Group Blog
 
All blogs
 

อุปสมบทครั้งที่ 2

ปี พ.ศ. 2488 หลวงปู่มีอายุ 39 ปี เข้ารับการอุปสมบทในคณะมหานิกาย ที่วัดโคกช้าง อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่ออั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ การบวชในครั้งนี้ ต่างจากครั้งแรก โดยเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไร หลวงปู่เล่าถึงความตั้งใจจริงของท่านว่า " พอผ้าเหลืองถูกตัว ก็ตั้งใจว่าจะรักษากุศลไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นได้ หน้าคนไม่มอง จะมองดูแค่เท้า " เมื่อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้อยู่ 15 วัน ปรากฏว่ามีอกุศลเกิดขึ้นในใจจึงบ่นว่า " รักษาอย่างนี้แล้วอกุศลยังเกิดขึ้นได้ " ท่านพิจารณาซ้ำไปมา 3 หน ก็เกิดความรู้ขึ้นที่จิตว่า " จะรักษาได้อย่างไร กุศลก็เกิดจากจิต อกุศลก็เกิดจากจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากจิตทั้งนั้น " หลวงปู่จึงอุทานว่า " พุืทธะเกิดขึ้นแก่เราแล้ว ท่านจึงพิจารณาคืนหมดทั้งกุศล และอกุศลที่เกิดขึ้น คืนเข้าไปในจิตทั้งหมด ไม่ให้ล่วงกาย ล่วงวาจาเลย "

" สติปัฏฐานทั้ง 4 เอาแค่ 2 คือ กายกับจิต ตั้งลงที่นามรูปนี้ มรรคมีองค์ 8 เอาแค่ 4 คือ สัมมาวาจา เว้นจากวจีทุจริต ทั้ง 4 สัมมากัมมันโต เว้นจากการจุทจริตทั้ง 3 สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายาโม มีความเพียรรักษาจิต คือ เมื่อสัมผัสอารมณ์เกิดจิตหมด ( หนามยอกเอาหนามบ่ง) เอาความตายเป็นอารมณ์ " หลวงปู่ได้เอาหัวมันกับตราชั่งมาแขวนไว้ที่หน้ากุฏิ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่า " มีอะไร ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ชั่งหัวมัน ไม่เอาใจใส่ " หากมีใครมาคุยเรื่องอื่น นอกจากเรื่องธรรมมะแล้ว หลวงปู่ไม่คุยด้วยเลย

หลังจากทำเช่นนี้อยู่ประมาณ 1 เดือน ก็เกิดขึ้นมาที่จิตว่า " จะบูชาพรหมจรรย์ " ท่านจึงเข้าห้องปิดประตู ถามลงไปในใจว่า " อะไรเป็นภัยของพรหมจรรย์ " สักระยะก็มีคำตอบว่า " เงินและทอง เครื่องสักการะ รูป เสียง เป็นภัยของพรหมจรรย์ " ท่านจึงพิจารณาเข้าไปอีกว่า " เงินทอง ถ้าเขาเอามาถวาย เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน ถ้าเราไม่รับ ให้ตายได้ไหม เครื่องสักการะเอาให้เป็นของกลาง รูป เสียง ไม่ต้องกลัวออก มาจาในมุ้ง เชิญมันเข้าไป " เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็ดับเงีียบลงไที่จิตเป็นเวลานาน ท่านว่า " ดับก็ดับไป ไม่ได้คิดว่าเป็นอะไร "

มีต่อนะ......คงไว้ใ้ห้บำเพ็ญ .....สุธมฺโม ภิกขุ




 

Create Date : 20 มกราคม 2553    
Last Update : 20 มกราคม 2553 16:16:42 น.
Counter : 1376 Pageviews.  

