bloggang.com mainmenu search


บล็อกปิดท้ายทริปขึ้นเชียงใหม่ช่วงวันแม่ครับ หลังลงจากดอยอินทนนท์และเข้านอนในเมืองเชียงใหม่แล้ว วันต่อมาเราก็ขึ้นเหนือเที่ยวถ้ำ Smiley

ผมมีหนังสือถ้ำถิ่นเหนือ เล่มนี้ได้จากงานสัปดาห์หนังสือหนก่อน ลดจาก 800 เหลือ 200 บาท กระโดดคว้ามับเลยครับ เนื้อหาสมบูรณ์มากๆ มีทั้งธรณีวิทยา โบราณคดีในถ้ำยุคต่างๆ รายละเอียดถ้ำแต่ละแห่งในภาคเหนือ หนาเกือบ 400 หน้า พิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม!! ที่พิมพ์ราคานี้ได้เพราะมีสปอนเซอร์สนับสนุนอย่าง สกว., ปตท., มูลนิธิไชย้งลิ้มทองกุล และมูลนิธิลูกโลกสีเขียว

อำเภอที่ถ้ำมากมายมหาศาลที่สุดในประเทศไทยคือปางมะผ้า ตอนเหนือของแม่ฮ่องสอนครับ แต่มันไกลแสนไกล ไม่เหมาะกับทริปที่เหลือเวลาเที่ยวแค่วันเดียว หนนี้ขอแวะเที่ยวถ้ำที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก และเป็นแหล่งโบราณคดีที่น่าสนใจอย่างถ้ำเชียงดาวและถ้ำตับเต่าก่อน ส่วนแม่ฮ่องสอนไว้มีโอกาสค่อยแวะขึ้นไปเที่ยวยาวๆเลยดีกว่าครับ




ขับออกจากเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ขึ้นมาตามเส้น 107 ตั้งใจจะหากาแฟกินที่ปั๊ม ปตท. แต่ป้ายที่บอกว่า "ปั๊ม ปตท. อีก 500 เมตร" มันผ่านมา 5 กม. แล้วก็ยังไม่เห็นโผล่มาสักปั๊ม แต่มาเจอเอาที่นี่ก่อนครับ ม่อนระมิงค์ แหล่งพักริมทางที่จัดภูมิทัศน์สวยงาม มีร้านกาแฟและขนมอร่อยด้วยนะ เมื่อคืนเพิ่งกินมองบลังค์ในเมืองเชียงใหม่มา พอเทียบกันแล้ว ถึงเค้กร้านนี้จะแพ้มองบลังค์นิ๊ดดดนึง แต่เครื่องดื่มอร่อยกว่าเยอะ





เดินทางต่อครับ หนทางยังอีกยาวไกล เราขับผ่านแม่ริม แม่แตง จนมาถึงเชียงดาว สถานที่เป้าหมายแรกของวันนี้คือถ้ำเชียงดาว ตั้งอยู่เชิงดอยหลวงเชียงดาวที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก อยู่เชียงใหม่ทั้ง 3 แห่งเลยจ้า ตัวถ้ำเองก็ยาวมากถึง 5 กิโลเมตร!! ยาวเป็นอันดับ 7 ในหมู่มวลถ้ำสัญชาติไทย และไม่ได้เพิ่มลดระดับต้องปีนป่ายมากมายแบบถ้ำบางแห่งด้วย

ขับรถมาจอดหน้าวัดได้เลย ด้านหน้ามีพระเจดีย์ 25 ยอด ฝีมือชาวไทยใหญ่นำโดยพระฤาษีอุคันธะ ถึงจะเพิ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2456 แต่ตะไคร่ก็ขึ้นจนดูเก่าแก่สวยงาม ส่วนข้างๆเจดีย์มีต้นศรีมหาโพธิ์ที่ในหลวงเคยมาปลูกไว้ด้วย



จะเดินดุ่ยๆไปถ้ำเลย หรือแวะรอบๆ ชมสิ่งที่น่าสนใจกันก่อนก็ได้ครับ ถึงตัวถ้ำจะเป็นที่รู้จักกันมากว่า 300 ปีแล้ว แต่ตัววัดเพิ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2310 มีพระมหาเจดีย์รัศมีจามเทวีศรีวิชัยเป็นเจดีย์ประธานของวัด วิหารสร้างโดยครูบาศรีวิชัย ปี พ.ศ. 2477 ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนที่ฤาษีอุคันธะนำมาจากมัณฑะเลย์ มีชื่อเสียงในแวดวงผู้คนที่ต้องเกณฑ์ทหารจะมาขอพรไม่ให้จับได้ใบแดงกัน (นั่น!)



