อนุสัยกิเลส การนอนเนื่องของอนุสัยกิเลสและธรรมที่ทำการประหาณการนอนเนื่องของอนุสัยกิเลสนี้มีอยู่ ๒ ประการ ๑. การนอนเนื่องอยู่ในการเกิดขึ้นสืบต่อแห่งรูป,นาม ขันธ์ ๕ ชื่อว่า สันตานานุสัยกิเลส๒. การนอนเนื่องอยู่ในอารมณ์ที่เป็น ปิยรูป สาตรูป อปิยรูป อสาตรูป ชื่อว่า อารัมมณานุสัยกิเลสใน ๒ ประการนี้ มรรคทั้ง ๔ ทำการประหาณสันตานานุสัยกิเลส วิปัสสนาญาณที่มีรูป, นามเป็นอารมณ์ทำการประหาณอารัมมณานุสัยกิเลส ฉะนั้น อนุสัยกิเลสที่อนิจจานุปัสสนาเป็นต้นได้ประหาณไปนั้น เป็นอารัมมณานุสัยกิเลส ส่วน สันตานานุสัยกิเลส นั้น เมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ตราบใด แม้ว่าผู้นั้นจะได้เคยปฏิบัติวิปัสสนามาแล้วหลายครั้งหลายหน หรือกำลังปฏิบัติอยู่ก็ตาม หรือผู้ที่เป็นฌานลาภี อภิญญาลาภี ทั้งมีฤทธิ์เดชต่าง ๆ นานาก็ตาม หรือจะได้ไปบังเกิดเป็นพรหมติดต่อกันหลายภพหลายชาติก็ตาม สันตานานุสัยกิเลสก็ยังคงมีอยู่เต็มที่เป็นปกติ โดยอาการที่ยังไม่ได้ถูกประหาณไปเลยแม้แต่น้อยสำหรับ อารัมมณานุสัยกิเลส นั้น เมื่อวิปัสสนาญาณของโยคีได้เข้าถึงขึ้นภังคญาณอารัมมณานุสัยกิเลสก็ถูกประหาณลงทันทีตั้งแต่ญาณนี้เรื่อย ๆ ไปดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในวิภังคบาลีว่าสตฺตานุสยา : กามราคานุสโย ปฏิฆานุสโย มานานุสโย ทิฏฺฐานุสโย วิจิกิจฺฉานุสโย ภวราคานุสโย อวิชฺชานุสโย. ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ เอตฺถ สตฺตานํ ราคานุสโยอนุเสติ, ยํ โลเก อปิยรูปํ อสาตรูปํ เอตฺถ สตฺตานํ ปฏิฆานุสโย อนุเสติ, อิติ อิเมสุ ทฺวีสุธมฺเมสุ อวิชฺชา อนุปติตา ตเทกฏฺโฐ มาโน จ ทิฏฺฐิ จ วิจิกิจฺฉา จ ทฏฺฐพฺพา.อนุสัยกิเลสมี ๗ ประการคือ๑. ธรรมชาติที่ยินดี,พอใจ,รักใคร่ในกามคุณอารมณ์ นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน๒. ธรรมชาติที่ขัดเคืองในอารมณ์ นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน๓. ธรรมชาติที่ถือตัว นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน๔. ธรรมชาติที่เห็นผิด นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน๕. ธรรมชาติที่สงสัยในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน๖. ธรรมชาติที่ยินดีพอใจในภพชาติ นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน๗. ธรรมชาติที่หลงอยู่ในเรื่องความเห็นผิด นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานนี้เป็น สันตานานุสัยกิเลสปิยรูป,สาตรูป สภาพที่น่ารักน่ายินดีอันใดมีอยู่ในโลก คือสังขารธรรมรูป,นามภายในตน กามราคานุสัยและภวราคานุสัยของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมนอนเนื่องอยู่ในปิยรูปสาตรูปสภาพที่น่ารัก,น่ายินดีเหล่านี้อปิยรูป,อสาตรูป สภาพที่ไม่น่ารักไม่น่ายินดีอันใดมีอยู่ในโลก คือ สังขารธรรมรูป,นามภายในตน ปฏิฆานุสัยของสัตว์ทั้งหลายย่อมนอนเนื่องอยู่ในอปิยรูป,อสาตรูปสภาพที่ไม่น่ารัก,ไม่น่ายินดีเหล่านี้ เมื่อเป็นดังนี้ อวิชชานุสัยก็ย่อมนอนเนื่องอยู่ในราคะและปฏิฆะทั้ง ๒ นี้ด้วย ส่วนมานานุสัย,ทิฏฐานุสัยและวิจิกิจฉานุสัยเหล่านี้ ก็ย่อมตั้งอยู่ในจิตดวงเดียวกันกับจิตที่มีอวิชชา นี้เป็น อารัมมณานุสัยกิเลสนักศึกษาทั้งหลายพึงทราบดังต่อไปนี้ขยายความในพระบาลีที่ทรงแสดงถึงอนุสัยกิเลส ๒ ชนิดสันตานานุสัยกิเลส กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานโดยอาการที่ยังไม่ปรากฏเป็นสภาวะปรมัตถ์ คือยังไม่เข้าถึงขณะทั้ง ๓ (เกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ดับไป) นั้น ได้ชื่อว่า สันตานานุสัยกิเลสผู้ที่ยังมิได้ทำการประหาณอนุสัยกิเลสโดยสมุจเฉทเลยนั้น ได้ชื่อว่าเป็นปุถุชนและปุถุชนทั้งหลายแม้ว่าจะยังเป็นเด็กอยู่ในครรภ์มารดาก็ตาม เป็นเด็กเล็ก เป็นหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ แก่เฒ่าลงไปก็ตาม เป็นคฤหัสถ์,บรรพชิตก็ตาม ได้ฌาน,ได้อภิญญา,เหาะเหินเดินอากาศได้ก็ตาม แม้ที่สุดจะได้บังเกิดเป็นพรหมอยู่หลายภพชาติก็ตาม ปุถุชนเหล่านั้นก็ยังเป็นอยู่โดยมีอนุสัยกิเลสครบถ้วนด้วยกันทั้งสิ้นแม้ว่าจะได้สำเร็จเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคามี แล้วก็ตาม อนุสัยกิเลสอีก ๕ อย่างก็ยังเหลืออยู่ ยังหาได้ประหาณให้หมดไปไม่ คงประหาณได้แต่ทิฏฐิและวิจิกิจฉานุสัย ๒ อย่างนี้เท่านั้น ครั้นเป็น พระอนาคามี ภวราคะ มานะ อวิชชานุสัยทั้ง ๓ ก็ยังมีอยู่หาได้หมดไปเพียงเท่านี้ไม่ ฉะนั้น บุคคลทั้ง ๔ จำพวกนี้ จึงยังมีอนุสัยกิเลสอยู่อุปมาเหมือนกับคนไข้ที่ยังไม่หายไข้ มีผู้ถามว่า ท่านสบายดีหรือ แม้ว่าในขณะนั้นมิได้จับไข้แต่ก็ตอบว่า ยังเป็นไข้อยู่ โดยมาคำนึงถึงไข้ที่ได้จับมาแล้วและจะจับอีกในขณะต่อไป หรืออุปมาเหมือนกับผู้ที่ยังไม่ได้มีการเว้นขาดจากการรับประทานเนื้อ เมื่อถูกถามว่า ท่านรับประทานเนื้อหรือเปล่า ถึงแม้ว่าขณะนั้นจะไม่ได้รับประทานอยู่ก็จริง แต่ก็ตอบว่า ข้าพเจ้ารับประทานดังนี้ ก็เพราะว่ามาคำนำถึงเนื้อที่ได้เคยรับประทานมาและจะรับประทานอีกในวันข้างหน้า สมดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในอนุสัยยมกพระบาลีว่า ยสฺส กามราคานุสโย อุปปชฺชติ ตสฺส ปฏิฆานุสโย อุปฺปชฺชตีติ กามราคานุสัยยังเกิดแก่บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็ยังเกิดแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม? อามนฺตา ใช่ การที่ทรงวิสัชนา ดังนี้ ก็เพราะทรงหมายถึงความที่ยังเป็นอนุสัยอยู่ โดยอาการที่เคยเกิดและจะเกิด ดังที่ได้ยกอุปมาเปรียบเทียบให้เห็นแล้วทั้ง ๒ ข้อนั้นแต่ถ้าจะถามว่า ยสฺส กามราโค อุปฺปชฺชติ ตสฺส ปฏิโฆ อุปฺปชฺชตีติ กามราคะกำลังเกิดแก่บุคคลใด ปฏิฆะก็กำลังเกิดแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม? วิสัชนาว่า นปฺปชฺชติ ไม่ใช่กำลังเกิดอนึ่ง อนุสัยกิเลสทั้ง ๗ ประการนี้ เมื่อปรากฏขึ้นโดยความเป็นสภาวะปรมัตถ์ คือเข้าถึงปริยุฏฐานแล้วนั้น เกิดพร้อมกันในจิตดวงเดียวกันก็มี เกิดไม่พร้อมกันในจิตดวงเดียวกันก็มี แต่เมื่อยังเป็นอนุสัยอยู่นั้น