|
จงชื่นชมยินดี
Ecclesiastes 7:14
ในวันแห่งความเจริญก็จงชื่นชมยินดี แต่ในวันแห่งความทุกข์ยากก็จงพินิจพิจารณา พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง เพื่อมนุษย์จะไม่ค้นได้ว่าเมื่อเขาล่วงไปแล้วจะมีอะไรมา
ท่านเปาโล ได้กระทำและกล่าวยืนยันเป็นตัวอย่างให้เราในเรื่องนี้ว่า
Philippians 4:10-13
แต่ข้าพเจ้ามีใจชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง เพราะว่าในที่สุดท่านก็ได้ฟื้นการระลึกถึงข้าพเจ้าอีก ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจริงๆ แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าที่ไหนหรือในกรณีใดๆ
ข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนให้เผชิญกับความอิ่มท้องและท้องและความอดอยาก ทั้งความสมบูรณ์พูนสุขและความขัดสน
ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
.....เมื่อเราทั้งหลาย เข้าส่วนในความชอบธรรมของพระคริสต์นั้น เราจะเลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นความสุขสบายเท่านั้นก็มิได้
.....เหมือนดั่งคำว่า เพื่อนแท้นั้น ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่า สุข หรือ เศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
.ท่านเปาโล ได้กล่าวไว้ว่า
Ephesians 4:1-6
เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับที่ท่านทั้งหลายถูกเรียกแล้วนั้น คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ อดกลั้นไว้นาน และอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก
จงเพียรพยายามเอาสันติสุขผูกมัดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของพระวิญญาณ มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในท่านทั้งปวง
.....ต่อให้ ความจริง นั้นทำให้เราต้องตายฝ่ายเนื้อหนัง ก็ให้เห็นแก่ความจริงนั้นเถิด เพราะว่า เราตาย ก็ด้วยเห็นแก่ข่าวประเสริฐ และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา บำเหน็จของเรามิใช่สิ่งใดในโลกนี้ ที่ไม่ยั่งยืนถาวร เป็นความสุขที่ฉาบฉวย
......พระเยซูได้ตรัสไว้ เมื่อครั้งที่พระองค์เทศนาบนภูเขา เรื่องความสุขนิรันดร์ ว่า
Matthew 5:10-12
บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
....ตรงนี้พระเยซูได้เป็นตัวอย่างให้กับเราแล้ว เพราะการที่พระองค์ยอมถูกเหยียดหยามทุกๆ อย่าง จนถึงความมรณาที่ไม้กางเขน พระองค์สละชีวิต และ พระองค์ ก็ได้ชีวิตกลับคืน ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้
John 10:17 -18 ด้วยเหตุนี้พระบิดาของเราจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก
ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก พระบัญชานี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา"
.......พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ผู้ที่ร่วมงานประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชื่อของผู้นั้นถูกบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว
......ด้วยว่าคนเหล่านั้น ลงทุนด้วยชีวิตของเค้า ดังนั้น เค้าจึงได้ชีวิตตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินสวรรค์
ขอพระเจ้าเสริมกำลังให้เราอดทน และชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน ในนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูคริสตเจ้า อาเมน
Create Date : 25 ธันวาคม 2549 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2549 22:59:04 น. |
Counter : 1039 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
พระเจ้ากับพระคำของพระเจ้า
.....พระเจ้ากับพระคำของพระเจ้า 2 สิ่งนี้ ต้องมีความสมดุลย์กัน
ให้เราลองสำรวจตัวเราเองว่า พระเจ้ากับพระคำของพระเจ้าในชิวิตของเรานั้น สมดุลย์กันอยู่หรือป่าว?
