"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 

มูลเหตุในการก่อตั้งสมาคมมหาโพธิ์






ท่านธรรมปาละ





เซอร์ เอดวินด์ อาโนลด์




มูลเหตุในการก่อตั้งสมาคมมหาโพธิ์

ก่อนหน้าที่ท่านธรรมปาละจะเดินทางมาที่พุทธคยานั้น ท่านได้อ่านบทความของท่านเซอร์ เอดวินด์ อาโนลด์ ( Sir Edwin Arnold) ผู้เรียบเรียงหนังสือพุทธประวัติภาษาอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และกล่าวกันว่า เป็นพุทธประวัติฉบับภาษาอังกฤษ ที่มีความไพเราะ และน่าเลื่อมใสมาก คือ ประทีบแห่งทวีปเอเซีย (The Light of Asia)

ซึ่งท่านเซอร์ ได้เดินทางไปที่พุทธคยา ได้พบกับความน่าเศร้าสลดใจหลายประการ ท่านได้เขียนบทความไว้ตอนหนึ่งว่า (แปลจากภาษาอังกฤษ)


เซอร์ เอดวิน อาโนลด์ตะวันตกและวันออก โอกาสแจ่มจรัส โอกาสแห่งความรุ่งโรจน์
( EAST and West ; A Splendid Opportunity)
เขียนโดย ท่านเซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลด์

ในความเป็นจริง ไม่มีข้อกังขาสงสัยใดๆ ในความเป็นจริง ของสถานที่ สังเวชนียสถาน 4 ตำบลของชาวพุทธ คือ กบิลพัสดุ์ (ปัจจุบัน Bhuila) ซึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ, ป่าอิสิปตนะ ภายนอกเมืองพาราณสี ซึ่งพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมเทศนา

กุสินารา ที่พระองค์ได้ปรินิพพาน และสถานที่ตรัสรู้ซึ่งมีต้นโพธิ์เป็นเครื่องหมาย ในวันเพ็ญเดือน 6 เมื่อ 2383 ปี มาแล้ว พระองค์ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตและมีศรัทธาเป็นอย่างมาก ซึ่งพระองค์ได้นำความเจริญทางอาารยธรรมมาสู่เอเชีย

บรรดาสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา คือสิ่งที่มีค่าและศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธทั่วทั้งเอเชีย ทำไมหรือ เพราะว่า ปัจจุบันตกอยู่ในมือของนักบวชพราหมณ์ ผู้ไม่ได้ดูแลวัดเลย นอกจากว่าจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์เท่านั้น และพวกเขาได้ตักตวงเอาผลประโยชน์เป็นอย่างมาก

ความจริงในเรื่องนี้ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 กล่าวคือ 1,400 ปีมาแล้ว สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่พิเศษสุดและชาวพุทธรักษาไว้ แต่ได้ทรุดโทรมลงและถูกปล่อยปละละเลย เหมือนกับวัดพุทธศาสนาแห่งอื่น ๆ จากการอันตรธานสูญหายของพุทธศาสนาจากอินเดีย 300 ปีต่อมา

นักบวชศาสนาพราหมณ์ที่นับถือพระศิวะมาถึงที่นี้ และตั้งหลักปักฐาน ณ ที่ตรงนี้ ได้เริ่มครอบครองสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งได้เห็นและก่อตั้งโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นมา พวกเขามีกำลังมากจึงเข้ายึดครองเป็นเจ้าของวัดพุทธคยา

ซึ่งรัฐบาลเบงกอลได้เข้ามาบูรณะ และพื้นที่รอบพุทธคยา ในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) และได้ขอส่วนหนึ่งของรั้วเสาหินสมัยพระเจ้าอโศกจากพวกมหันต์ ซึ่งพวกเขาได้นำไปสร้างบ้าน เพื่อนำกลับมาตั้งไว้ ณ ที่เดิม แต่พวกมหันต์ไม่ได้คืนมา และท่านเซอร์ อาชเลย์ เอเดน (Sir Ashley Eden) ก็ไม่สามารถผลักดันการบูรณะให้แล้วเสร็จได้

ชาวพุทธทั่วโลกได้ลืมคืนที่ดี และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ของศรัทธา ดังเช่นนครเมกกะ และเยรูซาเลม (Mecca and Jeruzaiem) เป็นศูนย์กลางศรัทธาของผู้ศรัทธานับล้านคน-เมื่อข้าพเจ้าได้พักที่โรงแรมที่พุทธคยาปีสองปีที่ผ่านมา

ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าใจที่เห็นเครื่องบูชา สาร์ท (Shraddh) ของพวกฮินดูในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ และวัตถุโบราณที่มีค่าจำนวนมากหลายพันชิ้น ซึ่งจารึกด้วยภาษาสันสกฤตได้ถูกทิ้งจมอยู่ในดิน ข้าพเจ้าได้ถามนักบวชฮินดูว่า

