bloggang.com mainmenu search
วันนี้ผมจะมาขอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการขอวีซ่าเพื่อไปประเทศสหรัฐอเมริกาให้ได้ทราบกันนะครับ สืบเนื่องจากว่าคุณพ่อขอผมท่านอยากไปเที่ยวที่ประเทศอเมริกา และคุณพ่อของผมท่านก็ถือโอกาสเยี่ยมเยียนครอบครับน้องชายของเขา (คุณอาของผม) ที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยครับ

ก็อื่นผมต้องขอบอกข้อมูลเบื้องต้นของคุณพ่อผมก่อนนะครับ คุณพ่อของผมท่านเป็นข้าราชการเกษียณครับ ท่านมีน้องชาย (คุณอาของผม) ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกามานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยคุณอาของผมได้เป็นพลเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว (โดยคุณอาของผมแต่งงานมีครอบครัวและมีบุตรอยู่ที่อเมริกา 2 คน) คุณพ่อของผมปัจจุบันนี้ท่านก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ท่านก็เลยอยากจะไปเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาดูสักครั้ง โดยการไปเที่ยวในครั้งนี้คุณอาของผมรับอาสาที่จะพาคุณพ่อของผมเที่ยวในประเทศอเมริกาครับ




เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าการขอวีซ่าเข้าประเทศสหรัฐอเมริกานั้นยากมาก ๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะยากและวุ่นวายขนาดนี้ จริง ๆ แล้วคุณพ่อของผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวที่ประเทศอเมริกาตั้งแต่ตอนประมาณต้นปีแล้วครับ แล้วท่านก็ได้ทำการยื่นเอกสารล่วงหน้าไปหลายเดือนแล้ว แต่กว่าจะได้คิวนัดสัมภาษณ์ก็นานมาก ๆ เลยครับ ต้องรอกันเป็นเดือน ๆ เลยกว่าจะนัดคิวสัมภาษณ์ได้ โดยในเรื่องของการกรอกเอกสารและการยื่นขอวีซ่านั้นพี่สาวของผมเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด และพี่สาวของผมก็ต้องมานั่งเฝ้าอินเตอร์เน็ตอยู่ดึก ๆ ดื่น ๆ เป็นเดือน ๆ เลย เพื่อจองคิวนัดสัมภาษณ์ให้ได้ แล้วพี่สาวของผมก็สามารถจองนัดคิวสัมภาษณ์ให้แก่คุณพ่อของผมได้ โดยไปสัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมานี้เองครับ สำหรับหน้าที่ที่จะต้องพาคุณพ่อของผมไปสัมภาษณ์ที่สถานทูตอเมริกานั้นเป็นหน้าที่ของผมเองครับ


ว่าแล้วก็ลองมาตามชมประสบการณ์ในวันที่ผมพาคุณพ่อของผมไปสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่าที่สถานทูตอเมริกากันดูนะครับ








คุณพ่อของผมนัดคิวสัมภาษณ์ได้ตอน 8 โมงเช้าของวันจันทร์ครับ ผมเลยต้องขับรถพาคุณพ่อออกจากบ้านตั้งแต่ตอนตี 5 กว่า ๆ เพื่อที่จะไปหาที่จอดรถที่สวนลุมพินีครับ โดยผมไปเช็คข้อมูลมาได้ว่า ที่สวนลุมพินีสามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดได้ โดยประตูฝั่งถนนวิทยุจะเปิดให้เข้าได้ตั้งแต่ตี 4 ครับ ผมขับรถไปถึงสวนลุมพินีก็เกือบจะ 6 โมงเช้าแล้ว พอผมจอดรถเสร็จผมก็พาคุณพ่อเดินข้ามสะพานลอยตรงไปยังสถานทูตอเมริกาที่อยู่เลยปากซอยร่วมฤดีไปไม่ไกลมากนัก โดยสถานทูตอเมริกาแผนกบริการด้านวีซ่าสหรัฐฯ อยู่ตรงข้ามกับอาคารสินธร (ตลาดหลักทรัพย์เก่า) พอดีเลยครับ

ตอนที่ผมไปถึงหน้าสถานทูตอเมริกานั้นก็เป็นเวลาประมาณเกือบ ๆ จะ 6 โมงเช้าแล้ว ถนนหนทางทางด้านถนนวิทยุยังโล่งอยู่เลยครับ แต่ว่ามีคนเข้าแถวรอที่หน้าปากประตูแล้วประมาณ 50 กว่าคนครับ ผมกับคุณพ่อเลยต้องไปยืนต่อแถวเข้าคิวรอริมถนนบนฟุตบาทหน้าสถานทูตครับ พอยิ่งเวลาสายมากขึ้นก็เริ่มมีคนทยอยมายืนต่อแถวกันมากขึ้นเรียกว่าเป็นร้อย ๆ คนเลยครับ จนหน้าที่ของสถานทูตต้องออกมาจัดระเบียบแถวให้ทุกคนที่เข้าแถวอยู่ขยับชิดไปที่ริมกำแพงสถานทูตมากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่กรีดขวางทางเดินของผู้คนที่เดินสัญจรไปมาบนฟุตบาทครับ