ติดคุกหนัง 16 ปี

เมื่อปลดจากทหารแล้วหลวงปู่ก็ขออนุญาตมารดาจะ บวชอี มารดาไม่
อนุญาติ แต่จะให้แต่งงานมีเหย้าเรือน ทีแรกหลวงปู่ไม่ยอมแต่ง ภายหลังขัด
มารดาไ่ม่ได้ ก็จำยอม มารดา บิดา ไปขอคุณครูอุทัยวรรณ สุกร์สุคนธ์ ซึ่งเป็นบุตรีของนายอำเภอ และเป็นลูกผู้พี่ของจอมพลเผ่า ศรียานนท์ ในวันส่งตัวเข้าหอ หลวงปู่ถึงกับร้องไห้ เพราะมีความเห็นอยู่ว่า ชีวิตครอบครัวไม่เห็นเป็นเรื่องสนุก ท่านได้ตั้งกติกากับคุณครูอุทัยวรรณว่า "ห้ามด่าทอกัน ถ้าด่ากัน
วันไหน ก็เลิกกัน ห้ามเถียงมารดา จะผิดหรือถูก ต้องยกไว้ หมาในไม่ให้ออก หมานอกไม่ให้เข้า" กติกาที่เข้มงวดข้อต่อไป " ผ้านุ่งมี 6 ผืน ห้ามตัดใหม่ เสื้อห้ามเปลี่ยนสี นอกจากจะอนุญาต ผมห้ามดัด เรื่องการเงินผมเป็นคนเก็บ แต่จะทำบัญชีให้ดู ค่าใช้จ่ายในบ้านจะใ่ส่กระป๋องไว้ ต้องใช้ให้ตลอดเดือน ส่วนเิงินเดือนครูเป็นของส่วนตัว ยกให้ นอกจากทำอาหารเช้าแล้ว เที่ยงต้องกลับมาทำให้กินด้วย ทั้งหมดนี้ ถ้าทำไม่ได้จะเลิกกันเมื่อไหร่ก็ได้ "
ตัวหลวงปู่เองนั้นไม่ได้ทำอะไร ท่านว่า " นอนกระดานเป็นมัน มีค่าเช่านาใช้ ข้าวลูกหาบก็หาบมาให้ ท่านไม่ขวนขวายกอบโกยเหมือนคนอื่นๆ มีความเห็นว่า ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ " ท่าน ไม่เคยไปไหน มาไหน กับภรรยา เสมือนคู่สามีภรรยาทั่วไป จิตคิดปรารถนาจะออกบวชอยู่เสมอ การกระทำของท่านคล้ายจะบีบคั้นให้ภรรยาของท่านขอเลิกชีวิตสมรส แต่ภรรยาของท่านก็ทนได้ หลวงปุ่ชมเชยว่า "มีคนเดียวแปละ ถ้าเป็นผู้หญิงสมัยนี้ คงอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน "

แม้ิ จิตใจท่านปรารถนาออกอุปสมบท แต่ความเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่เชื่อความคิดที่กลับกลอก ดำริถึงเรื่องกามว่า มีอำนาจใหญ่หลวงนัก กลัวอุปสมบทไปแล้ว จะสึกออกมาอีก เริ่มทดสอบโดยนอนเฉยๆ บนเตียงกับภรรยา ไม่เสพกามเป็นเวลาแรมปี ท่านมีความเห็นว่า " ความคิดที่จะเสพกาม ถ้าเราไม่ยอมให้มันเสพ มันจะมีอำนาจอะไร " และท่านก็ทำได้ ทำให้มั่นใจว่่า เมื่ออุปสมบทแล้ว จะไม่หวนกลับมาเพราะเหตุแห่งกามอีก หลวงปู่ให้
คำสอนไว้ว่า " ความ คิดนั้น ชี้หน้ามันได้ว่า ไม่มีอำนาจอะไร ถ้าเราไม่ให้มันทำด้วย กาย วาจา มันตายแน่ คนเราที่ต้องทนทุกข์ทนยาก ก็เำพราะ ความคิดนี้เป็นเหตุ "

หลวง ปู่บอก "ความคิดหลอกลวงมามาก ครั้งหนึ่งมีความคิดน้อยเนื้อต่ำใจ จึงผูกคอตาม แต่ภรรายาเข้ามาช่วยได้ทัน จึงรอดชีวิต" ท่านว่า "จิตที่คิดฆ่าตัวตาย นั้นมีด้วยกันทุกคน เพียงแต่จะถึงจังหวะเมื่อใดเท่านั้น ถ้ามีกรรมเก่าอยู่ด้วย ก็ตายสมใจ " เพราะเหตุเหล่านี้ จุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งในการออกอุปสมบทของท่านก็คือ ท่านจะฆ่าความคิดของตัวเอง...