หลวงพ่อทันใจสร้างโดยฤาษีอุคันธะในปี พ.ศ. 2456 เป็นพระพุทธรูปที่ชาวเชียงดาวนับถือมากที่สุดองค์หนึ่ง



ถ้ำนี้มีคนมาค้นพบในปี พ.ศ. 2178 แต่ถ้ำนี้ถูกใช้เป็นสถานที่วิปัสนามานานมากแล้วครับ บริเวณหน้าถ้ำมีแนวกำแพงอายุกว่าพันปี แต่ก่อสร้างต่อเติมมณฑปและเจดีย์อื่นๆเพิ่มมาภายหลัง ตำนานที่โด่งดังที่สุดที่เกี่ยวข้องกับถ้ำนี้คือเรื่องของเจ้าหลวงคำแดง โอรสกษัตริย์เมืองพะเยา ที่ตามกวางทองเข้าถ้ำแล้วหายสาบสูญไป เจ้าหลวงคำแดงจึงอัพคลาสเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าแห่งผีทั้งหลาย เมื่อถึงวันพระผีเมืองเชียงใหม่ทุกตัวจะต้องมารวมตัวกันที่ถ้ำหลวงเชียงดาว ไม่ออกมาหลอกหลอนผู้คน (งั้นเราไปเที่ยวถ้ำเชียงดาววันพระกันดีกว่า เย้ Smiley)



ได้เวลาเข้าถ้ำกันเสียที จากทางเข้ามาด้านในจะแตกรูทออกเป็นสามเส้นทางคือถ้ำพระนอน, ถ้ำแก้ว-ถ้ำน้ำ และถ้ำมืด-ถ้ำม้า ต้องจ่ายค่าเข้า 20 บาท เป็นค่าไฟในถ้ำครับ โดยจะมีไฟฟ้าส่องสว่างตลอดเส้นทางไปถ้ำพระนอน แต่รูทอื่นๆ ไม่มีไฟนะ นอกจากหินงอกหินย้อยแล้วภายในยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่าจำนวนมาก



มุมยอดฮิตปากทางเข้าถ้ำ

ทหารแบกระฆัง อันนี้เป็นระฆังโบราณอายุ 300 ปีแล้วนะครับ



โถงตรงนี้แยกรูทครับ คณะไกด์จะเริ่มนำทางจากตรงนี้ไป



เราเริ่มจากรูทเข้าถ้ำม้า ตรงนี้ต้องมีคนนำทางเข้าไปครับ ให้เราจ่ายค่าตะเกียง คณะละ 100 บาท ไปได้ 5 คน แล้วคนท้องที่เขาจะพาเข้าไป คนเหล่านี้เป็นอาสาสมัคร เงินที่ได้จะเอาไปทำนุบำรุงวัดครับ เขาจะชี้ให้ดูหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตาตามจุดต่างๆ ซึ่งชาวบ้านตั้งชื่อตามรูปร่างหินหมดแล้วด้วยนะ ทั้งหินไก่ ช้างสามเศียร ช้างพ่อลูก ดอกบัว ฯลฯ มีจุดที่ต้องมุดลอดเข้าไปทีละคนอยู่สองจุด ระวังหัวปูดกันด้วยนะครับ



ส่วนนี่ค้างคาวเกาะเพดานถ้ำกันยุ่บยั่บ



ด้านในสุดมีอาศรมเจ้าพ่อปู่เทพฤาษี สร้างขึ้นเพื่อบูชาฤาษีอุคันธะ ผู้สร้างหลวงพ่อทันใจและเจดีย์ 25 ยอดที่วัดนี้เอง



สุดทางแล้วสามารถไปอีกเส้นนึงเพื่อวนกลับมาทางแยกก่อนเข้าถ้ำได้ ไม่ต้องย้อนมาทางเดิมครับ สำหรับเส้นต่อไปขอเข้าชมถ้ำพระนอน ตรงนี้มีไฟตลอดทาง แถมทำเส้นทางเดินสะดวกไม่ต้องปีนป่ายอะไร เดินเองสบายเลยครับ ไม่ต้องให้ไกด์นำแล้ว

ตรงที่มีแสงไฟส่องจะมีพืชชั้นต่ำขึ้นหนาตึ้บเพราะถ้ำมีความชื้นตลอดทั้งปีด้วย ช่างเป็นชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้จริงๆ ...อยู่ได้ด้วยหลอดไฟ



หินแกะสลักรูปยักษ์ที่นอนหงายอยู่ข้างทางเดิน



พระกัสปะ เป็นพระนอนยาว 2 เมตร สร้างในปี พ.ศ. 2400 โดยหม่องเผ่าและหม่องอัดชาวพม่า



ส่วนถ้ำน้ำไม่ได้ไปนะครับ หน้าฝนน้ำท่วมถ้ำตามชื่อเลยครับ

รู้สึกตัวอีกทีก็เที่ยงแล้ว! เรารีบดิ่งขึ้นเหนือมาต่อเพื่อเที่ยวถ้ำตับเต่า ถ้ำนี้อยู่ไกลถึง อ.ไชยปราการเลย ถนนส่วนมากเป็นสองเลน ต้องแซงปาดกันอย่างเร้าใจทั้งคนขับคนนั่ง ส่วนมื้อเที่ยงแวะกินร้านโครงการหลวงข้างทาง ไม่อร่อยอ่ะ