ในพระธรรม สดุดี 119:57 บันทึกไว้ว่า
.....โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นส่วนของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กล่าวว่าข้าพระองค์จะรักษาพระวจนะของพระองค์
พระวจนะ ในตอนนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ 2 ประเด็นด้วยกัน คือ
....พระเจ้า กับ......พระวจนะของพระเจ้า
สองสิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจะต้อง ดำเนินไปด้วยกัน ในชีวิตคริสเตียนของเราทุกคน ไม่ใช่เพียงด้านใดด้านหนึ่ง
.....ถ้าชีวิตเรา เกี่ยวข้องกับพระเจ้า แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ พระวจนะของพระองค์ .....ชีวิตของเราไม่แตกต่างกับผู้ที่แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วๆ ไป เพราะ คนเหล่านั้นมาอ้อนวอนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น และรู้จักสิ่งที่ตัวเองได้ไปร้องขอนั้น แค่ชื่อ
.....ขอให้เราทั้งหลาย อย่าให้เราเป็นแบบนั้น อย่าให้เรารู้จักพระองค์แค่ พระนาม
..
....กลับมาที่ข้อพระคัมภีร์ ใน สดุดี 119:57 อีกครั้ง ตรงท่อนที่ว่า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นส่วนของข้าพระองค์
.....คำว่า เป็นส่วนโดยความหมายทั่วไป หมายถึง เป็น 1 ในนั้น เช่น นิ้ว เป็นองประกอบของ มือ แต่คำว่า ส่วน ในพระคัมภีร์ตอนนี้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องผิวเผินง่ายๆ แค่นั้น แต่ หมายถึง มรดก
สดุดี 16:5-6 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นส่วนมรดกและถ้วยของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรักษาส่วนของข้าพระองค์ไว้ เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี
.....พระคำตอนนี้บอกเราว่า มรดก ที่มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่ดี และหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ทันทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราได้มีมรดกที่ได้รับจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าสร้างเรา แต่เราทั้งหลายคิดไม่ถึงจึงไปไขว่คว้าหามรดกจากที่อื่น เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีมรดก
.....พระคำตอนนี้ ได้พูดถึงชนชาติที่พระเจ้าเลือก คือชนชาติอิสราเอล เข้าไปในดินแดนที่พระเจ้าสัญญาแล้วพระเจ้าตัดส่วนให้กับคนเหล่านั้นพระผู้ที่รับมรดกนั้นกล่าว ว่า เป็นเรื่องดี ......
ลองเปรียบเทียบ กับละครน้ำเน่าแย่งชิงมรดกแล้วกัน เวลาที่ พ่อแม่เสียชีวิตไป และมีพินัยกรรมยกมรดกให้ลูก .....ตอนที่ลูกยังไม่ได้รับมรดก เค้าให้ความสำคัญกับเจ้าของมรดก เพราะ พ่อแม่มีมรดก (ซึ่งตัวเองอยากได้) แต่หลังจากที่ได้มรดกแล้ว เจ้าของมรดกก็หมดความหมายไป ...
.....แต่ผู้เขียนสดุดีบทนี้ บอกว่า พระเจ้าเป็นมรดก ดังนั้น การพูดแบบนี้ ความหมายคนละเรื่องกับเหตุการณ์ณ์ที่ยกตัวอย่างไว้เมื่อกี้ เพราะ คำว่า มรดก กับ เจ้าของมรดก ไม่ถูกแยกออกมาโดยให้ความสำคัญต่างกัน
..... แต่สรุปตรงที่ว่า พระเจ้า เป็นมรดก และมรดก มีส่วนในตัวของเค้า เมื่อทั้ง 2 อย่างนี้ สมดุลย์กัน ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเค้า นั้นย่อมเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
..... ความเป็นส่วน นั้น แยกออกจากนั้นไม่ได้ หรือถ้าต้องแยกออก ต้องเสียศูนย์แน่นอน
ดังที่ พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ว่า ... ยอห์น 15:5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก[พราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
.จากพระคำข้อนี้ พระเยซูเน้นย้ำว่า เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้
ต่อมา ในพระธรรมยอห์น 17:20-21 พระเยซูคริสตเจ้า เห็นว่า เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียน พระองค์ไม่ลืมที่จะอธิฐานแม้ในยามคับขันเช่นนั้น ก่อนที่พระองค์จะโดนจับตัวไป ว่า ... ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งปวงที่จะเชื่อในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา
เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา
....พระคำตอนนี้เป็นคำอธิฐานของพระเยซูคริสต์ที่เรากับพระเจ้าจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในความหมายที่ว่า เราจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้า จนขนาดที่ต่อไปเราสามารถพูดได้จากประสบการณ์ส่วนตัวของเรากับพระเจ้าได้ เหมือนที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดี กล่าวไว้ว่า โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นส่วนของข้าพระองค์
.... ขณะนี้เราทั้งหลายกำลังทำบาปอยู่หรือไม่ ถ้ายังทำอยู่ แสดงว่า ส่วนของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในท่าน เพราะพระเจ้าไม่ทำบาป เหมือนอย่างที่องค์พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระองค์ก็เป็นผู้ซึ่งปราศจากความผิดบาป และไม่เคยทำบาป
สุดท้ายนี้ ขอพระเจ้าเปิดเผยให้เราเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและครอบครองชีวิตของเราทุกคนให้หันหลังไปเสียจากความผิดบาปโดยถาวร และ มีส่วนในพระเจ้าด้วยความชอบธรรม ในพระนามอันศักดิ์สิทธ์ขององค์พระเยซูคริสตเจ้า เอเมน
Create Date : 25 ธันวาคม 2549 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2549 22:53:37 น. |
Counter : 804 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
~ น้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตคริสตชน ~
.....น้ำพระทัยที่สำคัญที่สุดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา คือ ความรอดโดยพระเยซูคริสตเจ้า
แผนการความรอดของพระเจ้านี้ทำให้เห็นว่า พระเจ้ารักมนุษย์มากเพียงไร และนี่เป็นสิ่งที่ชาวคริสต์รู้กันดีอยู่แล้ว
.....แต่น้ำพระทัยของพระเจ้าไม่ได้มีเพียงแต่ ความรอด เท่านั้น พระเจ้าไม่ได้โยนความรอดมา แล้วก็ จบๆ กันไป ทางใครทางมัน แต่ยังมีน้ำพระทัยของพระเจ้าอีกมากมาย ที่เราควรจะรับรู้ และ เรียนรู้ ดังต่อไปนี้
1.พระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียม
Matthew 6:31-34
เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า เราจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว"
Psalms 23:1 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
Romans 8:28 เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง
+++
2. พระเจ้าเป็นที่พักพิง
Psalms 18:2 พระเยโฮวาห์เป็นศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เป็นกำลังของข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์ เป็นดั้ง เป็นเขาแห่งความรอดของข้าพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์
Psalms 27:5 เพราะพระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้าในที่กำบังของพระองค์ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ในที่ซ่อนเร้นแห่งพลับพลาของพระองค์ พระองค์จะทรงตั้งข้าพเจ้าไว้สูงบนศิลา
++++
3.พระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่เคยเพิกเฉยต่อการทูลขอของลูกๆพระองค์
Psalms 116:1 -2
ข้าพเจ้ารักพระเยโฮวาห์เพราะพระองค์ทรงสดับเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณสดับข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะทูลพระองค์ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่
4.สั่งสอน และ เตือนสติ
.....พระเจ้าทำให้ชีวิตเราได้เรียนรู้จักกับความทุกข์ยาก ให้เรารู้จักอดทน เพราะ ความอดทนไม่ได้เรียนรู้มาจากการมีชีวิตที่สุขสบาย
James 1:2-4
พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายตกอยู่ในการทดลองต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสิ้น เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความเพียร และจงให้ความเพียรนั้นกระทำการจนสำเร็จ เพื่อท่านทั้งหลายจะสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย
++++
5.พระเจ้าทรงตีสอนคนที่พระองค์ทรงรัก
Hebrews 12:6-10
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงเฆี่ยนตีผู้นั้น'
ถ้าท่านทั้งหลายทนเอาการตีสอน พระเจ้าย่อมทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตร ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนทั้งปวง ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ
อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายได้มีบิดาตามเนื้อหนังที่ได้ตีสอนเรา และเราจึงได้นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะได้ยำเกรงนบนอบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณและจำเริญชีวิตมิใช่หรือ