“ข้าพเจ้าจะขอใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่”

“เจ้านาย จงหักเอาเท่าที่คุณชอบ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเรา” นี้เป็นคำตอบจากพวกเขา





ภาพเขียนศรีมหาโพธิเจดีย์ โดย ชาร์ลส์ ดอยล์ พ.ศ. 2370 บ่งบอก
ว่าสภาพมหาโพธิ์เจดีย์ในสมัยนั้นไม่ได้รับการดูแลไม่มีความละอาย
จากอาการที่พวกเขาไม่สนใจใยดี ข้าพเจ้าเก็บใบโพธิ์ 3-4 ใบอย่างเงียบ ๆ ซึ่งพวกมหันต์ได้หักมาจากกิ่งบนหัวของพวกเขา และข้าพเจ้า
ได้นำใบโพธิ์ไปยังศรีลังกา เมื่อได้คัดลอกจารึกที่เป็นภาษาสันสกฤต
ที่นั้น (ศรีลังกา) ข้าพเจ้าได้พบว่า ใบโพธิ์เป็นสิ่งมีค่าสำหรับชาวพุทธ
ที่ศรีลังกา ซึ่งต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นและศรัทธา ใบโพธิ์ที่ข้าพเจ้าถวาย ได้ถูกนำไปที่เมืองแคนดี้ และได้ใส่ไว้ในผอบที่มีค่า
และได้รับการบูชาทุก ๆ วัน”


(และอีกตอนหนึ่งที่ท่านเซอร์อาร์โนลด์ เขียนถึงพวกมหันต์ที่พุทธคยา มีดังต่อไปนี้)

“แต่ 2-3 ปีผ่านไป ในขณะที่ความคิดไปแผ่ขยายไปทั่วเอเชีย และสมาคมอย่างมากมายได้ก่อตั้งขึ้น ด้วยจุดประสงค์พิเศษ เพื่อเรียกร้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนมา พวกมหันต์ได้เรียกร้องเอาทรัพย์สินมากเกินไป และเข้ายึดครองวัดมากขึ้นทุกที

จดหมายที่ข้าพเจ้าได้รับจากทางตะวันออก แสดงว่า พวกรัฐบาลได้นึกถึงคำขู่ของพวกพราหมณ์และผู้บริหารท้องถิ่น ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปในการเจรจา

ข้าพเจ้าคิดว่าพวกมหันต์เป็นคนดี ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาอย่างนี้มาก่อนเลย แต่มิตรภาพและความพอใจที่พวกเขามีให้ ถ้าคุณเดินเข้าไปในสถานที่ซึ่งผู้คนที่ศรัทธานับล้านเลื่อมใสศรัทธาอยู่

คุณอาจสังเกตเห็นสิ่งที่น่าอดสูและระทมใจในสวนมะม่วง ด้านตะวันออกของแม่น้ำ ลิลาจัน (Lilajan) พระพุทธรูปสมัยโบราณได้ถูกนำมาติดไว้ที่คลองชลประทานใกล้กับหมู่บ้านมุจลินท์ คือ สระมุจลินท์ และได้เห็น พระพุทธรูปใช้เป็นฐานรองรับบันไดที่ท่าตักน้ำ

ข้าพเจ้าได้พบชาวนาในหมู่บ้านรอบ ๆ วิหารพุทธคยา พวกเขาใช้แผ่นสลักที่มีความงดงามจากวิหาร มาทำเป็นขั้นบันไดของพวกเขา ข้าพเจ้าได้พบภาพสลักสูง 3 ฟุต ซึ่งมีสภาพดีเยี่ยม จมอยู่ใต้กองขยะด้านตะวันออกของวังมหันต์

อีกส่วนหนึ่ง ติดอยู่กับผนังด้านตะวันออกของสวนมะม่วงริมแม่น้ำ และรั้วเสาหินพระเจ้าอโศก ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของอินเดีย ซึ่งล้อมวิหาร แต่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องครัวพวกมหันต์”

ทันทีที่บทความของท่านเซอร์เอดวิน อาโนลด์ ได้ตีพิมพ์ ท่านธรรมปาละได้มีโอกาสอ่าน ก็เกิดแรงบันดาลใจยิ่งขึ้นที่จะมาดูพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านเดินทางมาถึงพุทธคยา พร้อมกับพระโกเซน คุณรัตนะ วันที่ท่านมาถึงพุทธคยานั้น เป็นวันที่ 22 มกราคม 2434 ท่านธรรมปาละได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้เองว่า





อนาคาริก ธรรมปาละ เมื่อครั้งเดินทางมาพุทธคยา




“หลังจากขับรถออกมาจากคยา 6 ไมล์ (ประมาณ 10 กม.) พวกเราได้มาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในระยะทาง 1 ไมล์ ท่านสามารถเห็นซากปรักหักพังและภาพสลักที่เสียหายเป็นจำนวนมาก

