การลาออกครั้งสุดท้าย

 
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 สิงหาคม 2553
 

(๒๔) ครูของชาวค่ายอพยพ

ครูแต่ละคนจะมีตะกร้าประจำตัว ในตระกร้าจะมีเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆประกอบการเรียน ธนบัตรดอลลาร์ (แน่นอน ปลอม) ตัวไก่ (เหมือนไก่ที่ขายแขวนในตลาด) เนื้อหมู เนื้อวัว ผัก ผลไม้ ทำจากพลาสติกเพื่อไว้ให้นักเรียนผลัดกันชั่งน้ำหนัก มีฝ่ายพัสดุคอยซ่อมแซมอุปกรณ์ถ้าชำรุด สำหรับการเรียนเรื่องเวลา เราแบกนาฬิกาเครื่องใหญ่ทำจากกรอบไม้สี่เหลี่ยมลักษณะเหมือนกล่องไม้ มีที่จับด้านบน นอกจากนั้นเรายังถือเครื่องชั่งน้ำหนักกิโลเหมือนเครื่องชั่งหมูที่ตลาด เราต้องสอนนักเรียนให้อ่านเป็นปอนซ์ ออนซ์ ตามมาตราเมตริกของอังกฤษ ตามการนำไปใช้จริงที่สหรัฐอเมริกา เราถือหิ้วไปหิ้วมาระหว่างไปกลับห้องเรียนทุกครั้ง บรรดาครูที่สอนวิชาอื่นๆจะรู้กันทันทีว่าเป็นครูจาก WO ตอนแรกๆ เราอาจแบกมาเอง แต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่นักเรียนจะมาหาที่ส่วนกลางและช่วยครูยกของ โดยที่ไม่ต้องบอก

coffee shop การเรียนเรื่องการทำอาหาร เมื่อถึงเวลาเรียนเราจะเริ่มต้นด้วยการดูตารางสอน แล้วเราเดินไปเบิกวัตถุดิบ ฝ่ายสโตร์จะรู้ว่าหลักสูตรมีการเรียนการสอนอะไรบ้าง

ในชั้นเรียนอาหารเราจำลองจากครัวจริงๆ แต่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ดี คุณภาพไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนที่บ้าน เพราะผ่านการใช้มาหลายชั้นปี มีเตาแก๊ส เตาอบ ภาชนะ จาน ชาม ถ้วยกาแฟ ให้นักเรียนได้ทดลองทำอาหาร นักเรียนต้องรู้จักวิธีการอ่านสูตรอาหารรูปแบบต่างๆเป็นภาษาอังกฤษ เราจะให้นักเรียนได้เรียนรู้สูตร ชั่งตวง วัด ในหลักของอเมริกัน เป็น ออนซ์ ปอนด์ เรียนรู้แม้กระทั่งการประกอบอาหารอย่างถูกอนามัย เรียนรู้กฏระเบียบการรักษาความสะอาดและความปลอดภัยเช่น เรียนรู้การล้างมือด้วยสบู่ก่อนและหลังปรุงอาหาร ตัดเล็บให้สั้นและรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ สวมหมวกและใส่ผ้ากันเปื้อนระหว่างปรุงอาหาร ต้องไม่ไอ จาม และ (โดยเฉพาะถ่ม ถุย) น้ำลายในห้องครัว สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักเรียนฝีกและเกิดการเรียนรู้ให้เป็นความเคยชินและพร้อมที่จะใช้ชีวิตที่โน่น

แน่นอนว่าอาหารบางอย่างโดยเฉพาะอาหารจำพวกสัญชาติฝรั่ง ครูบางสัญชาติและนักเรียน (โดยเฉพาะพี่ไทยนะแหละนะ) อาจไม่คุ้นเคยนักแต่ก็ได้มาทดลองในชั่วโมงเรียนด้วยกันนั่นเอง อาหารมีทั้งอาหารคาว หวาน เช่นบางครั้งเราทำข้าวซอยไก่ เกี๋ยวเตี๋ยว สปาเก็ตตี้ ของหวานก็คือเค้ก คุกกี้ บราวนี่ ทำพายข้าวโพด ผสมแป้ง ทาเนย การชงกาแฟสำเร็จรูป น้ำพั้นช์ผลไม้ หั่นผลไม้จริง ผสม สัปรด ส้ม มะนาว มีขวดผสมด้วย shaker มีแม้กระทั่งใบสาระแหน่ เอาเป็นว่าการเปิดตำราสอนตามสูตรการทำน้ำผลไม้นั่นเอง

