Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
(ดองed) บทสรุป หรือ จุดจบ “มหากาพย์แห่งการต่อสู้”

องค์บาก 3




วันเข้าฉาย : 5 พฤษภาคม 2553
ความยาว : ≈90 นาที
ผู้กำกับ : พนม ยีรัมย์, พันนา ฤทธิไกร



“แม้ร่างกายจะดับสลาย แต่หากดวงจิตยังเข้มแข็งไม่ดับสูญ หนทางแห่งชีวิตจักถือกำเนิดใหม่ขึ้นอีกครา เพียงหลอมรวมจิตศรัทธาอันมุ่งมั่น เรียนรู้จิตสับประยุทธ์ จงต่อสู้ด้านมืดในใจตน นำไปสู่การค้นพบ ก่อเกิด นาฏยุทธ์ ศาสตร์และศิลปะการต่อสู้อันทรงอานุภาพอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”

หลังจากพ่ายแพ้แก่ ภูติสางกา (เดี่ยว ชูพงษ์) สูญเสียทั้ง 2 บิดา ออกญาสีหเดโช (สันติสุข พรหมศิริ) และ เชอนัง (สรพงษ์ ชาตรี) รวมทั้งบรรดาพี่น้องแห่งชุมโจรผาปีกครุฑ ทุกศาสตร์ยุทธ์ที่ถูกบ่มเพาะฝึกฝนมาทั้งชีวิตของ เทียน (จา พนม ยีรัมย์) ล้วนถูกทำลายย่อยยับจนหมดสิ้น ต้องโทษฑัณฑ์ถูกทรมานพิการเจียนตาย เหลือเพียงแค่ลมหายใจอันรวยริน ฤๅชีวิตทั้งมวลล้วนจบสิ้นลง ดั่งคำทำนาย เมื่อครั้งถือกำเนิด ยามใดจับต้องศาสตรา ชีวิตจักมืดมนต้องโทษทุกข์แสนสาหัส ท่ามกลางบ่วงกรรมที่ยังคงดำเนินเกี่ยวพันสืบเนื่องต่อไป บัดนี้ร่างที่ไร้ชีวิตของบุรุษนักสู้ผู้เป็นตำนานได้รับความช่วยเหลือถูกลำเลียงขนย้ายส่งต่อไปยังหมู่บ้านอโรคยา ที่ในอดีต เทียน และ พิม (จ๊ะจ๋า พริมตา เดชอุดม) เคยใช้ชีวิตเติบโตเรียนรู้เรื่องสมุนไพรใบยาบ่มเพาะสมาธิ ซึมซับวิชาโขนนาฏศิลป์ โดยมีเหล่าผู้คนในหมู่บ้านทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กผู้เฒ่าผู้แก่ หรือกระทั่งคนบ้าที่ไร้สติแต่ไม่เคยมีพิษภัยกับใครอย่าง ไอ้เหม็น (หม่ำ จ๊กมก) ก็ต่างมาร่วมกันหลอมจิตศรัทธารวมเป็นหนึ่งช่วยกันหล่อพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเพื่อส่งจิตระลึกให้เทียนฟื้นคืนสติกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขณะที่พิมเองได้นำเอาท่วงท่าการร่ายรำดัดตัวตามรูปแบบของนาฏศิลป์โขนโบราณ มาช่วยในการรักษาบำบัดร่างกายที่เสื่อมสลายโดยมี ครูบัว (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ที่ปัจจุบันกลายเป็นพระบัวเปิดทางให้เทียนได้เริ่มต้นเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกควบคุมร่างกาย กล่อมเกลาสภาวะจิตให้นิ่ง เรียนรู้และต่อสู้กับด้านมืดในใจ เพื่อบรรลุถึงจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่หลับใหล หลอมหลวมเข้ากับ “พลังศรัทธาอันแรงกล้า” จากธาตุธรรมชาติทั้ง 4 “ดิน น้ำ ลม ไฟ” ผสมผสาน จนก่อเกิดการค้นพบ “นาฏยุทธ์” ศาสตร์และศิลปะการต่อสู้อันทรงอานุภาพอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

ในขณะที่แผนการณ์ต่างๆ ของ พระยาราชเสนา (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ล้วนแต่บรรลุตามความประสงค์แทบทั้งสิ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือ การก้าวขึ้นสู่ความเป็น จอมราชันย์ที่พร้อมสยบทุกสิ่ง และแน่นอนว่าเมื่อรวมเหล่านักฆ่ามากฝีมือ และบรรดาไพร่พลที่มีอยู่รายล้อมรอบตัวอันมากมายมหาศาลด้วยแล้ว ภายใต้ผืนนภา และเหนือพื้นพสุธาอันกว้างใหญ่ไพศาลย่อมไร้ซึ่งผู้กล้ารายใดที่คิดจะต่อกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ “ภูติสางกา” ฑูตสังหารที่มาพร้อมกับ “ภูติยุทธ์” ศาสตร์การต่อสู้ที่ไร้รูปแบบและร่องรอย อยู่เคียงข้างและรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งล้วนสยบนิ่งอยู่แทบเท้าเลยทีเดียว