ผมและคุณพ่อไปถึงตอนก่อน 6 โมงเช้าเล็กน้อย ก็ต้องรีบไปยืนเข้าแถวต่อคิวก่อนเลยครับ







ก่อน 6 โมงเช้าเล็กน้อย มีคนมียืนเข้าแถวรอคิวแล้วไม่ต่ำกว่า 50 คนครับ







หลังจาก 6 โมงเช้าไปไม่นาน สังเกตุบนถนนวิทยุยังมีรถแล่นอยู่น้อยมาก แต่คนที่มายืนคอยหน้าสถานทูตสหรัฐมีเยอะมหาศาลแล้วครับ







6 โมงกว่า ๆ ถนนวิทยุฝั่งหน้าสถานทูตสหรัฐยังโล่งมากเลยครับ







แล้วเมื่อมาถึงเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเป็นหญิงสาว 2 ท่านออกมาทำการเช็คชื่อผู้มาเข้ารับการสัมภาษณ์ครับ โดยเจ้าหน้าที่สาวทั้ง 2 ท่านนี้ให้ผู้ที่มีนัดสัมภาษณ์รอบแรกตอน 7.15 น. ออกมาตั้งแถวใหม่เพื่อเตรียมเข้าไปสัมภาษณ์ตามเวลาครับ (อ้าว ... ไอ้ผมนึกว่าใครไปถึงก่อนจะได้สัมภาษณ์ก่อนเสียอีกครับ) ผมกับคุณพ่อของผมถึงแม้ว่าจะมาเข้าแถวอยู่ต้น ๆ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปในสถานทูตครับ ต้องรอให้คนที่นัดสัมภาษณ์รอบเช้ากว่าเข้าไปก่อนครับ

แล้วเจ้าหน้าที่สาวทั้ง 2 ท่านก็ค่อย ๆ จัดแถวใหม่ไปเรื่อย ๆ เป็นแถวสำหรับผู้ที่นัดสัมภาษณ์ตอน 7.30 น. และแถวของผู้ที่นัดสัมภาษณ์ตอน 7.45 น. จนกระทั่งเวลาเกือบจะ 2 โมงเช้า ก็มาถึงคิวของผู้ที่นัดสัมภาษณ์รอบ 8.00 น. ซึ่งเป็นรอบของคุณพ่อของผม เจ้าหน้าที่สาวทั้ง 2 ท่านก็เดินมาทำการเช็คชื่อคนที่มาสัมภาษณ์เบื้องต้นจากในแถวที่เข้าคิวรออยู่เลยครับ ซึ่งพอมาถึงคุณพ่อของผมเจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมให้ผมเข้าไปในสถานทูตด้วยครับ เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ผู้ที่เข้าสัมภาษณ์เข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้นครับ

แต่ผมก็บอกกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านนั้นว่า คุณพ่อของผมท่านมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน โดยท่านต้องใช้เครื่องช่วยฟังถึงจะได้ยินเสียงชัดขึ้น ผมเลยจะขอเข้าไปดูแลคุณพ่อของผมด้วยได้ไหม? ซึ่งปรากฏว่าไม่ได้ครับ เจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านไม่ยอมให้ผมเข้าไปในสถานทูตด้วย ผมเลยต้องออกจากแถวแล้วมายืนคอยอยู่ด้านหน้าสถานทูตร่วมกับญาติของคนอื่น ๆ ที่เข้าไปไม่ได้เช่นกัน






ใกล้จะ 7 โมงเช้าแล้ว คนที่มาเข้าแถวรอคิวเริ่มยาวไปจนถึงสะพานลอยแล้วครับ







เจ้าหน้าที่ของสถานทูตมาจัดระเบียบให้คนที่มีคิวสัมภาษณ์ตอน 7.15 น. มาตั้งแถวใหม่ทางขวามือครับ







ส่วนแถวขวามือนี้เป็นแถวของผู้ที่เข้าสัมภาษณ์ตอน 7.30 น. ครับ (แล้วเมื่อไหร่รอบ 8.00 น.จะได้เข้าไปหว่า?)