มีต่อนะครับ.....คงไว้ใ้ห้บำเพ็ญ.....สุธมฺโ ภิกขุ

ต่อ.....ติดคุกหนัง 16 ปี

นอกจากจะไม่ยินดีในชีวิตครอบครัวแล้ว หลวงปู่ยังมีความความเห็นว่า
การเป็นนายของเขานั้น ยังสู้เป็นลูกจ้างเขาไม่ได้ คนเป็นนายต้องลำบาก คอยหาข้าวให้กิน จ่ายเงินให้ใช้ ต้องคอยดูแลตรวจตราสิ่งต่างๆ ครอบครัวลูกจ้างนั้นท่านใ้หตั้งไว้รอบบ้าน เพื่อจะได้คุ้มภัยให้ด้วย แต่พอตกเย็นค่ำ ท่านต้องคอยออกสำรวจตรวจดูรอบ ๆ บ้าน ระมัดระวังทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ทุกวัน ส่วน
พวกลูกจ้าง พอตกเย็นกินข้าวเสร็จแล้ ก็นั่งร้องเพลง ไม่ต้องเป็นทุกข์อะไร
ทำให้ท่านยิ่งเบื่อหน่ายในชีวิตของคฤหัสถ์ และคิดหาทางออกบวชยังไม่ได้
จนกระทั่ง มีเหตุเกิดขึ้น คือ โจร 9 คน ขึ้นปล้นบ้านในเวลากลางวัน ขณะนั้น บิดาท่านอยู่บ้านคนเดียว บิดาเมื่อรู้ตัว จึงเอื้อมมือหยิบมีด แต่ว่าไม่ถึง เพราะขาท่านไม่ดีข้างหนึ่ง พวกโจรเข้าถึงแล้วก็ใช้มีดที่ติดตัวมาทั้งฟัน ทั้งแทง แต่ไม่เข้า เกิดการต่อสู้กัน แต่พวกโจรมีมาก จึงช่วยกันจับตัวไว้ใช้มีดสวนทวารหนัก ถึงแก่กรรมในท่านั่ง โจรถูกห่าตายไป 1 คนทั้งหลายเชื่อกันว่า ความหนังเนียวของบิดาท่านนั้น เป็นเพราะเหรียญของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ที่ท่่านห้อยคออยู่ตลอดเวลา
ในขณะนั้น หลวงปู่อยู่คนละตำบล พอทราบข่าว ท่านวิ่งข้ามตำบลกลับมา เพื่อจะช่วยแต่ไม่ทันเวลา บิดาตายเสียแล้ว ท่ายจึงจัดการบำเพ็ญกุศลศพบิดาท่าน เมื่อครบ 100 วัน แล้วจึงเผา ส่วนพวกโจร ก็ถูกทางการติดตามตัว บางคนตกน้ำตาย ถูกยิงตายบ้าง ถูกจับบ้าง ในสมัยนั้นใช้กฏอัยการศึก คนที่ถูกจับได้ ทางตำราจนำตัวมาให้หลวงปู่ยิงให้ตายตกตามกันไป แต่หลวงปู่ไม่ยิง ให้เหตุผลว่า " ยิงทำไม สุนัขยังวิ่งหนีได้ แต่นี่หนีก็ไม่ได้ ยิงมันก็ตายเปล่า บิดาก็ไม่ฟื้น บิดาจะเคยทำกรรกันมาอย่างไร ไม่ทราบ ไม่ต้องยิงมันเดี๋ยวมันก็ตายเอง" ท่ามกลางความไม่พอใจของญาติทั้งหลาย

เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว เห็นเป็นโอกาสเหมาะ ท่านจึงประกาศบอกมารดาและญาติทั้งหลายว่า "จะขอบวชหน้าศพ อุทิศส่วนกุศลให้บิดา" มาดาและญาติ ต่างนิ่งเงียบไม่มีใครค้าน เมื่อทราบว่าจะได้บวชแน่แล้ว จึงได้จัดการโอนมอบทรัพย์สมบัติ ซึ่งเป็นสินสมรสทั้งหมดให้ภรรยา มิได้ยักยอกเอาไว้เลย มารดาจะขอแบ่งให้น้องชายของหลวงปู่ ก็ไม่ได้ เพราะว่า เป็นของส่วนตัว เห็นใจภรรยาที่ทนลำบากมาตลอด เสร็จแล้วนำปืนที่ซื้อมา เพื่อเฝ้าบิดาไปขาย นำเงินมาซื้อไตรจีวร และบริขารสำหรับการอุปสมบท ท่านกล่าวสรุป ชีวิตสมรสว่า " ติดคุกหนัง 16 ปี "




 

Create Date : 11 มกราคม 2553    
Last Update : 20 มกราคม 2553 15:58:01 น.
Counter : 660 Pageviews.  