และทันทีที่พระยาราชเสนารู้ว่าบัดนี้เทียนได้รับการชุบชีวิตจากชาวหมู่บ้านคณะโขนด้วยแล้ว คำสั่งเลือดและการระดมเหล่าทหารและขุมกำลังทั้งหมดถูกส่งไปเพื่อทำลายร้างและเข่นฆ่าผู้คนในหมู่บ้านที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยที่ตัวพิมเองถูกทหารจับตัวกลับไปยังพระราชวังเพื่อสำเร็จโทษอาญาคชฑัณฑ์ (ใส่ตะกร้อให้ช้างเตะ) ต่อหน้าหมู่ทาสและกลุ่มประชาชนทั้งหมด

ทำให้เทียนที่บัดนี้กำลังเรียนรู้และก้าวเข้าสู่วิถีสมาธิอันสงบนิ่ง ต้องยอมละตัวเองออกจากดวงจิตอันบริสุทธ์เพื่อเผชิญกับวิบากกรรมและขวากหนามที่เป็นอุปสรรคซึ่งถูกลิขิตไว้อย่างไม่จบสิ้น จากเหล่าอริราชแลศัตรูอันชั่วร้ายที่ยังคงหมายที่จะคร่าเอาชีวิตเทียน ไม่ว่าจะเป็น “ภูติสางกา” หรือ “พระยาราชเสนา” เอง ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่า “ความแค้นและพลังจากด้านมืดในจิตของ” ของเทียนเอง ก็พร้อมที่จะถาโถมเข้าครอบงำ ทำลายและทำร้ายเทียนตลอดเวลา ทางเดียวที่จะเอาชนะกรรมที่เริ่มก่อตัวขึ้น นั่นคือต้องเผชิญหน้าและเรียนรู้ที่จะควบคุมและเอาชนะจิตใจตนเองให้ได้



ไม่โอเลยค่ะ แต่ก็ถือว่าสนับสนุนหนังไทย

รู้สึกเหมือนภาคนี้จะถูกตัดแบ่งมาจากภาคสองรึป่าว..? ภาคนี้เลยดูห้วนๆ ไม่มีจุดพีคอะไรให้รู้สึกว่าหนังมันแรงเท่าที่ควร

คาดหวังกับภาคนี้ค่อนข้างมาก ว่าจะได้ดูบทบู๊แอ๊คชั่น มันส์แบบสุดๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องมากกว่าภาคสอง เพราะมีคุณเดี่ยว ชูพงษ์ เล่นด้วยเกือบทั้งเรื่อง ..แต่ก็ไม่ใช่ หนังออกมาในแนวดราม่าซะมากกว่า โดยเฉพาะช่วงฟื้นตัวของเทียน ซึ่งก็น้าน..นาน ทำเอามองนาฬิกาอยู่บ่อยๆ ฉากที่พีคสุดๆ เห็นจะเป็นฉากที่ “เทียน” ออกไปสู้กับ “ภูติสางกา” ที่เอาวิชา “นาฏยุทธ์” ที่คุณจาแกภูมิใจนำเสนอออกมาโชว์ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น!! เอามาสู้กับพวกทหาร ซึ่งก็ยังไม่ทันได้มันส์สุดๆ เลย อีกาดำก็มาตายเพราะฟ้าดินลงโทษซะงั้น หรืออะไรก็ไม่รู้..ซึ่งก็ตายง่ายมากอ่ะ ออกแนวงงกับหนังไปเลย..

หนังมันไม่ค่อยเข้มข้นยังไงบอกไม่ถูก มันดูเบาๆ กว่าภาคที่แล้วอยู่มาก และภาคนี้ก็เดินเรื่องได้ง่วงมากด้วย ถ้าเอาภาคสองกับสามมารวมเป็นภาคเดียวจบอาจจะเวิร์คกว่านี้ก็ได้นะ



เห็นด้วยอย่างยิ่งกับบทวิจารณ์ของ คุณ tumray จากเว็บ SiamZone.com

เห็นได้ชัดเจนว่า จา พนม พลาด 1. พลาดที่ตัดหนังออกเป็นสองส่วน แต่หากจะมองกันจริงๆ แล้ว ภาคสามนี้เหมือนเป็นติ่ง ที่เหลือเนื้อเรื่องอีกนิดเดียว เพียงแต่จาการผิดพลาดเพราะคุมโปรดักชั่นใหญ่ๆ ไม่อยู่ เนื้อหาหรือความต้องการที่จะใส่ไอเดียทุกอย่างลงในตัวหนัง ส่งผลให้หนังยาวและเยอะเกินที่จะตัดส่วนใดออก เพื่อให้ได้ความยาวของหนังปกติได้ จึงตัดแบ่งออกเป็นภาคสามตามมา ซึ่งเมื่อแบ่งแล้ว ส่วนของภาคสามมีน้อย จึงเกิดการ "เติม" เพื่อให้หนังได้ความยาวสำหรับหนังหนึ่งเรื่อง เพราะจริงๆ แล้วเนื้อหาภาคสามมีน้อยมาก ภาพที่เห็นจึงมีการยืดยาวจนน่าเบื่อ เยอะเกินไป
2. พลาดที่ จา พนม ยังไม่ควรกำกับเองตอนนี้ อาจจะต้องเก็บประสบการณ์อีกสักสิบปี จนดคิดไม่ได้ว่า ถ้ายังได้ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ทำหนังให้จาเล่น การที่ทำหนัง "เป็น" ของปรัชญา จะทำให้หนังออกมาดีกว่านี้