ผมสังเกตุดูเวลา ตอนที่คุณพ่อของผมได้เข้าไปในสถานทูตอเมริกาก็ประมาณ 8 โมงเช้าพอดีเลยครับ ตรงตามเวลาที่นัดสัมภาษณ์ไว้เลยครับ ซึ่งสรุปว่าผมและคุณพ่อต้องมายืนคอยอยู่ที่หน้าสถานทูตเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม ๆ เลยครับ (รู้อย่างงี้ผมพาคุณพ่อมาตอนก่อน 2 โมงเช้าสัก 10 นาทีก็ดี) ซึ่งผมเฝ้ามองดูว่ากว่าที่แต่ละท่านจะเข้าไปในสถานทูตได้ ต้องมีการตรวจของข้าวอย่างละเอียดมากเลยครับ ท่าทางว่าช่วงนี้สถานทูตอเมริกาจะระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยมากเป็นพิเศษเลยครับ

ผมยืนคอยอยู่ที่หน้าสถานทูตก็ได้พูดคุยกับบรรดาญาติของผู้ที่มาสัมภาษณ์ท่านอื่น ๆ ที่ต้องมีหัวอกด้วยกันก็คือเข้าไปในสถานทูตด้วยไม่ได้เหมือนกันกับผม โดยแต่ละท่านก็บ่นเรื่องการนัดคิวสัมภาษณ์ว่ายุ่งยากและวุ่นวายมาก ๆ เลย ต้องวุ่ยวายไปซื้อ PIN เพื่อมาเข้าระบบสำหรับจองคิวสัมภาษณ์ (โชคดีที่หน้าที่นี้เป็นของพี่สาวผมครับ ... อิอิ) กว่าแต่ละท่านจะได้คิวสัมภาษณ์บางท่านรอมานานกว่า 3 เดือนก็มีครับ หลังจากที่ผมยืนพูดคุยกับท่านอื่น ๆ อยู่สักพักก็มีบรรดาพวกเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ต่าง ๆ เข้ามาพูดคุยด้วย คนพวกนี้จะมาพูดคุยเพื่อหาลูกค้าในการเป็นตัวแทนกรอกเอกสารขอวีซ่า , การจองนัดคิวสัมภาษณ์ หรือจัดพาทัวร์ในต่างประเทศ ฯลฯ





บรรดาญาติของผู้เข้าสัมภาษณ์ที่ไม่สามารถเข้าไปในสถานทูตอเมริกาได้ ต้องยืนรออยู่ริมถนนหน้าสถานทูตครับ







หลังจากที่คุณพ่อของผมเข้าไปในสถานทูตได้ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ผมก็เห็นคุณพ่อของผมก็เดินออกมาจากสถานทูต ผมก็ต้องออกอาการหน้าเสียเลยครับ ในตอนนั้นผมนึกว่าคุณพ่อของผมท่านจะขอวีซ่าไม่ผ่านเสียแล้ว แต่ปรากฏว่าคุณพ่อของผมท่านออกมาตามตัวผมครับ เพราะว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตให้ออกมาตามผมเข้าไปด้วย เนื่องจากว่าคุณพ่อของผมท่านคงจะฟังเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยจะได้ยิน ผมเลยได้สิทธิ์ที่เข้าไปในสถานทูตเพื่อดูแลคุณพ่อของผมด้วยครับ

แต่กว่าที่ผมจะเข้าไปในสถานทูตได้ผมก็ต้องโดนตรวจตราเป็นพิเศษเหมือนกันครับ ตรวจสอบข้าวของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออิเลคทรอนิคต่าง ๆ (กุญแจรถยนต์ที่มีสัญญาณกันขโมย ไม่สามารถผ่านประตูสถานทูตเข้าไปได้ครับ) , เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือต่าง ๆ (ผมเลยอดถ่ายภาพข้างในสถานทูตเลยครับ) , บีบี , ไอโฟน , ไอแพ็ค , กล้องถ่ายภาพ , คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส์ ฯลฯ ข้าวของพวกนี้ต้องฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูทั้งหมดเลยครับ โดยเข้าไปได้เพียงแค่ตัวกับเอกสารต่าง ๆ เท่านั้นเองครับ





(หมายเหตุ ... เนื่องจากทางสถานทูตอเมริกาไม่อนุญาตให้เอาโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายภาพทุกชนิดเข้าไปในสถานทูต ดังนั้นผมจึงไม่มีภาพจากภายในสถานทูตนำมาประกอบเนื้อเรื่องได้ครับ)





พอเข้าไปในสถานทูตแล้ว ปรากฏว่าคุณพ่อของผมท่านผ่านขั้นตอนของการตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ไปหมดแล้ว ในตอนที่ผมเข้าไปนั้นคุณพ่อของผมได้รับแฟ้มพลาสติกที่ใส่เอกสารต่าง ๆ พร้อมทั้งหมายเลขคิวมาถือรอแล้ว (ในแฟ้มมีเอกสารที่กรอกเพื่อขอวีซ่า , เอกสารประกอบต่าง ๆ ที่สถานทูตต้องการ , ใบเสร็จที่แสดงว่าได้จ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือมีพาสสปอร์ตฉบับจริงของผู้เข้ารับการสัมภาษณ์รวมอยู่ในแฟ้มพลาสติกนั้นด้วย) หลังจากนั้นผมกับคุณพ่อก็ไปเข้าแถวเพื่อคอยรับการสัมภาษณ์เบื้องต้นเลยครับ

