เลกซัส"ES300h" ไฮบริดพลังแรงคอลัมน์ ทดสอบ
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ
ได้รับการตอบรับดีวันดีคืน จนทำให้ "เลกซัส" แบรนด์รถยนต์ระดับหรู ของค่ายโตโยต้า ต้องนำเข้ารถรุ่นต่างๆ มาทำตลาดให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อเป็นการสนองความต้องการของลูกค้า
ล่าสุด เปิดตัว "เลกซัส ES300h" เจนเนอเรชั่นที่ 6 ที่ห่างหายจากบ้านเราไปร่วม 10 ปี โดยนำเข้ามาเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดนัยว่าตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ใส่ใจสภาวะแวดล้อม
ทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์โตโยต้า นำโดย ผอ.หนุ่มมาดเท่ "ประพันธ์ จันทร์วัฒนพงษ์" จึงถือโอกาสเชิญผู้สื่อข่าวไปร่วมทดสอบบนเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน เฉลี่ยแล้วแต่ละคนได้รับราว 100 ก.ม.
เรามาดูรูปลักษณ์กันก่อน ดีไซน์โฉบเฉี่ยวทันสมัยมากขึ้นแต่ไม่ลืมที่จะมอบความสะดวกสบาย ให้สมกับเป็นรถระดับหรู พร้อมทั้งรองรับกลุ่มเป้าหมายที่ขยับลงมาเป็นผู้บริหารหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จากเดิมมุ่งเน้นลูกค้าอายุ 50 ปีขึ้น
ภายนอกออกแบบให้มีความพริ้วไหวโค้งมน กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะ "Spindle Grille" เชื่อมต่อกันระหว่างกระจังด้านบน และล่าง ให้ความรู้สึกล้ำสมัยและแข็งแกร่งอยู่ในตัวเอง
ไฟหน้าอัจฉริยะแบบ HID ให้แสงสว่างกว้างไกล พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ
โฉบเฉี่ยวหรูหรา และเพิ่มความปลอดภัย ด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED ทรงหัวลูกศร
เส้นสายด้านข้างลื่นไหลไปจนจรดด้านท้ายที่ลาดลงบ่งบอกถึงความโอ่อ่ากว้างขวาง ไฟท้ายแบบ LED มองเห็นเด่นชัดกันแต่ไกล
ภายในสีเบจให้ความรู้สึกอบอุ่น หรูหรา พวงมาลัยไม้สไตล์สปอร์ต 3 ก้าน Bird"s-eyeMaple หุ้มหนังแท้บางส่วน พร้อมระบบมัลติฟังก์ชัน
วัสดุหุ้มคอนโซลหนังแท้วิจิตรขึ้นด้วยนาฬิกาทรงอนาล็อก เบาะนั่งหนังแท้โอบกระชับ หน้าจอ แสดงผลข้อมูลต่างๆ ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ รวมถึงแสดงภาพจากกล้องมองหลัง
คอนโซลกลางใกล้กับคันเกียร์เป็นที่วางตำแหน่งแป้นควบคุม Remote Touch Interface (RTI) เพื่อให้สั่งการระบบต่างๆ ด้วยลูกบิดผ่านปลายนิ้วตามหลักสรีระศาสตร์ อีกทั้งละสายตาจากถนนน้อยลง
เบาะนั่งด้านหลังจากการสัมผัสระหว่างที่น้องนักข่าวเป็นผู้ทดสอบ บอกได้เลยว่าให้ความนุ่มนวลชวนฝันไม่ว่าจะเป็นตัวเบาะหนังแท้ หรือระบบช่วงล่าง
ที่เท้าแขนตรงกลางมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงอุณหภูมิแอร์ของผู้โดยสารตอนหลังโดยเฉพาะ รวมถึงม่านบังแดดหลังเรียกว่าทำได้เองทั้งหมด ไม่ต้องสั่งให้คนด้านหน้าทำให้แต่อย่างใด
ได้เวลานั่งในตำแหน่งคนขับ เลือกขับในโหมดธรรมดาจากที่มีให้เลือกแบบ อีโคโหมด สปอร์ตโหมด รวมถึงอีวีโหมด อัตราเร่งเรียกมาใช้งานได้ทันใจกับเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ ไฮบริดให้พลังเรียกมาใช้งานได้อย่างมหาศาล นำพาตัวรถที่แม้จะรูปร่างใหญ่โตไปข้างหน้าอย่างฉิว
เกียร์อัตโนมัติ E-CVT ทำงานได้ราบรื่น
ลองปรับไปใช้ "อีโคโหมด" ด้วยการหมุนปุ่มเหนือคันเกียร์ ทีแรกนึกว่าจะฉุดกำลังไปมากแต่เอาเข้าจริงแทบไม่รู้สึก แถมเครื่องยนต์ทำงานได้กระชับมากขึ้นด้วยซ้ำ ที่สำคัญประหยัดน้ำมันมากกว่าอย่างแน่นอน
ช่วงล่างให้ความนุ่มนวล ไม่ว่าจะผ่านหลุมบ่อหรือขึ้นเนินคอสะพานแบบไม่มีอาการกระโดดกระเด้ง แต่นั่นต้องแลกกับความหนึบแน่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ทำให้จังหวะเข้าโค้งหรือเร่งแซง หากอยู่บนย่านความเร็วสูงต้องเผื่อไว้เล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับท้ายบานจนเอาไม่อยู่
เปลี่ยนมาเป็นสปอร์ตโหมด สิ่งที่เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลง คือที่หน้าปัด เมื่อใช้โหมดอื่นจะไม่มีวัดรอบให้ เป็นเพียงว่าขณะนี้อยู่ในเครื่องยนต์ทำงานช่วงไหน เช่นอยู่ระหว่างชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ระหว่างถอนคันเร่ง
แต่กับสปอร์ตโหมดตรงนี้จะกลายเป็นความเร็วรอบขึ้นมาทันที รวมถึงการเปลี่ยนเกียร์ที่ลากรอบมากขึ้น
พวงมาลัยให้ความรู้สึกหนักมือเพิ่มอีกนิดเติมอารมณ์สปอร์ตเล็กให้กับผู้ขับขี่ แต่เท่าที่ดูแล้ว"อีโคโหมด"เป็นอะไรที่ลงตัวที่สุด กำลังที่ได้ไม่น้อยไป แถมด้วยความประหยัดมาให้อีกต่างหาก
เป็นรถที่ดูดีและเหมาะกับการใช้งานในทุกรูปแบบ
ข้อมูลทางเทคนิคแบบตัวถัง เก๋ง 4 ประตู
เครื่องยนต์ AtkinsonCycle L-4 VVT-i
ความจุ 2,494 ซีซี
กำลังสูงสุด 160 แรงม้า/5,700 รอบฯ
แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร/4,500 รอบฯ
ระบบรองรับ(หน้า) แม็กเฟอร์สันสตรัต
ระบบรองรับ(หลัง) ดูอัลลิงก์ สตรัต
มิติ(กว้างxยาวxสูง) 1,820x4,900x1,450 ม.ม.
ราคา 3,490,000-3,890,000 บาท