อุปสมบทครั้งแรก



เมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ปี ท่านได้กับลูกจ้าง จนเกิดบุตรชายหนึ่งคน ก็พอดีกับอายุครบบวชตามประเพณีของคนไทย ในปี พ.ศ. 2469 เดือน 5 หลวงปู่จึงเข้ารับการอุปสมบท ในคณะมหานิกายที่วัดพระญาติ โดยมีหลวงพ่อกลั่นเป็นพระอุปัชฌาย์ บิดามารดาได้จัดงานให้ใหญ่โต คือนิมนต์พระนั่งอันดับ 25 รูป ถวายผ้าไตรจีวรองค์ละ 1 ไตร บาตรองค์ละใบ ร่มองค์ละคัน น้ำมันองค์ละปี๊บ หลังจากอุปสมบทแล้ว ทุกวันพระท่านจะมาที่บ้านเพื่อแสดงธรรม ให้โยมบิดามารดาฟังเสมอ

ท่านเคย เล่าเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายให้ฟังว่า "ได้มีโอกาสจับหัวเพียงครั้งเดียว โยมย่าพูกหยอกกับหลานว่า จะเป็นลูกย่าหรือจะเป็นลูกพระ ถ้าเป็นลูกย่าก็อยู่กับย่า ถ้าเป็นลูกพระก็ไปอยู่กับพระ อยู่ต่อมาไม่นานเด็กก็ป่วย และตายทั้งที่ยังอ้วนๆ อยู่ เขาก็เอาไปวัด ตกลงก็อยู่กับพระ"

หลวงปู่อุปสมบทอยู่เกือบปี ได้ศึกษาพื้นฐานและเริ่มต้นปฏิบ้ติกัมมัฏฐาน และตั้งใจว่าจะไม่ลาสิกขา แต่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารอยู่ 2 ปี




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 7:57:51 น.
Counter : 1079 Pageviews.  

ชาติกำเนิด

ชาติกำเนิด
หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม เกิดเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2449 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ในตระกูลงามสมภาค บิดาชื่อนายจ้าย มารดาชื่อนางแจ๋ว มีพี่น้องรวม 2 คน คือหลวงปู่กับน้องชายชื่อนายแฉล้ม มีเชื้อจีนเพราะก๋งเป็นจีนนอก นายจ้ายบิดาเป็นเจ้าสัวรับซื้อข้าวจากชาวนา แล้วนำลงเรือสำเภาไปขาย มีที่นาให้เช่าและมีเงินให้กู้ เป็นคนจริง ใจนักเลง ชอบเล่นการพนัน ส่วนนางแจ๋ว มารดา นอกจากจะช่วยงานนายจ้ายแล้ว ยังแจวเรือขายของอีก เป็นคนขยัน ใจกล้า ไม่กลัวใคร ตั้งแต่ตั้งท้องหลวงปู่ มารดาก็ทานเนื้อสัตว์อื่นๆ ไม่ได้ นอกจากปลาและผักต่างๆ และปรากฏมีอักษาขอมขึ้นที่แขนของมารดา มารดาจึงอธิษฐานว่า "หากมาใหคุณ ขอให้เ้ข้าใจด้วยเถิด" อักษรขอมนั้นก็เปลี่ยนเป็นหวย กข. ที่เล่นกันในสมัยนั้น ปรากฏอยู่สองสามวันก็หายไป เมื่อนำไปซื้อก็ถูกรางวัล เมื่อเด็กเกิดมาจึงตั้งชื่อว่า "ด.ช.หวย" หลวงปู่ได้มาเปลี่ยนเป็น "ฉลวย" ในภายหลัง เมื่อเจริญวัยขึ้น พอสมควรแก่การศึกษามารดาจึงส่งให้ไปเรียนหนังสือที่วัดใกล้ๆ บ้าน จนกระทั่งพออ่านออกเขียนได้ จึงกลับมาอยู่ที่บ้านอีก ด.ช.หวย นั้น ประสบอุบัติเหตุทางน้ำหลายครั้ง บางครั้งจมน้ำอยู่นายน่าที่จะเสียชีวิต แต่ก็ปรากฏว่าทุกครั้ง ด.ช.หวย ก็ปลอดภัย อุปนิสัยของหลวงปู่ เป็นคนช่างสังเกต ฉลาด ละเอียดรอบคอบ ค่อนข้างตระหนี่ เป็นคนจริงไม่กลัวใคร และไม่ยอมคน แต่ทว่ามีความเมตตาอยู่ในจิตใจ ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข๋ได้ยาก บางครั้งช่วยคนมีคดีความ จนเกิดวิวาทกับข้าราชการก็มี หลวงปู่เป็นลูกชายคนโต จึงต้องรับภาระกิจการงานเกือบทุกอย่างของครวบครัว ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า "มารดาใช้ลูกจ้่างอย่างไร ก็ใช้ท่านอย่างนั้น ถ้ามารดายังไม่นอน ท่านกับลูกจ้างจะนอนไม่ได้" แต่ถึงอย่างนั้น หลวงปู่ก็คิดว่า "มารดาท่านทำให้กับเราเอง จึงทำใจได้"