ในช่องที่สัมภาษณ์เบื้องต้นนี้จะมีอยู่ 3 ช่อง โดยในแต่ละช่องจะมีลักษณะเป็นช่องเหมือนกับที่ซื้อตั๋วโดยสารหรือว่าซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ต่าง ๆ โดยมีกระจกใสกั้นมิดชิดระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ที่ยืนอยู่ด้านนอก แต่จะมีไมโครโฟนไว้สำหรับพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ที่มาสัมภาษณ์ สำหรับผู้ที่ทำการสัมภาษณ์นี้เป็นคนไทยที่เป็นสุภาพสตรีทั้ง 3 ท่าน โดยลักษณะของการสัมภาษณ์น่าจะเป็นการสัมภาษณ์เบื้องต้น เพื่อเช็คความถูกต้องของเอกสารต่าง ๆ รวมทั้งเช็คความถูกต้องของตัวบุคคลด้วย อีกทั้งเพื่อเป็นการป้องกันการให้ผู้อื่นปลอมตัวมาสัมภาษณ์แทนครับ

ในกรณีนี้ผมคิดว่า ... คงจะเหมือนกับที่เวลาคนไทยเรามองคนต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งว่าหน้าตาเหมือนกันหมด แยกแยะไม่ค่อยจะออกว่าใครเป็นใคร? ดังนั้นทางสถานทูตอเมริกาก็คงกลัวว่าจะมีปัญหาแบบนี้เช่นกันมั๊งครับ เลยต้องใช้เจ้าหน้าที่คนไทยเป็นคนดูและตรวจสอบผู้รับการสัมภาษณ์ที่เป็นคนไทยเบื้องต้นก่อนก็เป็นได้ครับ เพราะคนไทยกันเองมองหน้ากันแล้วสามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใครครับ



พอมาถึงคิวของคุณพ่อของผม ผมก็ดินตามคุณพ่อของผมเข้าไปที่ช่องสัมภาษณ์ด้วย แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้คุณพ่อของผมเอาแฟ้มเอกสารพลาสติกยื่นสอดผ่านช่องกระจกด้านล่างเหนือเคาน์เตอร์เข้าไปให้แก่เขา

จนท. “มาสัมภาษณ์พร้อมกันทั้ง 2 คนเลยเหรอค่ะ?”

ผมเอง “ปล่าวครับ? คุณพ่อของผมมาสัมภาษณ์ท่านเดียวครับ”

จนท. “อ้าว ... แล้วคุณเข้ามาด้วยทำไมค่ะ?”

ผมเอง “พอดีว่าคุณพ่อของผมท่านมีปัญหาเรื่องการได้ยินครับ ท่านต้องใส่เครื่องช่วยฟัง” ผมพูดพร้อมทั้งชี้ไปที่เครื่องช่วยฟังที่ติดอยู่ตรงใบหูของคุณพ่อผม “แล้วท่านก็ฟังจากไมโครโฟนไม่ค่อยจะได้ยินครับ ท่านต้องใช้วิธีการอ่านปากประกอบด้วยครับ”

ผมพยายามพูดอธิบายให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่สัมภาษณ์ได้ฟัง ซึ่งเธอก็คงพอจะเข้าใจที่ผมอธิบายครับ เธอก็เลยตรวจสอบเอกสารของคุณพ่อผมพร้อมทั้งเริ่มทำการสัมภาษณ์เลยครับ

จนท. “คุณลุงจะไปอเมริกาทำไมค่ะ?”

เจ้าหน้าที่เริ่มถามคำถามแรก ซึ่งผมก็ต้องทำหน้าที่เสมือนล่าม เฮ้ย .. ไม่ใช่สิครับ ผมต้องทำหน้าที่เหมือนไมโครโฟนให้แก่คุณพ่อของผมครับ

ผมเอง “เค้าถามว่า ... พ่อจะไปทำไม?”

ผมพยายามพูดแบบดัง ๆ เน้น ๆ เพื่อทวนคำถามของเจ้าหน้าที่ให้คุณพ่อของผมท่านได้อ่านริมฝีปากผมตามด้วย ซึ่งพอคุณพ่อของผมท่านทราบว่าเจ้าหน้าที่ถามว่าอะไรแล้ว ท่านก็หันไปตอบแก่เจ้าหน้าที่ครับ

พ่อของผม “จะไปเที่ยวครับ”

จนท. “แล้วคุณลุงจะไปกี่วันค่ะ?”

ผมเอง “เค้าถามว่าพ่อจะไปกี่วัน? ... พ่อจะไปกี่วัน?”