ได้นอนเนื่องอยู่พร้อมกันทั้ง ๗ อย่างในดวงจิตดวงเดียวกันนั้นเอง เหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงในอนุสัยยมกบาลีว่า ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ ตสฺส ปฏิฆานุสโย อนุเสตีติ กามราคานุสัยนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของบุคคลใดปฏิฆานุสัยก็นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของบุคคลนั้น ใช่ไหม? อามนุตา ใช่ ฉะนั้น การประหาณสันตานานุสัยกิเลสได้เด็ดขาดนั้นก็มีแต่มรรคญาณอย่างเดียว สำหรับวิปัสสนาญาณนั้นประหาณได้แต่เพียงวิกขัมภนะ โดยการข่มไว้เป็นเวลานาน ๆ คือหลายวัน หลายเดือน หลายปี หลายมหากัปอารัมมณานุสัยกิเลส การเกิดขึ้นของกิเลสโดยไม่สิ้นสุด ในอารมณ์ที่ยังไม่ได้มีการพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง โดยวิปัสสนาญาณ,มรรคญาณ กิเลสนี้ ชื่อว่า อารัมมณานุสัยกิเลส ดังนี้ พระพุทธองค์จึงประทานพระโอวาทแก่บรรดาภิกษุทั้งหลายว่า สุขายภิกฺขเว เวทนาย ราคานุสโย ปหาตพฺโพ, ทุกฺขาย เวทนาย ปฏิฆษนสโย ปหาตพฺโพ, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสโย ปหาตพฺโพ.ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายควรละราคานุสัยในการเสวยสุข ควรละปฏิฆานุสัยในการเสวยทุกข์ ควรละอวิชชานุสัยในการเสวยไม่ทุกข์ไม่สุข พระโอวาสนี้ทรงมุ่งหมายถึงอารัมมณานุสัยกิเลสท่านอรรถกถาจารย์ยังได้กล่าวไว้ว่า อิมสฺมึ สุตฺเต อารมฺมณานุสโย กถิโต ในพระสูตรที่มีว่า สุขาย ภิกฺขเว เวทนาย เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงอารัมมณานุสัยกิเลส แต่ก็หาได้ทรงชี้แจงถึงข้อปฏิบัติที่จะทำการละอารัมมณานุสัยกิเลสนี้แต่ประการใดไม่เพียงแต่ทรงเตือนให้ทำการปฏิบัติตามแนวธรรมสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น เพราะถ้าภิกษุทั้งหลายมิได้ทำการปฏิบัติตามแนวธรรมสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นใดที่จะทำการประหาณอารัมมณานุสัยกิเลสนี้ได้ ถ้าว่าได้ทำการปฏิบัติตามแนวธรรมสติปัฏฐาน ๔ นี้อยู่โดยเคร่งครัดแล้ว ก็จะกล่าวได้ว่ามีการละกิเลสในการเสวยอารมณ์นั้นนั่นเอง ดังที่ท่านฏีกาจารย์ได้แสดงไว้ในอานาปานัสสติกัมมัฏฐานแห่งวิสุทธิมัคคมหาฏีกาว่าอนิจฺจานุปสฺสนา ตาว ตทงฺคปฺปหานวเสน นิจฺจสญฺญํ ปริจฺจชติ ปริจฺจชนฺตึ จ ตถา อปฺปวตฺติยํ เย นิจฺจนฺติ คหณวเสน กิเลสา ตมฺมูลกา อภิสงฺขารา ตทฺภยมูลกา จ วิปากกฺขนฺธา อนาคเต อุปฺปชฺเชยฺยํ, เต สพฺเพปิ อปฺปวตฺติกรณวเสน ปริจฺจชติ, ตถา ทุกฺขสญฺญาทโย เตนาห วิปสฺสนา หิ ตทงฺควเสน สทฺธึ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชตีติ.อนิจจานุปัสสนาที่แสดงในอันดับแรกนี้ ย่อมสละละทิ้งนิจจสัญญาโดยอำนาจแห่งตทังคปหาน เมื่ออนิจจานุปัสสนาได้สละละทิ้งนิจจสัญญาได้แล้ว ถ้าหากว่ามิได้มีการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง โดยอาการดังที่กล่าวมานี้ กิเลสต่าง ๆ อาจเกิดได้ในภายหลังโดยอำนาจแห่งความยึดถือว่ารูป,นามนี้เที่ยง และอภิสังขารคืออกุศลโลกียกุศลกรรมที่มีกิเลสเป็นมูลก็ดี วิบากนามขันธ์อันเป็นตัวภพใหม่ มีกรรมและกิเลสทั้ง ๒ นี้เป็นมูลก็ดีอาจเกิดขึ้นได้ในภายหลังอนิจจานุปัสสนาที่สละทิ้งนิจจสัญญาได้นั้น ย่อมสละละทิ้งกิเลส,กรรมวิบากแม้เหล่านี้ทั้งหมดไม่ให้เกิดขึ้นได้พร้อมกันอีกด้วย ทุกขานุปัสสนา,อนัตตานุปัสสนาที่สละละทิ้งสุขสัญญา,อัตตสัญญาเป็นต้นได้นั้น ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ เพราะฉะนั้นท่านมหาพุทธโฆษาจารย์จึงได้แสดงไว้ในวิสุทธิมัคคอรรถกถาว่า วิปัสสนาญาณย่อมสละละกิเลสพร้อมด้วยวิบากขันธ์และอภิสังขารโดยอำนาจตทังคปหาน(ที่มา: วิปัสสนาทีปนีฎีกา หน้า 33 -36) Create Date :31 ตุลาคม 2555 Last Update :31 ตุลาคม 2555 1:05:27 น. Counter : 4136 Pageviews. Comments :5 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก อนุโมทนาสาธุครับธรรม ชื่อว่า ชัยชนะ โดย: shadee829 31 ตุลาคม 2555 8:55:36 น.อนุสัย แปลโดยศัพท์ แปลว่า " น อ น เ นื่ อ ง "อนุสัย แปลโดยศัพท์ แปลว่า" กิ เ ล ส ที่ มี ก ำ ลั ง ที่ ยังละไม่ได้ด้วย อริยมรรคได้ปัจจัย จึงเกิดขึ้น "......อ นุ สั ย กิ เ ล ส เป็น สุทธะปกตูปนิสสยะปัจจัย แก่ ป ริ ยุ ฏ ฐ า น กิ เ ล สสุทธปกตูปนิสสยะปัจจัยตัวปัจจัย เป็น ชนกสัตติ อย่างดียว ไม่เป็น อุปถัมภกะสัตติ เพราะฉะนั้นอ นุ สั ย กิ เ ล ส ต้องดับไปก่อนป ริ ยุ ฏ ฐ า น กิ เ ล ส จึงจะเกิดขึ้นโลภะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ มานะ วิจิกิจฉา เป็นปริยุทฏฐานกิเลส เพราะฉะนั้นอกุสลเจตสิก 6 ดวง เป็น ปัจจยุบัน ของ อนุสัยไม่ใช่ตัว อนุสัย ที่แท้จริง ! โดย: พระนาย IP: 171.97.8.138 18 พฤษภาคม 2557 16:08:34 น.ขออนุญาตถาม เพื่อเป็นความรู้และตัดความสงสัย...ความหมายตรงนี้"สันตานานุสัยกิเลส กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานโดยอาการที่ยังไม่ปรากฏเป็นสภาวะปรมัตถ์ คือยังไม่เข้าถึงขณะทั้ง ๓ (เกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ดับไป) นั้น ได้ชื่อว่า สันตานานุสัยกิเลส"กับความเห็นตรงนี้ "เพราะฉะนั้นอ นุ สั ย กิ เ ล ส ต้องดับไปก่อนป ริ ยุ ฏ ฐ า น กิ เ ล ส จึงจะเกิดขึ้น"ขัดแย้งกันหรือไม่ ? หรืออย่างไร ? โดย: veeza IP: 182.232.160.140 4 กรกฎาคม 2560 23:30:26 น.ขอความเห็นจากท่านผู้รู้เพื่อทำตัดความสงสัย ว่า "ภวนิกันตโลภชวนวิถี" โลภมูลจิตทำหน้าที่ชวนะในวิถีนี้...โลภะและและกิเลสอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกับโลภะในวิถีนี้ .... จะเรียกว่า อะไร ? ระหว่าง อนุสัย, ปริยุฏฐานะ, และวีติกกมะกิเลส....??? โดย: veeza IP: 182.232.160.140 4 กรกฎาคม 2560 23:35:32 น.อีกประการหนึ่ง ...อกุศลชวนะ มีโลภะเป็นต้น ที่เกิดกับปัญจทวารวิถีมีจักขุทวารวิถีเป็นต้น...ควรจะเรียกอกุศลเหล่านั้นว่าเป็นกิเลสอะไร ระหว่าง อนุสัย,ปริยุฏฐานะ, วีติกกมะกิเลส..? เพราะอะไร ? โดย: veeza IP: 182.232.160.140 4 กรกฎาคม 2560 23:41:11 น.