เพราะ แท้จริงบิดาเหล่านั้นตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์
++++
6.พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
Psalms 37:23-24
พระเยโฮวาห์ทรงนำย่างเท้าของคนดี และพระองค์ทรงพอพระทัยในทางของเขา แม้เขาล้มเขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเยโฮวาห์พยุงเขาไว้
.....ดั้งนั้น สิ่งที่เราควรทำคือ เราควรตอบสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งหมดนี้ ด้วยการ
ขอบพระคุณพระเจ้าทุกกรณี
1 Thessalonians 5 :18
จงขอบพระคุณในทุกกรณีเพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย
สุดท้ายนี้
.......ขอพระเจ้าช่วยให้เราได้เรียนรู้และรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้รู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตเรา เพื่อที่เราจะได้เดินอยู่ในทางและน้ำพระทัยแห่งความชอบธรรมไปจนถึงความไพบูลย์แห่งองค์พระเยซูคริตเจ้าของเรา
ในนามพระเยซูคริสตเจ้า อาเมน
//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4959194/Y4959194.html
Create Date : 25 ธันวาคม 2549 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2549 22:45:32 น. |
Counter : 545 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ยุทธภัณฑ์ของคริสเตียน
เอเฟซัส 6:10-17
พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์
จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามาร ได้
เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือดแต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
เหตุฉะนั้น จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะยืนมั่นได้
เหตุฉะนั้นท่านจงยืนมั่น เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก และ เอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของผู้ชั่วร้ายนั้นเสีย จงเอาความรอด เป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และ จงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า +++
จาก เอเฟซัส 6:10-17 นี้ เปาโล ชี้ให้เราสำนึกว่าในชีวิตด้านจิตวิญญาณของเรานั้น เรากำลังอยู่ในสนามรบและศัตรูของเรามีกำลังมากกว่าเรา ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญศัตรูด้วยกำลังของพระเจ้า และต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระองค์ ดังต่อไปนี้ไว้ตลอดเวลา
1. เข็มขัด แห่ง ความจริง งานของซาตาน คือ "การหลอกลวง" พระคัมภีร์ได้กล่าวในเรื่องงานของซาตานไว้ ใน ยอห์น 8:44 ว่า
ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และ มิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
ดังนั้นเราต้องป้องกันการหลอกลวงของมารด้วยการ ดำเนินชีวิตบนความจริงตลอดเวลามีชีวิตอยู่ในความโปร่งใสไม่มีอุบาย
2. ทับทรวงแห่งความชอบธรรม เป็นผลจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อให้เราทั้งหลายเป็นผู้ชอบธรรมโดยพระโลหิตของพระองค์
3. รองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ คือวิถีที่เต็มไปด้วยสันติภาพ และนำสันติภาพไปสู่ผู้อื่น
4. โล่แห่งความเชื่อ ใช้ป้องกันศรเพลิงจากซาตาน ความเชื่อเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถต่อต้าน ปฏิเสธ หลีกหนีจากไฟราคะตัณหาของโลกได้
5. หมวกแห่งความรอด ใช้ป้องกันส่วนหัวซึ่งเป็นที่บรรจุความคิดและสติปัญญา
6. ดาบแห่งพระวิญญาณ คือ พระคำของพระเจ้าที่ไม่มีใครต้านทานได้
สำรวจดูว่าชีวิตของเรามีจุดบกพร่องในการใช้ยุทธภัณฑ์ชั้นไหนบ้าง? และจัดการวางแผนพัฒนาจุดบกพร่องเหล่านั้น . . .
พระบิดาเจ้าขอพระองค์ที่เราจะไม่ละทิ้งและใช้ยุทธภัณฑ์ที่พระองค์ประทานให้ เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดและป้องกันมารซาตานให้ออกไปให้ห่างจากชีวิตของเรา
ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน
Create Date : 03 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 26 กันยายน 2549 19:34:17 น. |
Counter : 1472 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ความสุขที่ได้รับจากพระวจนะของพระเจ้า
สดุดี 119:2 ผู้ที่รักษาบรรดาพระโอวาทของพระองค์ก็เป็นสุข คือผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ
ถ้าเป็นไปได้ ขอให้เราไตร่ตรอง และ ท่องจำพระคำตอนนี้ให้ขึ้นใจ ก่อนที่จะอ่านบรรทัดต่อไป
(หึหึ ห้ามขี้โกงกันนะ . .)