ผมต้องพยายามถามให้เสียงดังแบบเน้น ๆ เพื่อให้คุณพ่อของผมได้ยินครับ ซึ่งผมแอบเห็นว่าคนที่เข้าคิวรอสัมภาษณ์อยู่ข้างหลังต่างก็แอบอมยิ้มกันทุกคนเลยครับ

พ่อของผม “ไป 15 วันครับ”

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถามคำถามต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ประมาณว่า ... เคยมาขอวีซ่าไปอเมริกามาก่อนหน้านี้ไหม? , เคยเปลี่ยนชื่อไหม? , เคยมีใครในครอบครัวมาขอวีซ่าอเมริกาไหม? , ทำงานอะไร? ที่ทำงานสุดท้ายคือที่ไหน? ซึ่งคำถามทั้งหมดเหมือนเป็นคำถามที่ตรวจสอบความถูกต้องของผู้ตอบคำถาม เมื่อเทียบกับเอกสารต่าง ๆ ที่กรอกมา ผมคิดว่าเป็นการกำหนดความถูกต้องของตัวตนผู้เข้าสัมภาษณ์มากกว่าครับ

จนท. “ใครเป็นคนกรอกเอกสารให้คุณพ่อค่ะ?”มาถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่หันมาสอบถามกับตัวผมโดยตรงเลย

ผมเอง “พี่สาวของผมครับ พี่สาวของผมเค้าเก่งภาษาอังกฤษ” ผมต้องรีบตอบออกไปทันทีเพราะผมกลัวว่าเจ้าหน้าที่เค้าจะถามผมต่อเป็นภาษาอังกฤษครับ

แล้วก็มาถึงคำถามสำคัญ ที่ผมคิดว่าเป็นคำถามที่ทางสถานทูตน่าจะต้องการรู้มากที่สุด ซึ่งเจ้าหน้าที่สาวได้หันไปถามกับคุณพ่อของผมโดยตรงอีกครั้ง

จนท. “แล้วคุณลุงจะไปอเมริกาอย่างไรค่ะ?”

ผมเอง “เค้าถามพ่อว่า ... พ่อจะไปอเมริกายังไง?” ผมยังต้องทำหน้าที่เป็นเสียงสะท้อนเพื่อทวนคำถามให้คุณพ่อของผมได้ยินอย่างชัด ๆ เหมือนเคย

พ่อของผม “ไปกับน้องชายครับ”

ผมเอง “คุณพ่อของผมท่านจะไปกับคุณอาครับ ตอนนี้คุณอามารออยู่ที่เมืองไทยแล้ว คุณอารอว่าได้วีซ่าเมื่อไหร่ท่านก็จะได้ไปพร้อมกันครับ” ผมจึงช่วยตอบเสริมไปด้วยอีกคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ขอรูปถ่ายจากคุณพ่อของผมเพิ่มอีก 1 ใบ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้คุณพ่อของผมเอานิ้วหัวแม่โป้งวางบนเครื่องสแกนนิ้วมือที่อยู่บนเคาน์เตอร์ข้าง ๆ กับไมโครโฟน โดยเอานิ้วโป้งวางทาบลงไปบนเครื่องสแกนที่ละข้าง ขวาและซ้าย แล้วก็เอานิ้วโป้งมาวางทาบคู่กันอีกครั้ง

จนท. “เดี๋ยวไปเข้าแถวรอสัมภาษณ์ได้ที่ช่อง 12 เลยนะค่ะ”

เจ้าหน้าที่บอกคุณพ่อกับผม พร้อมทั้งยื่นสอดเอาแฟ้มเอกสารทั้งหมดคืนออกมาให้ พอผมกับคุณพ่อรับแฟ้มเอกสารคืนมาแล้วก็รีบเดินเข้าไปต่อแถวที่ช่องหมายเลข 12 ด้านในเลยครับ





ที่ช่องสัมภาษณ์ด้านในก็คล้าย ๆ กับที่สัมภาษณ์ด้านนอก แต่ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ทำการสัมภาษณ์เป็นฝรั่ง เป็นเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันครับ โดยถ้าท่านใดพูดภาษาอังกฤษได้เจ้าหน้าที่ก็จะสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เจ้าหน้าที่ก็จะถามเป็นภาษาไทยครับ โดยช่องสัมภาษณ์ด้านในนี้จะมีอยู่ประมาณ 7-8 ช่องครับ

แล้วก็มาถึงคิวของคุณพ่อผมครับ คุณพ่อของผมได้สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่เป็นฝรั่ง โดยเจ้าหน้าที่เป็นผู้ชายถามคำถามคุณพ่อผมเป็นภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง มาถึงตอนนี้ผมต้องทำหน้าที่เป็นผู้ทวนคำถามให้แก่คุณพ่อของผมอีกครั้งครับ เพราะว่าท่านคงฟังไม่ค่อยชัดและไม่เข้าใจแน่ ๆ ครับ พอคุณพ่อกับผมไปถึงช่องสัมภาษณ์ คุณพ่อของผมท่านก็เอาแฟ้มเอกสารสอดเข้าไปให้แก่เจ้าหน้าที่ฝรั่ง ซึ่งเขารับไปแล้วก็เอาเครื่องยิงบาร์โค้ดยิงที่ชุดเอกสารของคุณพ่อผม แล้วเจ้าหน้าที่ฝรั่งเขาก็ให้คุณพ่อของผมเอานิ้วมือมาทาบบนเครื่องสแกนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง แล้วเขาก็มองดูใบหน้าของคุณพ่อผมพร้อมทั้งเช็คความถูกต้องของเอกสารไปด้วย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝรั่งท่านนี้ก็เริ่มทำการสัมภาษณ์คุณพ่อของผมเลยครับ

จนท.ฝรั่ง “คุณเคยเป็นครูใช่ไหม?”

