"หญ้าเนเปียร์" ฮีโร่พันธุ์ใหม่ "ตัวช่วย" ยุควิกฤตพลังงาน
โดย ปัญญาลักษณ์ ศรีบุรินทร์
ปัญหาวิกฤตพลังงานเชื้อเพลิงยังคงเป็นสิ่งที่หลายๆ ประเทศทั่วโลกเป็นกังวล
ในแต่ละปีประเทศไทยมีความต้องการใช้พลังงานมากถึงปีละ 900,000 ล้านบาท ด้วยเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น โดยมีอัตราการขยายตัวของการใช้พลังงานถึงกว่าร้อยละ 14
แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่มีแหล่งผลิตพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ จึงต้องนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศสูงถึงร้อยละ 70 หรือเป็นมูลค่ากว่า 5-6 แสนล้านบาทต่อปี นับเป็นภาระรายจ่ายจำนวนมหาศาล
หันมาดูที่ตัวช่วยสำคัญกันบ้าง พลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่ได้จากธรรมชาติ มีอยู่อย่างไม่จำกัด ทั้งพลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ปัจจุบันเราใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 8-10% ของความต้องการการใช้พลังงานโลก
นอกจากนี้ยังมีพลังงานแฝงที่ได้จากดิน จากผลิตผลทางการเกษตร อย่าง อ้อย มันสำปะหลัง และที่กำลังมาแรงคือ "หน้าเนเปียร์"
กรมพัฒนาที่ดิน ประสานความร่วมมือกับ สถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการนำร่องการพัฒนาดินเพื่อปลูกพืชพลังงานทดแทน นอกเหนือจากเพื่อการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพ และเพิ่มผลผลิตที่เหมาะสมตามแนวคิด "สมาร์ท ฟาร์เมอร์"
โดยเน้นส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลัง การปลูกหญ้าแฝก และการปลูกหญ้าเนเปียร์ ซึ่งพืช 3 ชนิดนี้มีคุณประโยชน์หลายด้าน รวมถึงสามารถนำมาสกัดเป็นก๊าชเอทานอลได้ ถือว่าเป็นหนึ่งทางเลือกพลังงานทดแทนของคนไทย
สุรเดช เตียวตระกูล รองอธิบดีด้านปฏิบัติการ กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอกว่า ประมาณการณ์กันว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9,000 ล้านคน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแก่งแย่งทรัพยากร และความต้องการทางอาหารและพลังงานมหาศาลตามมา ขณะที่ความต้องการเพิ่มแต่พื้นที่ผลผลิตกลับเพิ่มตามไม่ได้
ปัจจุบันเนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลพลังงานทดแทนส่วนใหญ่นั้นนิยมใช้ผลิตผลทางการเกษตรที่มีแป้งและน้ำตาลสูงเช่นอ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ ราคาลดต่ำลง การผลิตเอทานอลจึงมีต้นทุนที่จะสามารถผลิตได้หากน้ำมันมีราคา
เนื่องจากประเทศไทยยังเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก หากมีการพัฒนาในเรื่องของพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องจะสามารถรองรับความต้องการพลังงานอนาคตภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน
สุรเดชบอกต่อว่าเพื่อสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานรัฐบาลจึงมีนโยบายจัดระเบียบพื้นที่ทางการเกษตรที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือที่เรียกว่า "โซนนิ่งการเกษตร" ขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมเกษตรกรให้รู้จักวางแผนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
โดยยึดหลักการตลาดนำการผลิต พร้อมทั้งยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันในภาคเกษตรกรรมของประเทศ ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ยังลดต้นทุนการผลิตและจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เหมาะสม มีตลาดรองรับ ทำให้เกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างกรณีของ สุชาดา เอียดตะขุ อายุ 39 ปี ชาวบ้าน บ้านซับสนุ่น ต.ห้วยบง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งมีรายได้ทุกเดือนจากการปรับเปลี่ยนวิธีคิดการทำเกษตร
สุชาดาเล่าว่า ปกติจะมีพ่อค้าคกลางเข้ามารับซื้อผลผลิตถึงสวน แต่บางค้าจะถูกกดราคา จึงแก้ปัญหาด้วยการรวมตัวกับเกษตรกรด้วยกันนำพืชผักไปขายที่ตลาดเอง ซึ่งมาตอนหลังจะมีการปลูกพืชหลัก
อาทิ มันสำปะหลัง ข้าวโพด หญ้าเนเปียร์ ฯลฯ โดยปลูกพืชผักสวนครัวเสริมตามแนวระหว่างร่องมันสำปะหลัง ทำให้สามารถมีรายได้อีกทางหนึ่งจากการจำหน่ายมันสำปะหลังและหญ้าเนเปียร์เพื่อนำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน
ขณะที่ดร.สุรชัยหมื่นสังข์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่ดิน เขต 3 จังหวัดนครราชสีมา เล่าว่า กรมพัฒนาที่ดินพยายามที่จะส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลัง อ้อย และหญ้าเนเปียร์ ให้เป็นพืชพลังงาน เนื่องจากเป็นพืชที่มีประโยชน์รอบด้านมาเป็นพลังงานทดแทน ที่จะนำไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์หรือผลิตเป็นแก๊สมีเทน
โดยเฉพาะ "หญ้าเนเปียร์" เมื่อนำไปหมักจะทำให้ได้แก๊สมีเทนนำไปใช้กับรถยนต์มีคุณสมบัติเหมือนแก๊สเอ็นจีวีทุกประการ และให้ผลผลิตมากถึง 70-80 ตันต่อไร่ ถ้าเทียบราคาต้นทุน ปัจจุบันแก๊สมีเทนที่ได้จากการหมักหญ้าเนเปียร์มีราคาลิตรละ 15 บาท
ส่วนแก๊สเอ็นจีวีราคาลิตรละ 17 บาท ที่สำคัญคือการผลิตในประเทศไม่ต้องมีการนำเข้าสามารถลดค่าใช้จ่ายในประเทศได้มากพอสมควร พืชชนิดนี้เป็นพืชที่ครบวงจร
นอกเหนือจากนำไปหมักเป็นแก๊สได้แล้ว เศษกากพืชที่เหลือก็สามารถนำไปเป็นปุ๋ยหมักได้อีกด้วย
ที่มา : นสพ.มติชน
ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ มติชน
สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2556 11:43:32 น. |
Counter : 2534 Pageviews. |
|
|
|