ที่ประตู ทางเข้าวัดของพวกมหันต์ ตรงหน้ามุข ทั้งสองด้าน มีพระพุทธรูปปางสมาธิและปฐมเทศนาติดอยู่ จะแกะออกได้อย่างไร พระวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนบัลลังก์งดงามมาก ซึ่งแผ่ไปในใจของพุทธศาสนิกชนสามารถทำให้หยุดนิ่งได้ ช่างอัศจรรย์จริงๆ

ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าได้มานมัสการพระพุทธรูป ช่างน่าปลื้มอะไรเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าจดหน้าผาก ณ แท่นวัรชอาสน์ แรงกระตุ้นอย่างฉับพลันก็เกิดขึ้นในใจ แรงกระตุ้นดังกล่าวนั้นกระตุ้นให้ข้าพเจ้าหยุดอยู่ที่นี่ และ ดูแลรักษาพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่ตั้งแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์

ซึ่งเจ้าชายศากยะสิงหะ (พระสิทธัตถะ) ได้ประทับตรัสรู้ และเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีที่แห่งใดในโลกมาเทียมเท่านี้ ( As soon as I touched with my forehead the Vajrasana a sudden impulse came to my mind to stop here and take care of this sacred spot, so sacred that nothing in the world is equal to this place where Prince Sakya Sinha attained enlightenment under the Bodhi Tree )

เมื่อมีแรงบันดาลใจ ข้าพเจ้าถามท่านโกเซน คุรุรัตนะ ว่า ท่านจะร่วมมือกับข้าพเจ้าหรือไม่ และท่านได้ตอบตกลงอย่างเต็มใจ และมากไปกว่านั้นท่านเองก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เราทั้งสองสัญญากันอย่างลูกผู้ชายว่า พวกเราจะพักอยู่ที่นี้ จนกระทั่งมีพระสงฆ์บางรูปมาดูแล สถานที่แห่งนี้”

ท่านธรรมปาละและพระโกเซน ได้พักอยุ่ที่พุทธคยาชั่วคราว ที่ศาลาพักของพม่า ซึ่งคณะทูตของพระเจ้ามินดงมินได้สร้างไว้เป็นที่พัก เรียกง่าย ๆ ว่า วัดพม่า จากนั้นท่านธรรมปาละก็เริ่มงานของท่าน โดยการเขียนจดหมายบอกเล่าสภาพของพุทธคยา ส่งไปยังบุคลลแทบทุกวงการของพม่า ลังกา อินเดีย และเรียกร้อง ชักชวนให้ร่วมมือกัน เพื่องานฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และพุทธสถาน


การก่อตั้งสมาคมมหาโพธิ์

ท่านได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของจังหวัดคยา เพื่อจุดประสงค์ที่จะฟื้นฟูพุทธคยา ได้รับการชี้แจงว่าพระวิหารมหาโพธิพร้อมกับรายได้ที่เกิดขึ้นนั้น ตอนนี้กลายเป็นของมหันต์ แต่ว่าด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลก็อาจมีทางเป็นไปได้ที่จะขอซื้อพระวิหาร และบริเวณดังกล่าวจากมหันต์ (น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่ว่าเราต้องขอซื้อ ขอมีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ที่ควรจะเป็นของพวกเราชาวพุทธเอง)

ท่านธรรมปาละได้เดินทางกลับมายังโคลัมโบ เพื่อที่จะไปจัดตั้งสมาคมขึ้น เพื่อการนำพุทธคยากลับคืนมาสู่ชาวพุทธ และในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 พุทธสมาคม เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ในชื่อว่า "พุทธคยามหาโพธิโซไซเอตี้" ก็ได้รับการตั้งขึ้น ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศลังกา

มีท่านประธานนายกะ เอช. สุมังคลมหาเถระ เป็นนายกสมาคม พันเอกโอลคอตต์เป็นผู้อำนวยการ ท่านธัมมปาละเป็นเลขาธิการ นอกนี้ก็มีผู้แทนจากประเทศและกลุ่มชาวพุทธต่างๆ เข้าร่วม ในการก่อตั้งด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้แทนจากประเทศไทยของเราเข้าร่วมด้วย คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า จันทรทัตจุฑาธร (His Royal Highness Prince Chandradat Chudhadharn) ชื่อของสมาคมนี้ ต่อมาได้ตัดคำว่า พุทธคยาออก คงไว้แต่ มหาโพธิโซไซเอตี้ ดังในปัจจุบัน