คัดลอกมาจาก หนังสือ คงไว้ให้บำเพ็ญ สุธัมฺโม ภิกขุ




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2552    
Last Update : 27 ตุลาคม 2552 15:43:33 น.
Counter : 608 Pageviews.  

วัดป่าบ้านวไลย

วัดป่าบ้านวไลย
ตั้งอยู่ที่บ้านวไลย หมู่ที่ 1 ต.หนองพลับ อ.หัวหิัน จ.ประจวบฯ สืบเนื่องมาจาก เมื่อปี พ.ศ. 2503 หลวงปู่ฉวลย สุธมฺโม เคยมาจำพรรษาอยู่ที่บ้านวไลยแล้ว ในสมัยที่ยังเป็นป่าใหญ่ มีสัตว์ชุกชุมมาก หลวงปู่พร้อมด้วย พระอาจารย์กิ่ง พระอาจารย์เชื้อและสามเณรอีกหลายรูป ซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่วัดราชายตนบรรพต หรือวัดเขาต้นเกด อ.หัวหิน ได้เดินทางมาธุดงค์พักอยู่ี่ที่เรียกว่า เนินสวรรค์ ต.หนองพลับ โดยหลวงปู่ได้ให้สามเณรแยกย้ายไปหาที่พัก ส่วนหลวงปู่ได้พักอยู่ที่เนินสวรรค์นั้นรูปเดียว ต่อมาโยมแคล้ว มีนาม ผู้เป็นนายพรานล่าสัตว์ ผ่านเข้ามาพบ ได้พูดคุยกันพอเป็นที่รู้จักและเลื่อมใสศรัทธา จึงได้นิมนต์ไปพักในที่ดินของเขาที่บ้านวไลย ตรงท้ายไร่ใต้ต้นตะเคียนข้างห้วย หลวงปู่ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ 1 พรรษา ในระหว่างพรรษานั้น ได้ประสพธรรมหลายอย่าง พอออกพรรษา หลวงปู่ป่วยเป็นไข้มาลาเรีย อาการหนักโยมแคล้วและชาวบ้านได้หามขึ้นแคร่พากลับไปที่วัดเขาต้นเกด ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบากมาก เพราะสมัยนั้นถนนนหทางยังไม่มี ต้องอาศัยเดินเลาะไปตามป่าละเมาะและทุ่งหญ้า เป็นระยะทางจากบ้านวไลยถึงหัวหินประมาณ 30 กม. ถึงวัดต้นเกด หลวงปู่ได้พักรักษาตัวอยู่โดยมีหลวงพ่อก้านดูแลและรักษาจนหาย ต่อจากนั้น หลวงปู่ได้ย้ายไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง จนเวลาล่วงเลยมาถึงปีพ.ศ.2525 หลวงปู่ได้เดินทางมาพักอยู่ที่วัดเขาต้นเกด และประมาณเดือนเม.ย. หลวงปู่ปรารภถึงบ้านวไลย จะไปเยี่ยมโยมแคล้ว โดยจะพาพระใหม่และสามเณรไปหัดธุดงค์ที่บ้านวไลย และได้พบกับโยมแคล้ว โยมแฉ่ง มีนาม สองสามีภรรยา ได้สนทนากันพอเป็นที่ระลึก เมื่อรู้วัตถุประสงค์ของหลวงปู่แล้ว โยมแคล้วได้พาหลวงปู่พระสุชาติ สามเณรมนต์ชัย สามเณรธรรมรัตน์ รวมพระ 2 รูป สามเณร 2 รูป ไปพักอยู่ที่สวนขนุนข้างห้วยชั่วคราว โดยโยมแคล้ว และชาวบ้านไ้ด้ช่วยกันสร้างที่พักพอให้ไ้ด้อยู่กันก่อน ต่อมาได้เกิดฝนตกหนักน้ำท่วมใหญ่ พระเณรได้รับความลำบากมาก จนสามเณร 2 รูป ขอลากลับไปจำพรรษาที่วัดต้นเกด คงเหลืออยู่เพียงหลวงปู่กับพระสุชาติเท่านั้น และจวนใกล้เข้าพรรษาแล้ว โยมแคล้วและชาวบ้านเห็นว่าที่ข้างล่างนี้คงไม่เหมาะ เพราะน้ำท่วมจึงนิมนต์หลวงปู่ให้ขึ้นมาอยู่ข้างบน (ที่ตั้งวัดปัจจุบัน) และได้ช่วยกันสร้างกุฏิหญ้าคา 2 หลัง ศาลาหญ้าคา 1 หลัง พอได้พักอาศัยกันไปก่อน พรรษาแรกปี พ.