พาลทำให้คิดไปถึง Kill Bill ที่เควนติน ตัดแบ่งเป็นสองภาค อันเนื่องมาจากทำแล้วยาวเกิน แต่จะแตกต่างที่ว่า สองภาคของ Kill Bill สมดุลย์ เนื้อหาเต็มทั้งสองภาค

องค์บากสองขอบอกว่าทำได้ดีแล้ว แอ็คชั่นแน่น เข้มข้น เนื้อหาก้อแน่น หากแต่จะลงตัวกว่านี้ ถ้าจบในตัวเลย ซึ่งการรอคอยให้ผู้ชมกลับมาดูภาคสาม ซึ่งคาดหวังการปะทะกันระหว่าง จา และ เดี่ยว คาดว่าต้องโคตรมัน แต่ผลที่ได้กลับปวกเปียก เหมือนที่เราเคยรอคอยการปะทะกันของ เฉินหลง และ เจ็ทลี ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ก้อไม่ได้มีอะไรที่มันเข้าไส้อย่างที่ควรจะเป็น ได้แต่งั้นๆ เท่านั้นเอง

ถึงยังไงก้อยังเอาใจช่วยจา พนม ในเรื่องต่อๆ ไป อยากเห็นพัฒนาการที่ดีๆจาก จา อย่างน้อย จา พนม ก้อคือ คนในไม่กี่คน ที่สร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการหนังไทย




------------ONG•BAK------------


องค์บาก 2




วันเข้าฉาย : 5 ธันวาคม 2551
ความยาว : ≈97 นาที
ผู้กำกับ : พนม ยีรัมย์, พันนา ฤทธิไกร



“ว่ากันว่า ณ จุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า ทุกชีวิตล้วนต่างถือกำเนิดและดำเนินไป ภายใต้เส้นแห่งโชคชะตาที่ถูกขีดเขียนไว้แล้วจากใครบางคนที่อยู่เบื้องบน”

เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของ “เทียน” เด็กหนุ่มที่ถือกำหนดในฤกษ์พระกาฬ คืนวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนเก้า ปีขาล บุตรชายเพียงคนเดียวของ ขุนสีหเดโช (สันติสุข พรหมศิริ) นายทหารผู้ซื่อสัตย์ซึ่งจงรักภักดีต่อเหนือหัวและปกป้องผืนแผ่นดินจากเหล่าผู้ฉ้อฉลและคนทรยศ

จากคำทำนายของ พระครูปั้น เมื่อใดก็ตามที่เด็กหนุ่มเติบใหญ่ภายใต้วังวนแห่งคมดาบ และกลิ่นคาวเลือด จะนำมาซึ่งความสูญเสียของชีวิตและเลือดเนื้อของผู้คนจำนวนมาก ทำให้ขุนสีหเดโชสั่งห้ามมิให้ “เทียน” แตะต้องเหล่าสรรพวุธใดใด และส่งตัวไปให้ ครูบัว (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) เพื่อนสนิทซึ่งต่างเป็นลูกศิษย์ของพระครูปั้นเช่นเดียวกัน ช่วยบ่มเพาะสมาธิ เรียนรู้การหัดฝึกจิตให้นิ่ง และศึกษาในด้านวิชาโขนนาฏศิลป์ชั้นสูงซึ่งถือกำเนิดมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 และการจัดหาสมุนไพรในการใช้ปรุงยาแทน โดยมี พิม ลูกสาวของครูบัวคอยให้ความช่วยเหลือ และมี ไอ้เหม็น (หม่ำ จ๊กมก) เป็นเพื่อนเล่น

แต่ดูเหมือนว่าชะตาเมื่อถูกลิขิตแล้ว ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง เพียงเพื่ออำนาจและความต้องการครองความเป็นใหญ่ พระยาราชเสนา (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ตัดสินใจวางแผนลอบสังหารขุนสีหเดโชทั้งครอบครัว พร้อมเหล่าทหารที่จงรักภักดีชนิดขุนรากถอนโคนด้วยตนเอง เพียงทว่าฟ้ายังมีตา ทำให้เทียนเล็ดรอดจากการสังหารหมู่อย่างหวุดหวิดพร้อมพกเอาความคลั่งแค้นที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ

ระหว่างทาง เทียน ได้พบกับ เชอนัง (สรพงษ์ ชาตรี) หัวหน้ากองโจรผาปีกครุฑผู้ยิ่งใหญ่ช่วยชีวิตจากเหล่าพ่อค้าทาสและยักษ์ขมุจอมโหด โดยสังเกตุเห็นแววตาความเป็นนักฆ่าและความสามารถในการต่อสู้ที่แฝงเร้น จึงยื่นข้อเสนอให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองโจร พร้อมกับรับไปเป็นลูกบุญธรรม ให้การชุบเลี้ยงฝึกฝนเหล่าสรรพวิชาอาวุธในการต่อสู้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า หมัดมวย การใช้เวทย์มนต์คาถา การใช้สรรพวุธทุกชนิด ดาบ กระบอง วิชากล การใช้ระเบิด ฯลฯ จากเหล่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา

วันเวลาผ่านไป “เทียน” (จา พนม ยีรัมย์) เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่ม เป็นที่ยอมรับและเป็นกำลังสำคัญของหมู่กองโจรผาปีกครุตที่เข้าร่วมในการปฏิบัติภารกิจสำคัญทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสามารถสยบช้างงาดำ ช้างศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าชุมโจรให้ความเคารพและสักการะ ในขณะเดียวกันกับที่เชอนังเองตั้งใจที่จะมอบตำแหน่งหัวหน้ากองโจรเพื่อให้เทียนเป็นผู้รับหน้าที่สืบทอดต่อไป เพียงทว่า ณ ช่วงเวลานี้มีเพียงภารกิจเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เทียนจักต้องทำคือการขจัดความคลั่งแค้นที่มันสุมอกและท่วมท้นอยู่ในจิตใจมาโดยตลอด นั้นคือการมุ่งหน้าเพื่อสังหารเจ้าพระยาราชเสนาด้วยน้ำมือตนเอง

แต่ดูเหมือนว่าแผนที่เทียนวางไว้จะไม่เป็นไปอย่างที่คาดคิด ความเยาว์และความรุ่มร้อน หาได้เพียงพอต่อการหยั่งรู้ จิตมนุษย์ยากเร้นเกิดหยั่งถึง แผนการทั้งหมดหาได้รอดพ้นจากหูตาของเหล่าไพร่พลและขุนกำลังของพระยาราชเสนาไม่ ทำให้ให้เทียนถูกจับทรมานจนเกือบตาย


บทวิจารณ์ องค์บาก 2 ที่นี่




------------ONG•BAK------------


องค์บาก




วันเข้าฉาย : 31 มกราคม 2546
ความยาว : ≈105 นาที
ผู้กำกับ : ปรัชญา ปิ่นแก้ว



ในประวัติศาสตร์หมู่บ้านหนองประดู่ ที่ยาวนานตั้งแต่ครั้นสมัยสงครามไทยกับพม่า ตำนานของครูดำ ผู้แกร่งกล้าด้วยศิลปะการต่อสู้ คือชายไทยผู้กล้าที่เคยแหวกฝ่ากองทัพพม่า ไปแย่งชิงเอาองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกทหารพม่าบุกมาปล้นสดมภ์ และแย่งชิงไปจากหมู่บ้าน เมื่อคราครั้งกระโน้นได้เป็นผลสำเร็จ จนเกิดปาฏิหาริย์แห่งรอยบาก อยู่บนพระพักตร์ขององค์พระ ว่ากันว่าร่องรอยดังกล่าว คือบาดแผลจากการต่อสู้ ที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์ขององค์พระศักดิ์สิทธิ์ ที่รับแทนคมหอกคมดาบ ที่ทหารพม่าถาโถมฟาดฟันเข้าใส่ร่างของครูดำนั่นเอง

ว่ากันว่าความเชื่อดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับครูดำ และผู้คนในหมู่บ้านได้ถูกเล่าขาน สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่แล้วองค์บากกลับถูก ดอน (วรรณกิตย์ ศิริพุฒ) อดีตลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ปัจจุบันหันหน้าเข้าสู่โลกแห่งความชั่วช้าอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งเรื่องของยาเสพติด การพนัน และที่ร้ายแรงที่สุด คือการแอบตัดเศียรองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ไปให้กับนักสะสมวัตถุโบราณ ที่มีจิตใจชั่วช้าในกรุงเทพ ในคืนก่อนงานเฉลิมฉลองงานบุญ ที่ชาวหนองประดู่จัดขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองศรัทธาต่อองค์บาก ที่ได้หมุนเวียนมาครบ 24 ปี ส่งผลให้เหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความสะเทือนใจ ต่อทุกชีวิตในบ้านหนองประดู่ โดยเฉพาะบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่รอวันนี้มาค่อนชีวิต