ผมเอง “เค้าถามว่า ... พ่อเคยเป็นครูใช่ไหม?” ผมก็ทำหน้าที่ทวนคำถามให้แก่คุณพ่อของผมได้ยินคำถามของเจ้าหน้าที่เหมือนเคยครับ

พ่อของผม “ใช่ครับ”

จนท.ฝรั่ง “คุณเกษียณแล้วใช่ไหม?” (ผมต้องขอชื่นชมเลยครับ เจ้าหน้าที่ฝรั่งรู้จักคำว่าเกษียณด้วยครับ)

ผมเอง “เค้าถามพ่อว่า ... พ่อเกษียณแล้วใช่ไหมครับ?”

พ่อของผม “ใช่ครับ”

จนท.ฝรั่ง “คุณมีบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ใช่ไหม?”

ผมเอง “เค้าถามว่า .. พ่อมีบ้านอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”

พ่อของผม “ใช่ครับ”

มาถึงตรงนี้คุณพ่อของผมตอบพร้อมทั้งก้มหน้าไปเพื่อจะหยิบเอกสารที่เตรียมมา แต่เจ้าหน้าที่ฝรั่งพอมองออกเขาเลยโบกมือบอกผมประมาณว่าไม่ต้องหยิบเอกสารมาแสดงก็ได้ ผมเลยต้องเอื้อมมือไปแตะที่แขนเพื่อบอกคุณพ่อของผมว่าไม่ต้องหยิบหรอก

จนท.ฝรั่ง “คุณจะไปอเมริกายังไง?”

เจ้าหน้าที่ฝรั่งถามคำถามนี้เหมือนกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนไทยข้างนอกที่ถามเลยครับ ผมคิดว่าคำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดที่ทางสถานทูตอนุมัติวีซ่าให้แก่คุณพ่อของผมก็เป็นได้ครับ

ผมเอง “เค้าถามว่า ... พ่อจะไปอเมริกายังไง?”

พ่อของผม “ไปกับน้องชายของผม ชื่อคุณ ... ตอนนี้เขาอยู่เมืองไทยครับ”

พอคุณพ่อของผมตอบคำถามนี้จบ เจ้าหน้าที่ฝรั่งก็พิมพ์อะไรบ้างอย่างเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วเจ้าหน้าที่ฝรั่งก็เก็บเอกสารของคุณพ่อผมทั้งหมดกลับเข้าแฟ้ม แล้วยื่นไปที่โต๊ะด้านหลังของเขา แล้วเจ้าหน้าที่ฝรั่งคนที่สัมภาษณ์นี้ก็เอาแผ่นกระดาษใบสีฟ้า ๆ ใบหนึ่งยื่นกลับมาให้แก่คุณพ่อของผม

จนท.ฝรั่ง “คุณเอาเอกสารแผ่นนี้ไปให้ไปรษณีย์ที่อยู่ข้างนอก แล้วเราจะอนุมัติวีซ่าให้แก่คุณภายใน 1 สัปดาห์ ขอให้คุณโชคดีครับ”

เจ้าหน้าที่ฝรั่งพูดอย่างเน้น ๆ ด้วยสำเนียงฝรั่งที่ค่อนค้างจะชัดเจน พร้อมทั้งยิ้มให้แก่คุณพ่อและผม ผมเลยรีบเอามือไปเขย่าที่แขนของคุณพ่อผมเพื่อบอกประมาณว่า ได้เสร็จขั้นตอนการสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว

ผมเอง “ขอบคุณครับ”

ผมรีบยกมือขึ้นไหว้เจ้าหน้าที่ฝรั่ง ซึ่งทำให้คุณพ่อของท่านเลยยกมือขึ้นไหว้เจ้าหน้าที่ฝรั่งคนที่สัมภาษณ์ตามผมด้วย หลังจากนั้นผมก็พาคุณพ่อของผมออกมาด้านนอกอีกครั้ง