ศ.2525 อยู่เพียง 2 รูป ปีต่อมามีพระเณรอยู่จำพรรษาครบองค์มากขึ้น อีกทั้งลูกศิษย์และผู้ศรัทธาทั้งใกล้และไกล รู้ข่าวว่าหลวงปู่มาัพักอยู่ที่นี่ ก็ได้มากราบเพื่อขอฟังธรรมและทำบุญบำรุงด้วยปัจจัย 4 สร้างเสนาสนะถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา ต่อมาโยมแคล้ว โยมแฉ่ง มีนาม ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน จึงได้ประกาศถวายที่ดินประมาณ 25 ไร่ ให้หลวงปู่สร้า่งเป็นวัดไว้ในพระพุทธศาสนาหลวงปู่ได้ปรารภถึงการสร้างวัดว่า " ลำพังแต่หลวงปู่นั้นจะอยู่ที่ไหนก็ได้ หลวงปู่จะเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ไม่รับภาระ หลวงปู่สร้างเป็นวัดแล้ว ต้องการให้อาตมารับภาระดูแลปกครองหมู่คณะต่อไปเพื่อเป็นเครื่องอยู่ ถ้าไปนิพพานไม่ได้ กลับมาใหม่จะได้มีวัดอยู่" หลวงปู่ได้ตั้งชื่อว่า "วัดป่าวิทยาลัย หมายความว่า วิทยาลัยทางโลกเรียนไม่รูจบ วิทยาลัยทางธรรมเรียนถูกทาง จบได้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ได้) และต่อมาได้ทำเรื่องของสร้างเป็นวัด ทางราชการได้ให้เปลี่ยนชื่อให้สอดคล้องกับหมู่บ้านจึงได้ให้ชื่อใหม่ว่า วัดป่าบ้านวลัย ต่อมาประมาณต้นปื พ.ศ. 2546 ทางราชการมีหนังสือมาให้วัด โรงเรียน หมู่บ้านวไลยและสถานที่ต่างๆในละแวกนั้น เปลี่ยนชื่อใหม่ โดยชี้แจงว่าที่สะกดคำว่า "วลัย" นี้ผิด ให้เปลี่ยนคำสะกดใหม่ว่า "วไลย" ปัจจุบันนี้จึงใช้ชื่อว่า วัดป่าบ้านวไลย เป็นการเปลี่ยนครั้งที่ 3
- อาตมาในเนื้อหาก็คือ (พระครูสันติธรรมนุยุต) พระสุชาติ ชาตสุุโข เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน


ค้ดลอกมาจาก หนังสืออนุสรณ์ คงไว้ให้บำเพ็ญ สุธมฺโม ภิกขุ
วัดป่าบ้านวไลบ




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2552    
Last Update : 27 ตุลาคม 2552 7:27:07 น.
Counter : 2588 Pageviews.  


บ้านต้นอ้อ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add บ้านต้นอ้อ's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.