ขณะนี้ (คาดว่า )เราท่องจำกันได้แล้ว
ตอนนี้ให้พระคำของพระองค์ทำงานในชีวิตเรา และให้ชีวิตเราเริ่มต้นด้วยบรรดาพระโอวาท เพราะว่า การเริ่มต้นชีวิตด้วยบรรดาพระโอวาทของพระเจ้านั้น เป็น ความสุข ที่มาจากพระเจ้า
คำว่า บรรดาพระโอวาท นั้น หมายถึง พระคำของพระเจ้าทุกข้อ
พระโอวาท ของพระองค์ บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธานุภาพสูงสุด เพราะฉะนั้น บรรดาพระโอวาทของพระองค์ เป็นที่น่าเชื่อถือได้ และควรแก่การทำตามเปนอย่างยิ่ง
พระโอวาทใน สดุดี 119:2 กับพระโอวาทที่พระองค์ใช้สร้างโลก เป็นพระโอวาทเดียวกัน พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกด้วย พระวาทะ นี่ก็เป็นพระโอวาท และพระโอวาทที่พระเจ้าใช้ผ่านพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ใช้การทำอัศจรรย์ ก็เป็นพระโอวาทเดียวกัน
เหล่านี้เป็นพระโอวาทเดียวกัน เพียงแต่ทำหน้าที่คนละอย่าง
หลายครั้ง เราเรียก พระคำของพระเจ้าว่า พระวาทะแห่งชีวิต เพรา ะบรรดาพระโอวาทของพระองค์ให้ชีวิต
ขอพระเจ้าให้เราเห็นความสำคัญของพระโอวาท . .
ในสดุดดี 119:18 ขอเบิกตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระราชบัญญัติของพระองค์
ถามตัวเอง เราทั้งหลาย เคยอธิฐานแบบใน สดุดดี 119:18 นี้ไม๊?
มีหลายคน อ่านพระคัมภีร์มาตั้งแต่เป็นคริสเตียนใหม่ หลังจากนั้น 2 ปี หรือมากกว่านั้น ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่องอยู่ดี เคยอธิฐานขอพระเจ้าให้เราเข้าใจพระคำของพระองค์ไม๊ ? . . . บางคนรู้สึกเบื่อ อ่านยังไงก็แค่นั้น จะให้ท่อง ให้เข้าใจไปทำไม
ที่เป็นเช่นนั้น . . เพราะเรามองไม่เห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในพระคำของพระเจ้า
พระคำของพระเจ้า นั้น บริสุทธิ์ เริ่มแรก . . คนที่ จะมาอ่านพระคำของพระเจ้า และเข้าใจได้ คนนั้นก็ต้อง บริสุทธิ์ และ ขอบคุณพระเจ้า เราทั้งหลายเป็นคนของพระองค์ ที่มาในทางของพระเยซูคริสต์ ที่พระโลหิตของพระองค์ชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สัญญาว่าจะสอนเรา
ดังนั้น ขอให้เราอธิฐานให้พระเจ้าเปิดตาเรา เหมือนใน สดุดี 119:18 เพื่อให้เราที่จะได้เห็นสิ่งมหัสจรรย์ในพระคำของพระองค์ให้ชีวิตของเราถูกเคลือนไปด้วยพระวจนะคำ ของพระเจ้า
นอกจากนั้นพระโอวาทของพระองค์ ยังคงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ ในการเป็นพระเจ้า เมื่อพระองค์ตรัส . . คำตรัสของพระองค์ เปรียบเสมือนการตัดสินใจของพระองค์ และการตัดสินใจของพระองค์มันจะเกิดขึ้นตามที่พระองค์ตรัส เช่น . . พระเจ้า ใช้พระวาทะสร้างโลก จะเห็นได้ว่าในปฐมกาลตอนพระเจ้าสร้างโลก นั้นในพะคัมภีร์เต็มไปด้วย คำว่า พระเจ้าตรัสว่า.... และ สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นตามที่พระองค์ทรงตรัส ปฐมกาล 1:3 พระเจ้าตรัสว่า "จงให้มีความสว่าง" แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น //www.thaipope.org/webbible/01_001.htm
องค์พระเยซูคริสต์ตรัสให้ลาซารัส ฟื้นขึ้นและเดินออกมาจากหลุมศพ เค้าก็ฟื้นและเดินออกมา