ที่บริเวณข้างนอกนั้นมีเขียนป้ายบอกไว้ว่า “ท่านที่ได้รับอนุมัติวีซ่าแล้วให้ซื้อซองไปรษณีย์ที่ช่องนี้” โดยขั้นตอนต่อไปก็คือการไปเข้าคิวรอซื้อซองไปรษณีย์ตอบรับ เพื่อส่งเอกสารพาสสปอร์ตที่ได้รับอนุมัติวีซ่าแล้วคืนกลับทางไปรษณีย์ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของไปรษณีย์ไทยไปตั้งบูทเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยครับ โดยเสียค่าธรรมเนียมไปรษณีย์เพื่อส่งเอกสารกลับบ้านจำนวน 75 บาท โดยเอากระดาษแผ่นสีฟ้า ๆ ที่เจ้าหน้าที่ฝรั่งให้มา เอาไปยื่นให้แก่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เพราะว่าในกระดาษสีฟ้า ๆ แผ่นนั้นจะมีเลขอนุมัติวีซ่าของเราอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ก็พิมพ์รายละเอียดต่าง ๆ เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ แล้วเขาก็ให้ซองจดหมายใบใหญ่มา 1 ใบ เพื่อให้เราเขียนที่อยู่ไว้สำหรับการส่งกลับทางไปรษณีย์ครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นการจบสิ้นการไปสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่าในครั้งนี้ครับ ผมและคุณพ่อเดินกลับออกมาจากสถานทูตอเมริกาก็เป็นเวลาประมาณเกือบ 10 โมงเช้า ซึ่งสำหรับผมถือว่าใช้เวลาน้อยกว่าที่คาดเอาไว้มากเลยครับ เพราะก่อนมาผมกลัวว่าจะใช้เวลาเลยไปจนถึงช่วงบ่ายเลยด้วยซ้ำ แต่เสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดก่อน 10 โมงเช้าผมก็ถือว่าโอเคเลยครับ

หลังจากนั้นพอถึงวันพุธ (แค่ 2 วันหลังจากวันที่ไปสัมภาษณ์) คุณบุรุษไปรษณีย์ก็เอาจดหมาย EMS ซึ่งใส่พาสสปอร์ตที่อนุมัติวีซ่าแล้วมาส่งให้แก่คุณพ่อผมตามที่อยู่ที่บ้านถึงมือเลยครับ ในตอนนี้คุณพ่อของผมก็เลยได้รับอนุมัติวีซ่าเข้าสหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 10 ปีเลยครับ





เย้ ๆ ๆ ... ได้แล้วครับ วีซ่าสำหรับเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลา 10 ปีของคุณพ่อผมครับ


















มาถึงตอนนี้ผมต้องยอมรับว่าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้มีการจัดระบบและวางระเบียบไว้เป็นอย่างดีเลยครับ ที่สำคัญก็คือทางสถานทูตอเมริกาให้ความสำคัญเรื่องการตรงต่อเวลามาก ๆ เลยครับ ถึงแม้ว่าคนที่จะไปรอคิวสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่าจะมีจำนวนเยอะมาก ๆ ก็ตาม แต่เมื่อผู้ที่เข้ารับสัมภาษณ์ได้ผ่านเข้าไปในสถานทูตแล้ว ผมมีความคิดเห็นว่าขั้นตอนการตรวจสอบเอกสาร การสัมภาษณ์และขั้นตอนต่าง ๆ ที่ทางสถานทูตอเมริกากำหนดไว้นั้นมันค่อนข้างจะรวดเร็วและลื่นไหลได้เป็นอย่างดี โดยผู้ที่มารอรับการสัมภาษณ์ไม่ต้องรอนานให้เสียเวลาและเสียอารมณ์ครับ ผมคิดว่ามันคงมาจากการที่ประเทศเขามีระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก เขาเลยเอาความมีระเบียบวินัยมาใช้จัดระบบและขั้นตอนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมต้องขอยกย่องและชื่นชมสถานทูตอเมริกาในกรณีนี้มาก ๆ เลยครับ





จำนวนของผู้ที่มายืนรอเข้ารับการสัมภาษณ์ที่ด้านหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา (ผมถ่ายภาพนี้ช่วงเวลาประมาณ 8.15 น.) ดูกันเอาเองก็แล้วกันครับว่ามีจำนวนเยอะมากขนาดไหนครับ ?







ที่ผมเล่าประสบการณ์การพาคุณพ่อของผมไปสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่าในครั้งนี้ ก็เพราะผมหวังว่าคงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง สำหรับผู้ที่กำลังจะเตรียมตัวไปขอวีซ่าเพื่อไปประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ผมขอให้ท่านโชคดีและสามารถผ่านการสัมภาษณ์ได้รับอนุมัติวีซ่าเหมือนคุณพ่อของผมนะครับ

อิอิ









@@@@@@@@@@@@@@@


คุยกันท้ายเรื่อง

ผมขออนุญาตตอบคำถามเพิ่มเติมนะครับ พอดีว่ามีคำถามที่น่าสนใจมาถามไว้ ผมตอบแล้วเลยยกเอามาไว้ให้อ่านกันเพิ่มเติมครับ

+++++

จากคำถามที่ว่า ....

ขอถามหน่อยนะค่ะ
เจ้าหน้าที่ (3 ช่อง) ที่สัมภาษณ์คร่าวๆอ่ะค่ะ
เค้าคืนซองเอกสารให้ด้วยเหรอค่ะ ?

