็กเหล่านี้จะได้ดี อาจารย์ทัศนีย์ และคุณสิโรดม แห่ง AYC ที่ให้โอกาสน้องเม่นในการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ขอบคุณสามีที่เป็นพ่อที่ประเสริฐ พี่หมีและน้องมดที่ช่วยกันฟันฝ่าจนน้องเม่นมีวันนี้ได้
Create Date : 06 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 21 มิถุนายน 2555 12:20:55 น. |
|
35 comments
|
Counter : 4789 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: ตา IP: 210.86.214.171 วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:15:49:03 น. |
|
|
|
โดย: แม่แป๋มค่ะ IP: 124.83.20.55 วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:16:29:29 น. |
|
|
|
โดย: แอง IP: 24.132.202.178 วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:20:03:42 น. |
|
|
|
โดย: ออย-โอ๊ด IP: 203.113.50.13 วันที่: 7 สิงหาคม 2550 เวลา:10:54:51 น. |
|
|
|
โดย: อิจิโงะจัง IP: 203.146.147.122 วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:9:51:24 น. |
|
|
|
โดย: tiara (แม่เจ้าเกาทัณฑ์) IP: 125.27.166.209 วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:14:32:27 น. |
|
|
|
โดย: อิจิโงะจัง วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:14:55:19 น. |
|
|
|
โดย: แม่จิ๊ดริ๊ด IP: 203.149.12.234 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:8:26:15 น. |
|
|
|
โดย: มนวินนี่ (tomdome ) วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:17:09:58 น. |
|
|
|
โดย: MONROVIA วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:9:37:54 น. |
|
|
|
โดย: kiki IP: 58.136.71.132 วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:13:44:46 น. |
|
|
|
โดย: kroonok วันที่: 8 มกราคม 2551 เวลา:10:08:29 น. |
|
|
|
โดย: ชมรมเด็กพิเศษ IP: 117.47.200.190 วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:8:21:08 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องเม่น วันที่: 7 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:35:30 น. |
|
|
|
โดย: IcyRose วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:02:39 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องเอม IP: 222.123.22.16 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:31:51 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องโบ๊ท IP: 114.128.54.129 วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:19:06:22 น. |
|
|
|
โดย: IcyRose วันที่: 18 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:44:38 น. |
|
|
|
โดย: cartoon IP: 10.20.114.232, 203.149.16.36 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:10:42:11 น. |
|
|
|
โดย: ตา IP: 10.109.13.38, 203.156.191.17 วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:16:13:57 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องซิลมี IP: 202.12.74.251 วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:9:50:07 น. |
|
|
|
โดย: ฺBLee IP: 202.3.71.10 วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:12:13:30 น. |
|
|
|
โดย: PADD IP: 58.8.106.192 วันที่: 13 มิถุนายน 2553 เวลา:18:22:12 น. |
|
|
|
โดย: san_nee IP: 110.49.79.163 วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:21:24:31 น. |
|
|
|
โดย: สาวสะตอใต้ วันที่: 25 กันยายน 2553 เวลา:21:54:56 น. |
|
|
|
โดย: กำลังใจเล็กๆ (NungNing&PanPan ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2554 เวลา:13:30:46 น. |
|
|
|
โดย: AooHPhonphanich IP: 183.89.244.240 วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:10:52:38 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องเอิร์ธ IP: 125.24.179.73 วันที่: 3 มีนาคม 2555 เวลา:23:28:55 น. |
|
|
|
โดย: Manaka IP: 36.37.233.132 วันที่: 23 มิถุนายน 2555 เวลา:0:04:33 น. |
|
|
|
โดย: Measa IP: 203.144.130.176, 119.46.68.228 วันที่: 4 กรกฎาคม 2555 เวลา:9:16:17 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องเม่น IP: 164.109.95.79 วันที่: 6 สิงหาคม 2555 เวลา:8:22:16 น. |
|
|
|
โดย: Lorenzo's Oil IP: 124.122.101.136 วันที่: 20 ธันวาคม 2557 เวลา:13:03:22 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องเม่น (แม่น้องเม่น ) วันที่: 26 มกราคม 2558 เวลา:9:39:46 น. |
|
|
|
โดย: แม่เพียว IP: 125.26.106.117 วันที่: 19 มิถุนายน 2558 เวลา:12:42:22 น. |
|
|
|
โดย: แต๋ม IP: 124.122.247.42 วันที่: 7 เมษายน 2559 เวลา:18:12:08 น. |
|
|
|
| |
|
|