อนุโมทนาสาธุครับ
ธรรม ชื่อว่า ชัยชนะ
โดย: shadee829 31 ตุลาคม 2555 8:55:36 น.
แปลว่า
" น อ น เ นื่ อ ง "
อนุสัย แปลโดยศัพท์
แปลว่า
" กิ เ ล ส ที่ มี ก ำ ลั ง ที่ ยังละไม่ได้
ด้วย อริยมรรค
ได้ปัจจัย จึงเกิดขึ้น "
......
อ นุ สั ย กิ เ ล ส
เป็น
สุทธะปกตูปนิสสยะปัจจัย
แก่
ป ริ ยุ ฏ ฐ า น กิ เ ล ส
สุทธปกตูปนิสสยะปัจจัย
ตัวปัจจัย เป็น ชนกสัตติ อย่างดียว
ไม่เป็น อุปถัมภกะสัตติ
เพราะฉะนั้น
อ นุ สั ย กิ เ ล ส
ต้องดับไปก่อน
ป ริ ยุ ฏ ฐ า น กิ เ ล ส
จึงจะเกิดขึ้น
โลภะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ มานะ วิจิกิจฉา
เป็น
ปริยุทฏฐานกิเลส
เพราะฉะนั้น
อกุสลเจตสิก 6 ดวง เป็น ปัจจยุบัน ของ อนุสัย
ไม่ใช่
ตัว อนุสัย ที่แท้จริง !
โดย: พระนาย IP: 171.97.8.138 18 พฤษภาคม 2557 16:08:34 น.
ความหมายตรงนี้
"สันตานานุสัยกิเลส กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานโดยอาการที่ยังไม่ปรากฏเป็นสภาวะปรมัตถ์ คือยังไม่เข้าถึงขณะทั้ง ๓ (เกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ดับไป) นั้น ได้ชื่อว่า สันตานานุสัยกิเลส"
กับความเห็นตรงนี้
"เพราะฉะนั้น
อ นุ สั ย กิ เ ล ส
ต้องดับไปก่อน
ป ริ ยุ ฏ ฐ า น กิ เ ล ส
จึงจะเกิดขึ้น"
ขัดแย้งกันหรือไม่ ? หรืออย่างไร ?
โดย: veeza IP: 182.232.160.140 4 กรกฎาคม 2560 23:30:26 น.
"ภวนิกันตโลภชวนวิถี" โลภมูลจิตทำหน้าที่ชวนะในวิถีนี้...โลภะและและกิเลสอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกับโลภะในวิถีนี้ .... จะเรียกว่า อะไร ? ระหว่าง อนุสัย, ปริยุฏฐานะ, และวีติกกมะกิเลส....???
โดย: veeza IP: 182.232.160.140 4 กรกฎาคม 2560 23:35:32 น.
อกุศลชวนะ มีโลภะเป็นต้น ที่เกิดกับปัญจทวารวิถีมีจักขุทวารวิถีเป็นต้น...ควรจะเรียกอกุศลเหล่านั้นว่าเป็นกิเลสอะไร ระหว่าง อนุสัย,ปริยุฏฐานะ, วีติกกมะกิเลส..? เพราะอะไร ?
โดย: veeza IP: 182.232.160.140 4 กรกฎาคม 2560 23:41:11 น.