Wo- wood shop วิชาช่างไม้ เริ่มจากหลักสูตรการนับ การวัด เรียนมาตราวัดเป็น ฟุต นิ้ว เมตร หลังจากนั้นนักเรียนจะได้เรียนต่อเนื่องเป็นการสร้างเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จากเก้าอี้นั่งตัวเล็กๆ (อันนี้บรรดาครูมีไว้ซักผ้าแทบทุกบ้าน) ทำโต๊ะ ชั้นวางของ มีการ ไสไม้ ตัดไม้ เลื่อยไม้ ไม้ทำจากไม้ลัง หรือ pallet วางของเพื่อการขนส่ง ขัดด้วยกระดาษทราย ลงแลคเกอร์ให้มันวาว

การสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ทำให้ครูได้เรียนรู้ศัพท์เฉพาะทางข่างไม้ไปด้วย วิชาเรียนมีทั้งงานไม้ทำชั้นวางของ ทำโต๊ะ งานเย็บผ้า สินค้าต่างๆเหล่านี้มักจะไปสถิตเป็นเครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์ประจำบ้านพัก ห้องพักของครูแต่ละคน สังเกตได้เลยว่าไม่ว่า ถ้าเมื่อไหร่ได้เข้าไปที่บ้านใครสักคนจะต้องเห็นเฟอร์นิเจอร์จากแคมป์อย่างน้อยหนึ่งชิ้นคือเก้าอี้ซักผ้าตัวเล็กๆ เจอโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ชั้นวางหนังสือ พวกเราแทบไม่ต้องขนซื้อข้าวของจากร้านเฟอร์นิเจอร์เลย เมื่อใดก็ตามที่จบการศึกษาในแต่ละภาคเรียนเราก็ต่างมาจับจ่ายซื้อของเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ตลาดนัดของดับเบิ้ลยูโอ

ช่วงที่ใกล้จบการศึกษาภาคเรียนตอนปลายเทอมจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก เราเปิดตลาดนัดขายของผลิตภัณฑ์จากฝีมือนักเรียน เป็นชั้นวางหนังสือ โต๊ะไม้ญี่ปุ่น เปิดร้านอาหาร นักเรียนและครูช่วยกันทำใบปิดโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนบรรดาครูและนักเรียนมาชิมอาหาร บรรดาครูและนักเรียนจากห้องต่างๆจะเข้ามาใช้บริการและซื้อของ ให้เด็กนักเรียน (ผู้ใหญ่) ก็จะรู้จักการขายของ การเสริฟอาหาร เป็นกุ๊ก เป็นคนทำอาหาร คนขายสินค้าด้วยตัวเองซึ่งเราจะขายจริงด้วยเงินจริง กินจริง ราคาย่อมเยา

ในระยะแรกๆของการเป็นครูแคมป์ เรามีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมๆมองๆบรรดาพี่ๆ สอนลูกศิษย์ด้วยความชำนิชำนาน พี่ๆส่วนใหญ่ที่ทำงานมาก่อนหลายปี

วันหนึ่งฉันเดินผ่านห้องเรียนที่เงียบผิดปกติ นึกว่าไม่มีการสอน ปรากฎว่าเป็นพี่หนุ่ยแม่ลูกอ่อนผู้อ่อนหวาน กิริยามารยาทเรียบร้อย ฉันมักอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้คุย ทำให้สามารถช่วยรักษาโรคคิดถึงแม่ได้เป็นอย่างดี หากบางครั้งถ้าไปแอบดูพี่หนุ่ยสอนนักเรียนจะรู้สึกเหมือนว่าไม่มีการเรียนการสอนเกิดขึ้นในห้องนั้น เนื่องจากทั้งห้องจะเกิดความเงียบแสนเงียบ เมื่อเข้าไปแอบดูห้องเรียนวิชาเย็บผ้า เย็บเสื้อ วิชานี้นักเรียนจะได้เรียนรู้การเย็บผ้าเบื้องต้นโดยใช้จักรจริงๆ ฉันโผล่หน้าเข้าไปเยี่ยมชมทีไรจะพบกับรอยยิ้มกว้าง ด้วยสายตายิบหยีและแสนใจดีอย่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นของสาวเหนือสไตล์พี่หนุ่ยแทบทุกครั้ง

ฉันชอบดูลีลาการสอนของ พี่ยุ้ยชายหนุ่มร่างแมนสูงโปร่ง ผู้มักสวมกางเกงยีนส์สีซีดขาลีบและเสื้อยีนส์พับแขนเหนือข้อศอก ต้นแบบของหนุ่มโจ๋สมัยนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าไปๆมาๆแฟชั่นก็วนกลับมาอยู่ที่เดิม เสียงนักเรียนหัวเราะเฮฮาผสานกับการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว พี่ยุ้ยนั่งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ มือไม้ชี้โบ๊ะชี้เบ๊ไปที่ไดอแกรม (แบบร่าง) ของท่อพลาสติด เพื่อให้นักเรียนต่อเป็นรูปร่างต่างๆ การต่อท่อพลาสติกให้เป็นรูปร่างต่างๆจากรูปร่างเรขาคณิตง่ายๆเป็นเส้นตรง งอเป็นรูปโค้งต่างๆ ถ้าในระดับนักเรียนที่ขั้นสูงๆหน่อยก็จะต่อเป็นรูปร่างที่ยากมากขึ้นทำเป็นหลอดไฟใส่สายไฟมีปลั๊กไฟ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นที่สูงที่สุด นักเรียนของพี่ยู้ยส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวที่เกรด C D สามารถเข้าใจการสื่อสารภาษาอังกฤษเข้าใจได้ดีพอสมควร ที่แน่ๆเร็วกว่าพ่อเฒ่าแม่เฒ่าของฉันเยอะ