'จุดประสงค์ของสมาคมมหาโพธิ ที่ได้จัดตั้งขึ้นในคราวนั้น คือ

" เพื่อสร้างวัดพระพุทธศาสนาและก่อตั้งพุทธวิทยาลัย กับส่งคณะพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนของประเทศพระพุทธศาสนา คือ จีน ญี่ปุ่น ไทย เขมร พม่า ลังกา จิตตะกอง เนปาล ธิเบต และอารกัน ไปประจำอยู่ ณ พุทธคยา "

" เพื่อจัดพิมพ์วรรณคดีพระพุทธศาสนาขึ้นในภาษาอังกฤษ และภาษาท้องถิ่นของอินเดีย "

หลังจากนั้น ในวันอาสาฬหปุรณมี ท่านอนาคาริกธรรมปาละได้กลับไปยังพุทธคยา พร้อมกับพระภิกษุลังกาอีก 4 รูป ที่พร้อมจะมาร่วมด้วยกับท่าน และท่านได้ขอติดต่อกับมหันต์อย่างยากลำบาก

จนกระทั่งพวกมหันต์ ซึ่งขณะนั้นเป็นยุคของเหมนารยันคี มหันต์ ยอมตกลงให้เช่าที่แปลงเล็กๆ ส่วนหนึ่งในพุทธคยา เพื่อทำเป็นที่พัก ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2434 ท่านธัมมปาละได้จัดให้มีการประชุมชาวพุทธระหว่างชาติขึ้นที่พุทธคยา

โดยมีผู้แทนชาวพุทธจากลังกา จีน ญี่ปุ่น และจิตตะกอง เข้าร่วมประชุม ซึ่งได้มีการประชุมกันในวันที่ 31 ของเดือนตุลาคม ผู้แทนจากญี่ปุ่นกล่าวว่า ชาวพุทธญี่ปุ่นยินดีที่จะสละทรัพย์ เพื่อขอซื้อพุทธคยาคืนจากมหันต์ คำกล่าวนี้เป็นที่อนุโมทนาในที่ประชุมอย่างมาก

ท่านธัมมปาละได้ให้มีการประดับ ธงชาติญี่ปุ่นไว้ข้าง ๆ ธงพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาวพุทธญี่ปุ่น แต่กลับไม่เป็นผลดี อย่างที่คิด เมื่อข้าหลวงเบงกอล เดินทางมาถัดจากวันที่มีการประชุม เพื่อจะมาเยี่ยมชมพุทธคยา แต่เมื่อเห็นธงชาติญี่ปุ่น ก็เกิดระแวงขึ้นมาทันที

เพราะขณะนั้นอินเดีย และอังกฤษที่ปกครองอินเดีย ยังวิตกกับท่าทีทางการเมืองของญี่ปุ่นอยู่ ทำให้ข้าหลวงเบงกอลเดินทางกลับทันที และปฏิเสธที่จะพบกับผู้แทนชาวพุทธอย่างไม่มีข้อแม้

และยังบอกผ่านเจ้าหน้าที่ ไปยังท่านธัมมปาละอีกว่า พุทธคยาเป็นของมหันต์ รัฐบาลจึงไม่ประสงค์จะไปยุ่งเกี่ยวใดๆ กับเรื่องนี้ ในการที่ชาวพุทธได้เรียกร้องนั้น สรุปว่าหนทางที่จะได้พุทธคยาคืนมาเป็นของชาวพุทธก็กลับมืดมนไปอีก

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2435 สมาคมมหาโพธิ ก็ได้ย้ายจากโคลัมโบมาอยู่ที่กัลกัตตา ที่อินเดีย และได้ออกวารสารสมาคมมหาโพธิ ( Mahabodhi Review ) ซึ่งยังคงอยู่จนปัจจุบันนี้ ถึง 111 ปี แล้ว และเป็นวารสารที่โด่งดังในทั้งตะวันออก และตะวันตก ในช่วงแรกๆ ว่ากันว่าท่านธรรมปาละและทีมงานต้องอดมื้อกินมื้อเพื่อนำเงินไปซื้อแสตมป์มาส่งหนังสือ


อุปสรรคจากพวกมหันต์

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2436 ท่านธัมมปาละและพันเอกโอลคอตต์ เดินทางจากศรีลังกามาที่พุทธคยา ก็ได้รับข่าวทันที่ว่า พระภิกษุที่จำพรรษาประจำอยู่ที่พุทธคยา ขณะกำลังนั่งสนทนาธรรมกันอย่างสงบในที่พักวัดพม่า ก็ถูกพวกมหันต์ยกพวกมารุมทุบตี รูปหนึ่งอาการสาหัสต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

พันเอกโอลคอตต์เข้าพบมหันต์ทันที เพื่อเจรจาและขอเหตุผลกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าพวกมหันต์ไม่ยอมรับการเจรจาใดๆ และยังปฏิเสธไม่ยอมขายที่ ไม่ยอมให้เช่า ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ไม่ยอมให้สร้างแม้แต่ที่พักสำหรับชาวพุทธผู้มาแสวงบุญ เป็นอันว่าเรื่องของพุทธคยา ก็ยังตก อยู่ในภาวะยุ่งยากลำบากเช่นเคย