ราวกับว่านี่คือกงล้อแห่งศรัทธา ที่หมุนเวียนบรรจบมา เพื่อทดสอบในศรัทธาแห่งความความผูกพัน และพลังแห่งความดีงาม ของผู้คนในบ้านหนองประดู่อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับการสืบทอดชะตากรรม จากองค์บากโดยตรงอย่าง ทิ้ง (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มลูกกำพร้า ที่ได้รับการชุบเลี้ยงเติบโต จนมีสายเลือดของบ้านหนองประดู่อย่างข้นคลั่ก รวมทั้งเคล็ดวิชานวอาวุธ (อาวุธที่ก่อเกิดจากอวัยวะสำคัญ ในร่างกายของมนุษย์ทั้ง 9 อันประกอบไปด้วย 1 ศรีษะ 2 หมัดกร้าวแกร่ง 2 แรงกระทุ้งของศอก ตอกย้ำความหนักหน่วงของ 2 เข่า และความคล่องแคล้วว่องไวของ 2 เท้า) ผสมผสานกับศิลปะมวยไทยโบราณ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระครู หลวงพ่อผู้เป็นดั่งเสาหลัก ที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้านหนองประดู่ ลูกศิษย์คนสำคัญของครูดำ ปูชนียบุคคลที่มีคุณอนันต์ของหมู่บ้าน

การเดินทางมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งการต่อสู้ การทบทวนจิตวิญญาณแห่งความใฝ่ดี และการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ลุ่มหลงนิยมในวัตถุเงินทอง ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวง ที่เต็มไปด้วยความคดโกง หลอกหลวง และแก่งแย่งชิงดี ทิ้งได้พบกับบททดสอบแห่งศรัทธา และภาระรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น อันตรายมากขึ้น โดยมีคนๆ เดียวในเมืองหลวง ที่จะช่วยทิ้งตามหาดอนได้คือ หำแหล่ หรือ ยืนยง (หม่ำ จ๊กหมก) ลูกชายของผู้ใหญ่น้อย อีกหนึ่งลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ถูกส่งมาเล่าเรียน เพื่อกอบโกยเอาความรู้ นำกลับไปพัฒนาถิ่นเกิด แต่กลับกลายเป็นว่า ทิ้งถูกหำแหล่ ที่บัดนี้เปลี่ยนรูปโฉมเป็น ไอ้ยอร์จ หนุ่มหัวทองไร้ซึ้งหัวจิตหัวใจ หลอกขโมยเอาถุงห่อของมีค่า ที่รวบรวมเอาแบ๊งค์ยี่สิบเก่าๆ เงินเหรียญ และบรรดาทรัพย์สมบัติของผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลานของบ้านหนองประดู่ ที่รวบรวมให้ทิ้งเพื่อเป็นทุนรอน ในการตามหาองค์บากในเมืองใหญ่ ไปวางเดิมพันในมวยเถื่อนเสียแล้ว

เส้นทางในการเสาะหาองค์บาก ดึงเอาทิ้งเข้าไปเกี่ยวข้อง กับชีวิตของผู้คนอันหลากหลายในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เง็ก (รุ่งระวี บริจินดากุล) หญิงสาวสู้ชีวิต ที่ถูกความเหลวแหลกของเมืองหลวง กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ, หมวยเล็ก (ภุมวารี ยอดกมล) เด็กสาวแก่นแก้ว ที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจ, ไอ้เป๋ง (เชษฐวุฒิ วัชรคุณ) นักเลงหัวไม้ หัวโจกของบรรดาจิ๊กโก๋คุมซอย คู่ปรับคนสำคัญของยอร์จ ความเป็นจริงในความหวังที่ไม่เพียงดูริบหรี่ แต่กลับเริ่มไกลห่าง ออกไปจากตัวทิ้งมากขึ้นทุกที เมื่อจิตศรัทธาแห่งความดีงาม จากคนรอบข้างที่มีต่อองค์บาก ค่อยรางเลือนมากยิ่งขึ้น กลับกันกับชักนำให้ทิ้ง ถล้ำเข้าไปสู่วังวนแห่งการต่อสู้ ที่ดูเหมือนจะขัดกับถ้อยคำที่พร่ำสอนจากพระครู เมื่อทิ้งถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง กับเกมการต่อสู้และการไล่ล่า ที่อบอวลไปด้วยความชั่วร้าย จากทั้งคนไทยด้วยกันเองและชาวต่างชาติ


No comment เนื่องจากจำภาคนี้ไม่ได้ หุหุ






Create Date : 22 พฤษภาคม 2553
Last Update : 22 พฤษภาคม 2553 23:54:59 น. 0 comments
Counter : 1085 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zazi_i
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




My FaceBook

:: วัตถุประสงค์หลักของผู้จัดทำ Blog นี้ คือ เผยแพร่ข้อมูลร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมถึงสาระบันเทิงต่างๆนานา ทุกข้อความที่ปรากฎเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น ::