ทำไมตอนดิฉันไปขอ (รอบแรก) เค้าไม่ได้คืนเอกสารให้ เค้าเก็บไว้แล้วเอาไปให้กงสุลเองเลย.. ให้แค่บัตรคิวเรามา

และผลปรากฏ คือ ไม่ผ่านอ่ะค่ะ
มันจะเกี่ยวกันมั๊ยค่ะที่ว่า ถ้าใครได้ถือซองไปให้กงสุลเอง จะมีโอกาสได้วีซ่ามากกว่าคนที่ไม่ได้ซองเอกสารคืน

ชักสงสัยแล้วซิ ??

โดย: minimint

+++++

^
^
^
^

+++++

ผมขอตอบว่า ...

เจ้าหน้าที่ที่เป็นสุภาพสตรีคนไทย(ทั้ง 3 ช่อง) ที่เป็นผู้ทำการสัมภาษณ์เบื้องต้น ผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่คอยครวจสอบและสกรีนเบื้องต้นนะครับ ว่าใครน่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก่อนที่เธอจะส่งเข้าไปให้ จนท. ฝรั่งข้างในสัมภาษณ์ต่อเป็นด่านสุดท้ายครับ

ในกรณีที่ไม่ผ่านตั้งแต่ด่านนี้ผมก็ว่าน่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ว่าถูกต้องไหมมากกว่า? โดยผมคิดว่า จนท.สุภาพสตรีคนไทยท่าน 3 ท่านนี้จะตั้งคำถามในลักษณะการ ครอสเช็ค ระหว่างข้อมูลที่คุณกรอกและเอกสารประกอบที่คุณนำมายื่น กับคำตอบที่คุณตอบออกมาจากปาก ว่าถูกต้องตรงกันไหม? มีการ เมค เอกสารหรือข้อมูลไหม? ผมคิดว่าเป็นขั้นตอนของการสกรีนเบื้องต้น (จับคนผิด) เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งต่อไปสัมภาษณ์ในด่านต่อไปมากกว่าครับ ในขั้นตอนนี้ใครที่ไม่ผ่านก็ตัดออกไปก่อนเลย ไม่ต้องส่งเข้าไปสัมภาษณ์กับ จนท.ฝรั่งต่อครับ

ยกตัวอย่างเช่นผมเห็นมีน้องผู้หญิงที่ช่องข้าง ๆ สัมภาษณ์กับ จนท.สุภาพสตรีคนไทยนานมาก ๆ โดยผมพอจำประโยคการสนทนาหลัก ๆ ได้ประมาณว่า ...

จนท. "ไปตั้งเดือนครึ่งแล้วคุณต้องลาออกจากที่ทำงานไหม?"

น้องผู้หญิง "เออ ... ไม่ค่ะ ที่ทำงานลาได้คะ"

จนท. "ลาหยุดได้ยาวเดือนครึ่งเลยเหรอค่ะ?" จนท. ถามซักต่อ

น้องผู้หญิง "ได้ค่ะ เอาวันหยุดต่าง ๆ มารวมกันได้หมด ทั้งลาป่วย ลาพักร้อน ลาไปธุระคะ"

จนท. "แน่ใจนะว่าลาหยุดได้ ... ไปนานขนาดนั้นแล้วกลับมายังจะทำงานต่อได้เหรอ?"

แล้วผมก็เห็นว่าน้องผู้หญิงคนนั้นตอบแบบอำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนกับว่าน้องผู้หญิงคนนั้นเค้าจะไม่ได้เตรียมตัวมาตอบคำถามในประเด็นนี้ ผมได้ยิน จนท. บอกว่าให้ไปเอาเอกสารอะไรสักอย่างจากที่ทำงานมาแสดงเพิ่มเติม แล้ว จนท. ผู้สัมภาษณ์ก็เก็บเอกสารของน้องคนนี้ไว้ไม่ได้คืนให้ ผมก็เลยเห็นน้องผู้หญิงคนนี้เดินคอตกหน้าเศร้า ๆ หันออกมาจากช่องสัมภาษณ์ ผมคิดว่าน้องเค้าคงไม่ผ่านการสัมภาษณ์เบื้องต้นที่ด่านนี้มั๊งครับ

แต่สำหรับในกรณีของคุณพ่อผม จนท.สุภาพสตรีคนไทยเค้าขอรูปถ่ายของคุณพ่อผมเพิ่มอีก 1 ใบ เอาไปเย็บติดกับเอกสารใบหนึ่งในแฟ้ม แล้วยื่นคืนแฟ้มมาให้คุณพ่อผมไปสัมภาษณ์ต่อในด่านต่อไป (ช่องหมายเลข 12 ) ที่ด้านใน ซึ่งเป็น จนท.ฝรั่งชาวอเมริกันเป็นคนสัมภาษณ์ได้เลยครับ

หวังว่าผมคงจะพอตอบคำถามให้หายข้องใจได้บ้างนะครับ

อิอิ


อิอิ







Create Date :31 พฤษภาคม 2554 Last Update :1 มิถุนายน 2554 21:54:13 น. Counter : Pageviews. Comments :93