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2436 ท่านธัมมปาละได้รับเชิญในฐานะผู้แทนชาวพุทธ ให้เข้าร่วมการประชุมสภาศาสนา (parliament religion) ที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา การที่ท่านธัมมปาละได้เดินทางไปครั้งนี้ นับว่าเกิดผลอย่างมากต่อพระพุทธศาสนา และต่อศาสนาทั้งหลาย

ท่านธัมมปาละได้กล่าวปราศัยในหลายๆ เรื่อง ทำให้ที่ประชุมรู้สึกทึ่ง ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ถึงกับมีนักการศาสนาและปรัชญาท่านหนึ่ง คือ มิสเตอร์ ซี. ที. เสตราส์ ประกาศปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะ นับถือพระพุทธศาสนา

ท่านธัมมปาละจึงได้จัดให้มีการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะที่ สมาคมธีออสโซฟี่ แห่งชิคาโก นับว่าเป็นอุบาสกคนแรก ในประเทศอเมริกาทีเดียว

เมื่อท่านธรรมปาละ เดินทางกลับจากการประชุมสภาศาสนาครั้งนี้ ท่านได้ผ่าน ฮอนโนลูลู และสมาชิกสมาคมธีออสโซฟี่ แห่งฮอนโนลูลู ได้มาต้อนรับท่าน ซึ่งท่านได้พบกับ นางแมรี่ มิกาฮาลา ฟอสเตอร์ นางเป็นเชื้อสาย เจ้าผู้ครองฮาวาย

นางเป็นคนโทสะจริต มีอารมณ์ขุ่นมัวเสมอ มักทำให้ทั้งเธอ และคนรอบข้างเกิดความเดือดร้อน จะเอาหลักศาสนา ไหนๆ มาปฏิบัติก็ไม่หาย ได้มาปรึกษาท่านธรรมปาละ ท่านธรรมปาละจึงแนะนำหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาอย่างง่ายๆ ให้เธอนำไปปฏิบัติ

ปรากฏว่าเธอนำไปปฏิบัติได้ไม่นาน ก็หายจากอาการเจ้าโทสะ อารมณ์ร้าย เธอจึงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและท่านธรรมปาละมาก นางแมรี่ ฟอสเตอร์นี่เอง ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ท่านธรรมปาละ ด้านทุนทรัพย์ในการฟื้นฟูพุทธคยา ด้วยจำนวนเงินรวมๆ แล้ว กว่าล้านรูปี มีคนถึงกับขนานนามเธอว่า " วิสาขาที่ 2 " ทีเดียว

หลังจากนั้นท่านได้เดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย สิงคโปร์ และลังกา เพื่อพบปะกับผู้นำฝ่ายศาสนาและบ้านเมือง ขอความร่วมมือด้านกิจกรรมฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ที่ท่านกำลังทำอยู่ ที่เมืองไทยเราท่านได้เฝ้ากรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ ซึ่งทรงเป็นเสนาบดี กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น

และพบกับเจ้านายอีกหลายพระองค์ ท่านอยู่ในเมืองไทย 3 อาทิตย์ จึงเดินทางกลับ (หลังจากนั้นท่านได้เดินทางมาอีก เพื่อมาขอรับ ส่วนแบ่งพระบรมธาตุ ซึ่งพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับทูลถวายจากรัฐบาลอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนพระบรมธาตุที่ขุดได้จากบริเวณกรุงกบิลพัสดุ์ แถบเนปาล

พระองค์ทรงประกาศ ไปยังประเทศพระพุทธศาสนาอื่นๆ ว่าพระองค์ทรงยินดี จะแบ่งพระบรมธาตุให้กับชาวพุทธ ในประเทศอื่นๆ ท่านธรรมปาละ ได้เดินทางมาขอรับพระราชทานส่วนแบ่งพระบรมธาตุ ในฐานะตัวแทนชาวพุทธลังกา ในปี 2443)

หลังจากนั้นท่านได้เดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น ได้รับพระพุทธรูปเก่าแก่ ถึง 700 ปี จากชาวพุทธญี่ปุ่น ซึ่งมีความประสงค์ จะขอให้ท่านนำพระพุทธรูปนี้ ไปประดิษฐานที่พุทธคยาด้วย และพระพุทธรูปนี้เองต่อมาเป็นชนวนการขัดแย้ง ครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่างท่านธรรมปาละและมหันต์