ยอห์นฺ 11:43-44 "เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงเปล่งพระสุรเสียง ตรัสว่า ลาซารัสเอ๋ยออกมาเถิด "ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้าและที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย
และ เช่นเดียวกัน เมื่อพระองค์ตรัสว่า . . ผู้ที่รักษาบรรดาพระโอวาทของพระองค์ ก็เป็นสุข
แปลความว่า
ความสุขนั้น จะต้องเกิดขึ้นกับผู้ที่รักษาพระโอวาทของพระองค์แน่นอน
เอเมน
ขอยกตัวอย่าง . . . ความสุข ใน 2 แบบ
บางคน มีความสุข ที่ ได้ทำ เค้ามีความสุขแค่นั้น แต่ พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ใช่แค่ ได้ทำ แต่เป็น การ ทำได้
สดุดี 119:2 (ย้ำอีกที)
ผู้ที่รักษาบรรดาพระโอวาทของพระองค์ก็เป็นสุข คือผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ
ในพระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า เมื่อเรา ทำได้ ผลแห่งการกระทำนั้น จะแปรผลออกมาเป็น ความสุข และนั่นคือ ความสุขที่ถาวร ที่เกิดจากข้างใน
และอีกด้านนึงที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า . . .
คือ ผู้ที่หาพระองค์ด้วยสุดใจ
บ่งบอกว่า การรักษาบรรดาพระโอวาทของพระเจ้าอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ เราต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจ ประโยคหลังนี้เกิดขึ้นจากพระโยคแรก
เมื่อเรามีประสบการณ์กับพระคำของพระเจ้า แล้ว ในที่สุดผลแห่งพระคำของพระเจ้าทำให้เรามีความสุข
และความสุขนี้ ทำให้เราหิวกระหายที่จะรู้จักเจ้าของพระคำนั้น และเราจะเริ่มต้นแสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจของเรา เพื่อจะได้รู้จักพระองค์มากขึ้น นมัสการและขอบคุณพระองค์
ต่อมา ใน สุดดี 119:111 บรรดาพระโอวาทของพระองค์ ข้าพระองค์รับไว้เป็นมรดกเป็นนิตย์ พระเจ้าข้า เป็นความชื่นบานแก่ใจข้าพระองค์
เพราะฉะนั้นท่าทีของเรา ที่มีต่อพระคำของพระเจ้า ควรจะเป็นอย่างนี้ คือ เป็นมรดกแห่งชีวิตของเรา
มรดก ที่มีค่าที่สุดของเรา ไม่ใช่สิ่งของใดๆ ในโลกนี้ ที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรเลย หากแต่เป็น พระวจนะ ของพระเจ้า ที่เป็นมรดกล้ำค่า ดังนั้น ขอให้พระเจ้าที่จะให้เรารู้สึกจริงๆ ว่า ให้ บรรดาพระโอวาทของพระองค์นั้นเปนมรดกของชีวิตของเรา
พระบิดาเจ้า เราขอบคุณพระโอวาทที่สำแดงให้แก่เราโดยพระเมตตาของพระองค์ เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความจริง และมาถึงความสุขที่เราแสวงหา ในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของโลกนี้ เราขอบคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงเบิกทาง และประทานพระคำของพระองค์ให้เป็นมรดกในชีวิต ของเราทั้งหลาย ขอพระองค์เสริมกำลังที่จะให้เรารักษาบรรดาพระโอวาท ของพระองค์ให้ครบทุกข้อ เพื่อที่เราจะได้มีความสุข ตามที่พระองค์ประสงค์จะให้เราเป็น
ในนามพระเยซูคริสต์ เอเมน
Create Date : 01 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2549 22:59:51 น. |
Counter : 1411 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|