ƒ ก า ร เ ดิ น ท า ง ยั ง ย า ว ไ ก ล   ถ น น ส า ย นี้ ยั ง ย า ว ไ ก ล   จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ไ ก ล เ พี ย ง ใ ด   ฉั น เ อ ง ก็ ไ ม่ รู้ ว่ า เ มื่ อ ไ ห ร่   แ ต่ ท า ง ย า ว ไ ก ล ที่ ก้ า ว ม า   ไ ด้ ทำ ใ ห้ ฉั น นั้ น รู้ ว่ า   เ สี ย ง หั ว เ ร า ะ แ ล ะ น้ำ ต า   กี่ สุ ข แ ล ะ กี่ ทุ ก ข์ ที่ ฟั น ฝ่ า   มั น ทำ ใ ห้ ชี วิ ต มี ค่ า   เ พ ร า ะ ฉั น ไ ด้ รู้ ว่ า . . . เ ธ อ ยั ง อ ยู่ ต ร ง นี้ ƒ

Nara Bar
(ชั้น 7 CW) ร้านอาหารไทยสไตล์ Contemporary รสชาติอาหารใช้ได้ทีเดียว มี "ยำมะเขือยาว" ด้วยอ่ะ
K-ca Ramen
(Food Hall @ Paragon) เส้นราเมนอร่อย ข้าวญี่ปุ่นเค้าก็อร่อย ไม่เหมือนใคร.. ปกติจะกินเส้นไม่เคยหมด แต่สำหรับร้านนี้..เหลือไว้ไม่ได้แล้ว!!
Reflections
(ย่านประดิพัทธ์) กับ location ใหม่ แต่ยังคงเน้นสีสันการตกแต่งที่แปลกหูแปลกตาอยู่เหมือนเดิม..เจ๋ง!! ชอบการตกแต่งของที่นี่จริงๆ
แพกระแต
(ย่านประดิพัทธ์) ร้านอาหารไทย เน้นพวกปลาน้ำจืด เจ้าของร้านเป็นกันเอง ชอบมาแนะนำเมนูให้ลูกค้า ติดใจกะ "ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม" ที่ซู๊ดด!!
SOFA so good
(อารีย์ ซ.5) ถ้าไปกินมื้อค่ำ บอกได้คำเดียวว่า "ควรไปกะแฟน..แล้วเลือกนั่งโต๊ะแบบโซฟา"
Pathe
(ห้าแยกลาดพร้าว) ร้านบรรยากาศ antique ที่ตกแต่งด้วยของเก่า โดยเฉพาะแผ่นเสียง ลำโพงเก่า จักรยานโบราณ ฯลฯ เมนูแนะนำ "ไก่กรอบซอสมะนาว" "แกงส้มไข่ชะอม" ชะอมชุบไข่ชิ้นหนาๆอวบๆ อันนี้ชอบมากก..ฯลฯ มีถั่วให้กินเล่น และน้ำชาร้อนๆดับกลิ่นปากก่อนออกร้าน..ห่ะห่ะ!! กู๊ดไอเดีย
Grand Palace
ชอบซี่โครงหมูมั่กๆ หนังบางๆ เคี้ยวกรุบๆ สุดยอดดด!!
The Pool
(เกษตร-นวมินทร์) บรรยากาศดีทีเดียว อาหารก็ใช้ได้ นั่งฟังเพลงไปเพลินๆ (โอ้ เสกสรร+ชัด)
Banana Leaf
(ชั้นใต้ดิน Silom Complex) อร่อยกะอาหารไทยๆ "แกงส้มปลาช่อนแป๊ะซะ", "ทอดมันกุ้ง", "พล่ากุ้ง", "เนื้อปูผัดผงกระหรี่", ฯลฯ
Platfrom 1
(เลียบทางรถไฟ สถานีสามเสน) ร้านอาหารนานาชาติ..เล็กๆ..เรียบ..หรู เป็นบ้านไม้สีขาวอบอุ่น บรรยากาศเงียบๆ ลองชิมแค่ "สปาเกตตี้ผัดปูนิ่ม, เนื้อปูบดห่ออะไรซักอย่าง, เป็ด.."(ชื่อมันเป็นภาษาปะกิด..จำม่ะร่าย)
โบราณเรียกชื่อ
(พหลโยธิน 13) บรรยากาศโอเค รสชาติอาหารธรรมดา เพลงใช้ได้
Goodevening Restaurant
(ถ.นราธิวาส ติดกับ Sortel) ร้านนี้บรรยากาศดี ใกล้ที่ทำงาน อาหารอร่อยใช้ได้ เพลงก็เพราะ(ร้องสด) ถ้าไปต้องสั่ง "กระเบื้อง Good Evening" นะ..
Country Place
(พระราม 5) กิน "เบียร์" สิครับ
โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง
(ถ.นราธิวาส) ก็ต้อง "เบียร์ - Lager Beer, Dunken Beer, Weizen Beer", "ขาหมู", "กระหล่ำปลีน้ำปลา", "เย็นตาโฟทรงเครื่อง", ฯลฯ
