ประสบการณ์รุ่นต่อรุ่นที่พวกเขาฟันฝ่าความยากลำบาก
เป็นบทเรียนอันสำคัญให้พวกเขา ต้องคิดพัฒนาเพื่อทำชีวิตของพวกเขาให้ปลอดภัยจากทุกอันตราย
ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติหรือจากความไม่มั่นคงในชีวิตทุกด้าน https://winne.ws/n22794
พระไตรปิฎกสามารถกล่าวได้ว่า เป็นสุดยอดคัมภีร์ในการพัฒนามนุษย์ในทุกด้านทั้งในเชิงของมนุษย์ สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์กฎหมาย เศรษฐกิจ
ฯลฯ และในทุกระดับ ตั้งแต่ปัจเจกบุคคล และสังคมในทุกระดับ
แต่ทำไมแม้จะมีสุดยอดคัมภีร์ที่ในโลกขนาดนี้ แต่ยังเป็นประเทศที่ด้อยการพัฒนา
กว่าประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีคัมภีร์ ไม่เคยรู้จักมาด้วยซ้ำ! เพราะ
1.แม้มีสุดยอดคัมภีร์ แต่ไม่นำมาศึกษาและ ไม่ปฏิบัติตาม ก็ไม่เกิดผลใดๆ
2.ชาวตะวันตก แม้ไม่มีสุดยอดคัมภีร์ แต่สิ่งที่ประชาชนของโลกฝั่งนั้นปฏิบัติเป็นธรรมะ
ผู้คนให้ความสำคัญ กับความมีวินัย เคารพในสิทธิผู้อื่น เคารพกฎหมาย นิสัยคดโกงไม่มีและคุณสมบัติที่ดีต่างๆ
ที่เมื่อดูดีๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาทำเรียกได้เลยว่า คือ การประพฤติเป็นธรรม
ฉะนั้นผลแห่งการกระทำที่ดีย่อมเกิดขึ้น ตามกฎแห่งการกระทำอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้าม กับประชาชนในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาแม้มีครูบาอาจารย์ หรือคำสอนที่ให้หลักการเหตุผลของการพัฒนาชีวิตจิตใจที่สมบูรณ์ที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจ หรือส่วนที่สนใจ ก็ศึกษาธรรมะ แล้วกลับมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตีกันซึ่งนั้นยิ่งแย่ และห่างไกลจาก วิถีของบัณฑิตนักปราชญ์ที่ท่านส่งต่อมรกดกทางปัญญามาให้
แทนที่จะนำภูมิปัญญาที่มีไปใช้เพื่อให้เกิดคุณประโยชน์ แต่กลับนำไปสู่ความเป็นโทษ คือ
ถกเถียง กล่าวหาใส่ร้ายกัน
นอกจากผลดีไม่เกิด กลับเกิดความเสียหายอย่างกว้างและลึก
ในเชิงของจิตวิญญาณ ของผู้คนซะอีก
3. จากข้อ 1 และ 2 เราอาจสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร
3.1 ผู้คนในประเทศไทยมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรที่สะดวกสบาย คือไม่หนาวจัดจนตาย ไม่ร้อนจัดจนตายพายุไม่ถล่มพูดง่ายๆ คือ ไม่เคยเจอกับความรุนแรงโหดร้ายของสิ่งแวดล้อมในระดับสาหัสเหมือนประเทศอื่นเขา แม้อาหารการกินขนาดว่ายุคข้าวยากหมากแพงก็ยังมีพืช ผัก ผลไม้ อยู่ในระดับอุดมสมบูรณ์
เมื่อเทียบกับบ้านเมืองอื่นที่ยากลำบากในการจัดหาซึ่งแม้มีกินก็ราคาแพงมาก
แล้วส่งผลยังไง ? ... มันก็เลยทำให้ผู้คนอยู่สบาย มีความสุข แม้เจอกับภัยพิบัติอะไรก็นานๆ ที อัตราชีวิตส่วนใหญ่ ถือว่า สบาย สบาย ได้เรื่อยๆ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ความตั้งใจที่จะทำชีวิตให้มีมาตรฐานที่ดีพัฒนานู้นนั้น มันก็ไม่ค่อยมี
เพราะที่มีมันก็อยู่กันมาได้ และอยู่กันไปได้
บ้านสร้างยังไงก็กันแดดกันฝนได้ ร้านอาหารตั้งเป็นเพิง ข้างถนนก็ขายได้ สินค้านานาวางขายกันสบายๆก็ได้ เสื้อผ้าใส่ยังไงก็สบายเพราะอากาศไม่ได้ร้อนหนาวแบบโหดร้ายถึงตาย
มันสบาย และมีกินอร่อยตลอดทั้งปี
แบบนี้ก็เลยไม่รู้สึกเดือดร้อนว่าจะต้องขวานไขว่อะไรให้มากไปกว่านี้
3.2 มองไปทางฝั่งตะวันตกหรือ ประเทศที่พัฒนาอื่นๆ
สิ่งแรกที่เห็นชัดคือเขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายของธรรมชาติ ถึงฤดูหนาวก็หนาวถึงตายใบไม้ร่วงโก๋ลน ท้องฟ้าอึมคึม หิมะคลุมทั้งเมืองบรรยากาศยะเยือกชวนหดหู่ฤดูร้อนก็ร้อนตายได้
เผชิญกับภัยพิบัติต่างๆแผ่นดินไหว สึนามิ พายุ น้ำท่วม ผู้ก่อการร้าย
หรือมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ จะเห็นว่าบ้านเมืองเหล่านั้นผ่านความโหดร้ายของสงครามการเข่นฆ่ามาอย่างโชกโชน
สารพัดความโหดร้ายเหล่านั้น
มันทำให้ผู้คนต้องเค้นศักยภาพของตัวเองให้คิดหาวิธีแก้ไขปัญหา
ตั้งแต่สร้างบ้านสร้างตึก
ถ้าไม่แน่นหนามั่นคง ก็มีสิทธิหนาวตายหรือลมพายุมาก็มีหวังปลิวได้
ประสบการณ์รุ่นต่อรุ่นที่พวกเขาฟันฝ่าความยากลำบาก
เป็นบทเรียนอันสำคัญให้พวกเขา
ต้องคิดพัฒนาเพื่อทำชีวิตของพวกเขาให้ปลอดภัยจากทุกอันตราย
ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติหรือจากความไม่มั่นคงในชีวิตทุกด้าน สังคมเศรษฐกิจ การเมือง
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาสังคม พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพและมีสังคมที่ดี มีการเมือง เศรษฐกิจที่มีมาตรฐานมั่นคงได้
✿
เรียบเรียงโดย สุนทรเทวา