หลวงพ่อฤษีลิงดำ กล่าวไว้ใน ธรรมปฎิบัติ เล่ม๓๔ หน้า๖๗
ความโลภเราตัดได้ด้วยการให้
เวลาที่เราจะให้ เราต้องให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
เราต้องให้อย่างเดียว คือให้เพื่อสงเคาะห์
ให้ผู้รับมีความสุขกับการได้รับนี้ด้วยอำนาจของวัตถุ
และมีอีกตัวหนึ่งที่เข้าไปตัดกิเลสอื่นทั้งหมด
คือให้อภัยที่เรียกว่า อภัยทาน
ใครเขาสร้างความไม่ดีให้กับเรา เราก็ไม่โกรธเขา
ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของเขาโดยเฉพราะ
ถ้าเราไม่มีความเข้าใจผิดแล้ว เขาก็ไม่สร้างความชั่ว
ไม่สร้างความสะเทือนใจให้เกิดขึ้นแก่เรา
ธัมมวิโมกข์เดือน มกราคม ๒๕๕๖ หน้า ๗๗
ถ้าจิตมีอารมณ์ราคะ ก็พยายามแก้ราคะเสีย
จิตมีอารมณ์โทสะก็แก้โทสะเสีย
จิตมีอารมณ์โมโห ก็แก้โมโหเสีย
หากฎของความเป็นจริง
ถ้าจิตหดหู่ก็สร้างจิตให้มันเบิกบาน
ตามธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อบอกจากองค์สมเด็จพระประฐมฯ
ให้ทานแล้ว จงอย่ามีอารมณ์เสียดายในทานนั้นๆ
(ไม่เสียดายในทานที่ทำ)
ให้ทานแล้ว ไม่หวังผลตอบแทน แม้แต่คำว่าขอบใจ
(ไม่หวังผลใดๆทั้งสิ้น)
ห้ามไม่ให้ อธิฐานใดๆทั้งสิ้น ขออย่างเดียวคือ ขอให้พ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน
(ไม่อธิฐานใดๆทั้งสิ้น ทรงหมายถึงมุ่งนิพพานอย่างเดียว)
(หลวงปู่ดุลย์ เวลาทำบุญให้อธิฐาน ขอให้ประสพความดีปราศจากความทุกข์)
หลวงพ่อสอนไว้
ตื่นขึ้นมา ตั้งใจ วันนี้ถ้าตายเมื่ไหร่ ขอไปนิพพานเมื่อนั้น
ก่อนหลับ ตั้งใจ ถ้าหลับนี้ยังไม่ทันตื่น บังเอิญตายก่อน
ตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพานเมื่อนั้น
อัตตนา โจทยัตตานัง
จงเตือนตนด้วยตนเอง
บุญอยู่ที่สมาธิคือตั้งมั่น
หลวงพ่อบอกว่า องค์พระปฐมฯกล่าวว่า
กำลังใจของคนไม่เท่ากัน อย่าไปตำหนิใคร เพาะทำไปหรือตำหนิไป
ก็รังแต่จะเพิ่มกิเลสขึ้นในจิต จะสร้างศัตรู ขึ้นแก่จิตของผู้อื่น
ดังนั้นจึงควรสงบถ้อยคำ ไว้เป็นดีที่สุด
แม้จะกล่าวด้วยความหวังดีก็ตาม มันเป็นเรื่องของกิเลสอยู่ดี
จากธัมมวิโมกข์ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕
พระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านชั้นดีนี่เอง
พระโสดาบัน ไม่ห่วงทรัพย์สินของตน แต่ไม่ใช่ทุ่มจนหมดตัว
ไม่ใช่มีบาทให้หมดบาท มีสิบบาทให้หมดสิบบาท
มีร้อยบาทให้ร้อยบาทอย่างนี้ใช้ไม่ได้
ถ้าให้ไปอย่างนั้นแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลังควรให้
ถ้าเดือดร้อนภายหลังแล้วให้ด้วย เดือดร้อนภายหลังด้วย
อย่างนี้ไม่ใช่ อารมณ์ ของ พระโสดาบัน
เป็นอารมณ์ของคนโง่
พระโสดาบันท่านไม่โง่ ท่านเป็นคนฉลาด