ถึงแล้ววววว ตอนนี้เวลาบ่ายโมงยี่สิบครับ (เรานี่ก็ตีนผีใช้ได้) วัดถ้ำทับเถ้า หรือตับเตา หรือตับเต่า (เอาสักชื่อสิเพ่) จริงๆแล้วชื่อมาจากดับเต้า ที่แปลว่าดับขี้เถ้า วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสร้างขึ้นเมือ่ไหร่กันแน่ จะเข้าถ้ำต้องแจ้งแม่ชีที่เฝ้าวัดอยู่ด้วยนะครับ จ่าย 100 บาทเป็นค่าบำรุงวัด ก่อนเข้ากันด้วยล่ะจ้า เขาจะเช็คยอดคนเข้า-ออกตลอดเวลา ใครเข้าแล้วไม่ออกเขาจะได้โทรเรียกปอเต๊กตึ๊ง... เอ้ย! ทีมสำรวจไปตามหา ถ้ำนี้ไม่ต้องมีไกด์นำเพราะมีไฟตลอดทางครับ แม่ชีให้ไฟฉายมาสองอัน แต่ถ้าต้องการเขาก็จัดคนนำทางให้นะ



ทางเดินขึ้นถ้ำแยกกันสองทางเข้าสองถ้ำครับ ด้านซ้ายคือถ้ำรับบุญหรือถ้ำแจ้งหรือถ้ำผ้าขาว ภายในเป็นโถงขนาดใหญ่ประดิษฐานพระเจ้าตนหลวง เป็นพระพุทธรูปองค์มหึมา สร้างในปี พ.ศ. 2450



ใกล้ๆกันมีพระไสยาสน์องค์ใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระเอกาทศรถในปี พ.ศ. 2135 ช่วงที่พระนเรศวรยกทัพไปตีเมืองตองอู



ตามผนังถ้ำมีพระพุทธรูปปูนปั้นกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับถ้ำหลายองค์



ส่วนด้านขวาคือถ้ำลอดบาปหรือถ้ำมืดหรือถ้ำปัญเจค ถ้าจะเข้าต้องเตรียมใจไว้ดีๆก่อน เพราะมันลึกและต้องปีนป่ายพอสมควร แถมไม่มีทางวนออก พอสุดทางแล้วต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมครับ มีไฟตลอดทางให้เราเดินตามแสงไฟนั่นละ สวยนะครับ ถ้ำนี้สวยมาก เสียดายกล้องคอมแพ็คแสงน้อยถ่ายยังไงก็สวยสู้พวกกล้อง iso เป็นแสนๆไม่ได้









เหนื่อยโฮก บางอารมณ์ก็รู้สึกว่าแสงสีถ้ำนี้สวยงาม บางช่วงก็รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในนรก ต้องเดินตามแสงสลัวหยอยๆ~



เดินมาลึก 500 เมตร แต่รู้สึกว่าไกลกว่าถ้ำม้าในถ้ำเชียงดาวมากๆ เพราะเส้นทางมันขึ้นลงเพิ่ม-ลดระดับตลอด และแล้วเราก็มาถึงสุดทาง มีพระเจดีย์นิ่มที่เป็นที่มาของชื่อวัดนี้ครับ ตามตำนานเล่าว่าพระอรหันต์ 500 องค์ได้เข้ามานิพพานที่ถ้ำนี้ แล้วมีผู้เอาเถ้าอัฐิกอบกันขึ้นมาเป็นเจดีย์ในปี พ.ศ. 1463 จึงเรียกถ้ำนี้ว่าดับเต้า (ดับเถ้า) บริเวณรอบเจดีย์ก็มีพระพุทธรูป พระสาวก และเจดีย์องค์เล็กๆจำนวนมาก มีรูปปั้นเด็กชาย-หญิงด้วย คู่รักนิยมเข้ามาอธิษฐานขอลูกกัน



ว่าจะไปดอยอ่างขางต่อ แต่ตอนนี้ก็บ่ายสองครึ่งแล้วครับ รอบหน้าแล้วกัน

ไว้มีโอกาสคราวหน้าจะขึ้นเหนือเที่ยวถ้ำให้หนำใจกว่านี้อีกครับ ขอฝากหนังสือถ้ำถิ่นเหนือไว้ในใจด้วยนะครับ (ของเขาดีจริงๆนะเออ) งานสัปดาห์หนังสือน่าจะพอหาได้ เล่มนี้เปิดดูรูปสวยๆ ถ้ำไหนถูกจริตท่านก็เลือกเที่ยวได้ตามสะดวกเลยจ้าาา Smiley
Create Date :13 ตุลาคม 2557 Last Update :5 มีนาคม 2560 18:52:51 น. Counter : 4474 Pageviews. Comments :58