Wasabi
(ชั้น 3 Esplanade) ชาบูน้ำเต้าหู้..สุดยอดไปเลย หอมมั่ก, ฯลฯ ตบท้ายด้วย "ของหวาน 3 อย่าง" จำได้ว่ามีไอติม(ทำจากถั่วเหลืองอีกเหมือนกัน..ห้อม หอม), วุ้นแก้วมังกร, แล้วอะไรอีกอย่างจำไม่ได้และ
Secret Recipe
(La Villa อารีย์ / Paragon) วันนั้นไปกิน "ปลา(อะไรซักอย่าง)ราดซอสร็อบสเตอร์" ไฮโซ๊..ไฮโซจิง เค้าว่าเค้กอร่อย ได้รางวัลมาเยอะ ไม่เคยได้ลองซักที "สปาเกตตี้เนื้อ" ก็ใช้ได้นะ ร้านนี้มีสาขาทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซีย และจาการ์ตาเน่อ
Bug&Bee
เมนูเครปสุดยอดด.. ต้องไปลองที่สีลมบ้างและ
Greyhound Cafe'
(ทั่วไป) I tasted "Noodle in Tom Yum Kung" and "Phad Thai with fresh Shrimps". Good..Costly..High
Take a view
(สะพานพระราม 8 ฝั่งธนฯ) อาหารงั้นงั้นไม่ค่อยถูกปาก นักร้องร้องมันทุกแนว บรรยากาศร้านเหมือนจะดี แต่ซวยเอง..ดันไปตอนร้านกะลังปรับปรุง..เลยไม่ได้นั่งชมวิวสะพานพระราม 8
แพกลางกรุง
หรือ "Virgin River" (เกษตร-นวมินทร์) อาหารไม่ค่อยถูกปากอ่ะ แต่มี "อุ๊ หฤทัย" มาร้องวันศุกร์หละ..เจ๋ง!!
Darabar
(เกษตร-นวมินทร์) ร้านนี้อาหารอร่อย อย่างน้อยก็อร่อยทุกอย่างที่สั่งเลย จำได้แต่ "กุ้งกระเบื้อง"(มั้ง) แล้วก็หมูพันบะหมี่(มันชื่อไรไม่รุ้นะ) บรรยากาศดี๊ดี ข้างนอกเป็นเหมือนสระน้ำ แล้วก็มีที่นั่งเหมือนแพ(อธิบายไม่ถูกว่ะ) ร้านนี้ขอแนะนำ!!
Sortel
(ถ.นราธิวาส ติดกับ Goodevening) จำมะร่าย ไปมานานและ จำได้ว่ากินคอกเทลด้วยแหละ ตอนนั้นเพลงมันโคตรดัง(หนวกหู) แต่วันนั้นไปกิน Goodevening แล้วเดินผ่าน คนเยอะโคตร นักร้องเป็นผู้หญิงด้วย(วันศุกร์) เสียงใช้ได้เลย ต้องไปลอง..ต้องไปลอง
บ้านพระอาทิตย์
(ถ.พระอาทิตย์) "Espresso" เข้มสุดสุด กินแก้วเดียวตาแข็งไปทั้งคืน..ยันเช้า แนะนำข้าวผัดปลาสลิด..อร่อยได้ใจ บรรยากาศร้าน..ดีม๊ากก เหมาะสำหรับไปนั่งอ่านหนังสือ..
บะหมี่ฮ่องกง
หรือ "Hong Kong Noodle" (ตลาดเล่งบ๊วยเอี๊ยะ เยาวราช/สยาม) เกี๊ยวกุ้งตัวโต เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม ซู้ดดยอดด!!"
the terrace
(Central Lardpao) กินได้ กินได้ กุ้งตัวใหญ่ เป็ดอร่อย ตบท้ายด้วยกล้วยไข่เชื่อม "ไป central ไม่รู้จะกินอะไร ให้คิดถึง the terrace"
สีฟ้า
(ทั่วไป) ไปทุกครั้งต้องสั่ง "แกงเผ็ดเป็ดย่าง" หละ
ผัดไทยอารีย์
(จากซอยอารีย์ย้ายไปพหลโยธิน 8/เอราวัณ) ตอนนี้กินแต่ "เส้นมะละกอ"(ผัดไทยมะละกอ) แต่อยากกิน "ข้าว"(ผัดไทยข้าว)แล้วง่ะ..ไปทีไรสั่งแต่มะละกอ
เจียงฮาย
(ต้นซอยลาดพร้าว) ต้องกิน "ข้าวซอยไก่(original)" เพราะที่นี่เค้ามีเส้นหลายอย่าง อูด้ง, ราเมนก็มีนะ ฯลฯ แต่ต้องใส่น้ำตาลหน่อย รู้สึกคนทำจะชอบกินเค็ม ไปกินกี่ครั้งก็จะแก่เค็ม น้ำเงี้ยวก็มี.. เป็นร้านของมือกีตาร์วง Big Ass หล่ะ..เห็นพี่แกขยันขันแข็งช่วยเมียซะจิ้ง..