ท่านธรรมปาละได้เดินทางกลับมายังอินเดีย ได้ติดต่อขอนำพระพุทธรูปที่ได้รับมาจากชาวญี่ปุ่นมาประดิษฐานยังพุทธคยา ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่ามหันต์ไม่ยอมอย่างแน่นอน ทางมิสเตอร์แมคเฟอร์สัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของอังกฤษประจำคยา ได้ขอให้ท่านธรรมปาละ ลองหาเสียงสนับสนุนจากชาวฮินดูทั่วๆ ไปก่อน

แต่ท่านก็ได้รับคำตอบจากพราหมณ์ชั้นบัณฑิตที่พาราณสี อย่างข้างๆคูๆ ก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ ดังนั้นพระวิหาร พุทธคยาจึงเป็นของฮินดู ชาวพุทธไม่มีสิทธิอะไรในวิหารนั้น

พวกมหันต์เองก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้นำพระพุทธรูป เข้าไปยังวิหารพุทธคยาเป็นอันขาด และยังประกาศว่า หากยังขืนดึงดันจะนำเข้ามา ก็จะจ้างคนห้าพันคนมาคอยดักฆ่า และได้เตรียมเงินไว้ถึงแสนรูปีเพื่อการนี้แล้วด้วย เป็นอันว่า เรื่องการนำพระพุทธรูปมาประดิษฐาน ยังวิหารพุทธคยา ก็ยังต้องพักไว้ก่อน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2438 ท่านธรรมปาละก็ได้นำพระพุทธรูปมายังวิหารพุทธคยา โดยไม่กลัวการขู่จากพวกมหันต์

แต่ผลก็คือว่า เมื่อท่านได้นำพระพุทธรูปญี่ปุ่นองค์นั้นไปถึงองค์พระเจดีย์พุทธคยา พร้อมกับพระภิกษุ อีก 4 รูป ซึ่งประจำอยู่ที่นั่น กำลังจะยกพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐาน ปรากฏว่าพวกมหันต์หลายสิบคนกรูกันเข้ามาบังคับ สั่งให้ท่านธรรมปาละเอาพระพุทธรูปออก และทำการทุบตีทำร้ายอีกด้วย

ท่านธรรมปาละกล่าวไว้ในบันทึกของท่าน ว่า “มันช่างเจ็บปวดเหลือแสน ชาวพุทธถูกห้ามไม่ให้บูชาในวิหารที่เป็นสิทธิ์ของตนเอง”

ศาลประจำจังหวัดคยาได้ตัดสินความผิดกับพวกมหันต์ ในขณะที่ศาลสูงของกัลกัตตา กลับตัดสินให้พวกมหันต์ชนะคดี แต่ทางศาลสูงของกัลกัตตาก็มีความเห็๋นใจชาวพุทธ ได้พิจารณาว่าอย่างไรก็ตาม พุทธคยานั้นเป็นพุทธสถานและสมบัติของชาวพุทธอย่างชัดเจน

ความสำเร็จหลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังจังหวัด เขต ตำบลต่าง ๆ ในอินเดีย เพื่อชี้แจงเรื่องปัญหาของชาวพุทธ กับกรรมสิทธิ์ของชาวพุทธในพระเจดีย์พุทธคยา ชาวอินเดียที่มีการศึกษา และประเทศใกล้เคียง ต่างก็ให้ความสนใจ หลายฝ่ายเทคะแนนให้กับชาวพุทธ

และเห็นว่าพุทธคยานั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวพุทธ อย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่นักปราชญ์ที่ได้รับการยกย่องในอินเดีย เช่น ท่านรพินทรนาถ ฐากูร กวีและนักวรรณคดีชาวอินเดียก็เห็นว่า พระวิหารพุทธคยานั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวพุทธอย่างแน่นอน

ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ปี 2437 เป็นต้นมา ท่านก็ได้ดำเนินการเรียกร้องทั้งในอินเดียและลังกา เรื่องของพุทธคยา ก็เป็นประเด็นที่ชาวอินเดียต่างให้ความสนใจ ท่านธรรมปาละได้เดินทางไปยังประเทศอื่น ๆ อีก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา

เพื่อไปเปิดสาขามหาโพธิสมาคมขึ้นที่นั่น เนื่องจากการตรากตรำทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน สุขภาพท่านจึงไม่ค่อยดีนัก

ในปี พ.ศ 2458 ท่านธรรมปาละได้ทำงานที่ปรารถนาจะทำให้สำเร็จมานานได้เรียบร้อย คือการที่จะให้มีพุทธวิหาร หรือวัดแห่งแรกในอินเดีย หลังจากพระพุทธศาสนาถูกทำลายไปกว่า 700 ปี ที่กัลกัตตา และการจดทะเบียน สมาคมมหาโพธิเป็นสมาคมที่ถูกต้องสมบูรณ์ด้วย