KURODA
(ตรงข้าม TOPS RCA) ร้านอาหารญี่ปุ่น คุณภาพดี รสชาติพอใช้(สำหรับตัวเองนะ)กินแก้ขัดได้ ราคาย่อมเยาว์ อยากกินอาหารญี่ปุ่นนึกถึงร้านนี้ก็ไม่ผิดหวัง แต่อาหารรสชาติจะออกแนวเค็มไปนิดส์ ร้านนี้เมนูจะเน้นไก่บ้าน เพราะเค้ามีฟาร์มเป็นของตัวเองหละ
เดอะครก
(Siam Square Soi.2 ติดกับ "ไอดินกลิ่นครก") จำเมนูเด็ดๆ มะร่าย สลับกันกินกะ "ไอดินกลิ่นครก" เลยสับสน
อาจิเซน ราเมน
(ท่าพระจันทร์) อร้อย..อร่อย บางอย่างก็อร่อยกว่าโออิชิอีกนะ ดูเป็นญี่ปุ่นมากกว่า มีสาขามากมายในแถบเอเชีย ของเค้าดีจิง.. ถ้าไปตอนเย็นมากๆ เมนูอาจมีให้เลือกกินน้อยลง..ฉะนั้นต้องรีบไป
ก๋วยจั๊บน้ำใส..มะรุ้ชื่อ
(โรงหนังเก่า เยาวราช) "ก๋วยจั๊บ" ชามโต..อร้อย..อร่อย หมูกรอบก็อร่อย น้ำซุปเผ็ดร้อนหอมกลิ่นพริกไทยก็อร่อย อิ่มได้ที่จิงจิง!!
ตลาดนางเลิ้ง
(นครสวรรค์ 6/8 แล้วแต่จะเข้า) อร่อยทั้งตลาด ยกตัวอย่างก็ได้ มี "บะหมี่เป็ด"(เป็ดเยอะมั่ก บะหมี่อร่อยเหนียว), "สาคู"(มี 2-3 ร้านติดกัน จำชื่อร้านที่ดังๆไม่ได้ ที่เด็ดๆคือ สาคูไส้ปลา), "ข้าวแช่"(กินแล้วชื่นใจ กะปิทอด..อร่อย ไอ้หวานๆเหนียวๆ..หัวไชโป๊ป่าวไม่รู้..อร่อยมาก), และอีกมากมาย..
ซีฟู้ดเยาวราช..ม่ะรุ้ชื่อ
(เยาวราช) มีให้เลือกทั้ง indoor และ outdoor กินได้อย่างไม่ต้องอายใคร เพราะโต๊ะอื่นมูมมามกันเต็มที่เหมือนกัน(มีแต่ต่างชาติเอเชีย)
โชคดีติ่มซำ
(ทั่วไป) กินแก้หิว เมนูเด่นคงเป็น "บักกุดเต๋" ก็พอกินได้นะ
ติ่มซำเยาวราช..จำชื่อมะร่าย
(เยาวราช ป้ายรถเมล์แรก) "โกยซีหมี่" เส้นอร่อย..หุหุ
ร้านโจ๊ก..ไม่มีชื่อ
(แยกแปลงนาม ถ.เจริญกรุง) "โจ๊ก - ใส่ทุกอย่าง ใส่ไข่ ไม่ผัก ไม่ขิง" เด็ด!!
โรตีมะตะบะ
(ถ.พระอาทิตย์) ต้อง "มะตะบะไก่", "สตูแพะ", "มัสมั่น", ฯลฯ
ร้านบะหมี่..ไม่มีชื่อ
(ข้าง swensen's ท่าพระจันทร์) "บะหมี่แห้ง" อร่อยที่สุดในโลก มีเกี๊ยวให้กินฟรีด้วย แต่คนเยอะมั่กๆ ไปครั้งล่าสุดก็ไม่ได้กิน ไม่มีที่นั่ง อยากกินน..อยากกินน
ใบไม้ร่าเริง
<i> (เกษตร) ร้านคาราโอเกะ อาหารอร่อย..ใช้ได้เลยทีเดียว
To-Sit
(Siam Square Soi.3) มาร้านนี้ก็ต้องกิน "ปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว" อีกเหมือนกัน(แต่ที่ "กิน ดื่ม" อร่อยกว่า) จำได้ว่าวันพฤหัสจะมี "อิน บูโดกัน" วันศุกร์มีผู้หญิงร้องเพลงกับเปียร์โน
กิน ดื่ม
(ถ.พระอาทิตย์) มาร้านนี้ต้องกิน "ปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว" แซ่บบบ.. มานั่งคุย นั่งฟังเพลงแนว bekery
มิตรโกหย่วน
(ตรงข้าม กทม.) "กุ้งกระเทียม", "หมี่กรอบ", "สตูลิ้นวัว"
Friends' blogs
[Add zazi_i's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.