การสร้างพระวิหารนั้น ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2461 และสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2463 รัฐบาลอินเดียได้มอบพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุของพระพุทธองค์ ซึ่งขุดค้นพบในอินเดีย ให้ประดิษฐานในพระวิหาร

ส่วนตึกอาคารสมาคมมหาโพธินั้น สร้างเสร็จและเปิดในเดือนกันยายน 2463 สิ้นเงินการสร้างทั้งสองแห่ง ราว ๆ 2 แสนรูปี พุทธวิหารที่จัดสร้างขึ้นนี้ ให้ชื่อว่า "ศรีธรรมราชิกเจติยวิหาร"

ในปี 2469 ท่านธรรมปาละได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษ และร่วมจัดงานวิสาขบูชาขึ้นที่กรุงลอนดอนด้วย

ในเดือนธันวาคม ปี 2473 มิสซิสฟอสเตอร์ ซึ่งคอยช่วยเหลือท่านธรรมปาละในด้านเงินทุนตลอดมา ได้ถึงแก่กรรมลง ซึ่งเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามนางได้ฝากมรดกเป็นเงินก้อนสุดท้าย จำนวน 5 หมื่นดอลลาร์ให้กับท่านธรรมปาละ


ออกบรรพชา

ท่านธรรมปาละ ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่า หากท่านจะตาย ขอตายในเพศบรรพชิต ดังนั้นท่านจึงได้รับการบรรพชา (บวชเป็นสามเณร) ที่ วัดมูลคันธกุฎิวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในบริเวณห่างจากสารนาถ ซึ่งเป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ ในวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 2474

โดยมีพระเรวตเถระ จากศรีลังกา มาบวชให้ (วัดมูลคันธกุฎิวิหารนั้น ท่านธรรมปาละริเริ่มการสร้างขึ้น ตั้งแต่ปี 2444)

ถึงบัดนี้ สุขภาพของท่านธรรมปาละก็เริ่มเจ็บหนักขึ้น เพราะการตรากตรำทำงานหนักมากเกินไป แต่ท่านก็ปรารถนา ที่จะได้บวชเป็นพระภิกษุให้ได้ และ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2474 วัดมูลคันธกุฎิวิหารก็ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ

และมีการผูกพัทธสีมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์ โดยคณะสงฆ์ลังกา สิ้นเงินการสร้างวัด ตลอดจนเงินค่าจ้างช่างชาวญี่ปุ่น คือ โกเซทซุ โนสุ มาเขียนภาพฝาผนังพุทธประวัติ รวมทั้งหมด 130,000 รูปี

ในวันเปิดมูลคันธกุฎิวิหาร มีชาวพุทธและข้าราชการรัฐบาลอินเดียหลายท่าน และชาวพุทธจากต่างประเทศมากมาย ได้มาร่วมงานกว่าพันคน รัฐบาลอินเดียได้มอบ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ให้กับผู้แทนสมาคม

ได้มีการนำ พระธาตุขึ้นสู่หลังช้าง แห่รอบพระวิหารสามรอบ แล้วจึงนำขึ้นประดิษฐานยังยอดพระเจดีย์ในพระวิหาร ท่านธรรมปาละได้กล่าวปราศัยในงานเปิดวันนั้น ความตอนสุดท้ายที่น่าประทับใจ ว่า

"...หลังจากที่พระพุทธศาสนาได้ถูกเนรเทศออกไป เป็นเวลานานถึง 800 ปี ชาวพุทธทั้งหลายก็ได้กลับคืนมา ยังพุทธสถานอันเป็นที่รักของตนนี้อีก ... เป็นความปรารถนาของสมาคมมหาโพธิ ที่จะมอบพระธรรมคำสอนอันเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ ให้แก่ประชาชนชาวอินเดียทั้งมวล

ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ และลัทธินิกาย.. ข้าพเจ้ามั่นใจ ว่าท่านทั้งหลาย จะพร้อมใจกันเผยแผ่ " อารยธรรม " (ธรรมอันประเสริฐ) ของพระตถาคตเจ้า ไปให้ตลอดทั่วทั้งอินเดีย... "


บั้นปลายชีวิต

อุปสมบทเป็นภิกษุในปลายปี พ.ศ. 2475 (ตรงกับปีที่ไทยเปลี่ยนระบอบการปกครอง) ท่านธรรมปาละได้ล้มเจ็บหนักอีกครั้ง เมื่อพอสบายดีขึ้น ท่านรู้ว่าใกล้จักถึงวาระสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านจึงได้คิดที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุเสียที

จึงได้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่จากลังกา 10 รูป มีท่านพระสิทธัตถะอนุนายกเถระ คณะสยามนิกาย วัดมัลวัตวิหาร เป็นประธาน และเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ทำการอุปสมบทท่านธรรมปาละ ได้รับภิกษุฉายาในทางศาสนาว่า "ภิกฺขุ ศรี เทวมิตฺร ธมฺมปาล"

เมื่อท่านได้อุปสมบท ก็ปรากฏว่าท่านได้มีกำลังกายกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นการกลับคืนมาเหมือนกับเปลวเทียนที่กำลังจะหมดไส้ ซึ่งจะสว่างได้ไม่นาน ดังนั้น ในเดือนเมษายน ของปี 2476 ท่านจึงได้ล้มเจ็บลงอีก โดยมีนายเทพปริยะ วาลีสิงหะ ซึ่งเป็นทั้งศิษย์ และสหายของท่านได้คอยรักษาและดูแลอยู่


ตั้งปณิธานเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แม้ในวาระสุดท้ายจนถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2476 (ประวัติบางแห่งว่า วันที่ 27) อาการโรคหัวใจของท่านเพียบหนักถึงที่สุด แต่ท่านก็ยังพอจะพูดได้บ้าง และสิ่งที่ท่านกล่าวย้ำบ่อยๆ ในขณะเวลา ที่เหลืออีกไม่นานก็คือ " ขอให้ข้าพเจ้าได้มรณะเร็วๆ เถิด แต่ข้าพเจ้าจักกลับมาเกิดใหม่อีก 25 ครั้ง เพื่อเผยแผ่ประกาศพระธรรมของพระพุทธเจ้า "

และในเวลาเช้าของวันที่ 29 เมษายน ท่านแทบไม่รู้สึกตัวอะไรอีก พูดออกมาได้เพียงคำว่า "เทพปริยะ" ราวจะฝากฝังให้นายเทพปริยะ จับงานของสมาคมให้ดำเนินต่อไป เพราะพุทธคยายังไม่กลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ ของชาวพุทธโดยสมบูรณ์

จนถึงบ่าย 2 โมง อุณหภูมิในตัวของท่านสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 104.6 ถึงที่สุดแล้วทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็ทราบว่า ท่านกำลังจะมรณภาพ พระภิกษุสามเณรจากลังกาและอินเดียที่อยู่ที่นั่น ได้ล้อมรอบท่าน พร้อมกับ สวดพระพุทธมนต์ ไปเรื่อยๆ พอสิ้นเสียงสวด ....

'วิญญาณของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ผู้เกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวม และเชิดชูพระศาสนาของพระพุทธองค์ก็ดับวูบลง ละร่างกาย อันเก่าคร่ำคร่าเกินเยียวยา เหลือเพียงใบหน้าอันยิ้มแย้มและเป็นสุขไว้เท่านั้น ในเวลา บ่าย 3 ของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ 2476 นั่นเอง.......


ผลงาน

ท่านธรรมปาละ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสูง ต่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย ประโยชน์ที่ท่านฝากไว้ในพระพุทธศาสนา พอสรุปได้ดังนี้

เป็นผู้จุดประกายการศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดีย ทำให้ชาวอินเดีย ซึ่งแทบจะลืมเลือนพระพุทธศาสนา จนหมดสิ้น แล้ว หันกลับมาแนวทางแห่งอริยมรรคแห่งพระพุทธองค์อีกครั้ง

ท่านได้สร้างอนุสรณ์สถาน ปูชนียสถานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้มากมาย ตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่ระลึกถึง พระพุทธองค์ เช่น วัดมูลคันธกุฎวิหาร ใกล้ๆกับสถานที่แสดงปฐมเทศนา ที่สารนาถ

ท่านได้เป็นผู้จุดประกายริเริ่มให้ชาวพุทธ และชาวอินเดีย หันมาเอาใจใส่และฟื้นฟูพุทธสถาน ที่สำคัญของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะพุทธคยา แม้ในสมัยของท่าน อาจจะยังไม่ทำให้พุทธคยาคืนสู่กรรมสิทธิ์ของชาวพุทธ และอยู่ในการดูแลคุ้มครองของชาวพุทธได้

แต่ต่อมา การกระทำของท่านก็เป็นกระแสผลักดันสังคม ชาวอินเดียหลายฝ่าย นักปราชญ์หลายท่าน ก็ได้แสดงความเห็นควรว่าพุทธคยาเป็นสิทธิ์ของชาวพุทธอย่างแน่นอน

ต่อมา ในเดือนเมษายน ปี 2499 รัฐบาลแห่งรัฐพิหาร ได้ผ่านพระราชบัญญัติวิหารพุทธคยาซึ่งให้ส่วนหนึ่งอยู่ในการดูแลของชาวพุทธ โดยมีกรรมการชาวพุทธ 4 ท่าน ชาวฮินดู 4 ท่าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดคยาเป็นประธาน


ขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ




 

Create Date : 07 มีนาคม 2555
0 comments
Last Update : 7 มีนาคม 2555 21:21:48 น.
Counter : 3281 Pageviews.


sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.