“เฮ้ย ขะหยิ่น ต่ออย่างนี้ซิ เข้าใจ หรือเปล่า Hey man” อันนี้ถือเป็นการสอนสไตล์พี่ยุ้ยเลย มันๆ และกระฉับกระเฉง ดูแล้วลื่นไหลมาก
พี่ยุ้ยผู้รุ่มรวยอารมณ์ขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องใต้สะดือที่ทำให้พวกเราหายง่วงบ่อยๆในเวลาที่เรารวมกลุ่มกันถกและประชุมในเรื่องหลักสูตรการสอนหรือยามที่เบื่อพี่อูดดี้ พูดจาเป็นทางการระหว่างการประชุม

พี่บุญหนาผู้ชายวัยเกินสี่สิบ ศรีษะเถิกรวยเป็นล้านที่น่าจะไปปลูกสวนส้มหรือเป็นเกษตรกรฝีมือดีแถบอีสาน ยืนสอนพ่อเฒ่าแม่เฒ่าชั่งน้ำหนัก สอนเงียบๆ

“ How many pound—two pounds” (น้ำหนักเท่าไหร่จ๊ะ --สองปอนด์จ๊ะ” )

ในชั่วโมงการชั่งนักเรียนต้องเรียนรู้ความแตกต่างของน้ำหนักเป็นกิโลกรัมและปอนด์ นักเรียนต้องเรียนรู้การอ่านตาชั่งเป็นภาษาอังกฤษซึ่งยากที่จะเรียนรู้อยู่เหมือนกัน
นักเรียนลาวเป็นนักเรียนที่มีความใกล้ชิดกับคนไทยมากที่สุดและเข้าใจภาษาไทยได้ดีเสียด้วย เลยดูเป็นนักเรียนที่มีความรอบจัด มีไหวพริบ รู้เท่าทันดี

วันหนึ่ง แม่เฒ่าชาวม้งเดินมาหาฉันระหว่างพักการสอน

“หิวน้ำ จังคู”

ไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยปากพูดอะไรเธอคว้ากระติกน้ำดื่มที่ฉันเตรียมมาไว้เฉพาะตัวเปิดฝายกขึ้นดื่มอั๊กๆๆๆ ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วไม่ได้ดื่มน้ำจากกระติกน้ำนั่นเลยทั้งวัน

เหตุการณ์บางอย่างนั้นทำให้ฉันได้รับบทเรียนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ ในแง่ของการมองสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ฉันรู้สึกโมโหนักเรียนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจในความรู้เรื่องการเรียน นักเรียนนับเงินดอลลาร์ เพนนี เซนต์ ผิดๆถูกๆ ฉันมองหน้าพ่อเฒ่าแม่เฒ่าชาวเขาด้วยความโมโหแทบอยากจะเขวี้ยงตะกร้าที่ใส่เงินไปที่ไหนสักแห่ง แต่แล้วเมื่อมองไปที่หน้าพวกเขาซึ่งมีแววตาใสซื่อที่มองมาที่ฉันเหมือนจะบอกว่า ”พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว” ฉันกำธนบัตรดอลลาร์(ปลอม) ไว้แน่น ลอบถอนหายใจ เดินออกไปนอกห้องเรียน มองผ่านเลยไปเห็นเด็กนักเรียนรุ่นวัยรุ่นกำลังวิ่งเล่นกันอยู่บนลานดิน ขณะที่กำลังเดินเข้าห้องเรียน ฉันบ่นพึมพัมกับตัวเอง

“ฉันจะหงุดหงิดไปเพื่ออะไรเนี่ยะ เราจริงจังเกินไปรึเปล่า พวกเขาเรียนรู้เพื่อประทังชีวิตเท่านั้นนะ”

เขาเป็นเพียงพ่อเฒ่าแม่เฒ่า ต้องตั้งสติและปล่อยวาง ก็เลยวางอุกรณ์การสอนบนโต๊ะยิ้มให้นักเรียน (ที่กำลังมองมาที่ฉันแบบเข้าใจและเอาใจ) ฉันบอกนักเรียนว่า

“เอาเท่าที่ได้นี่แหละนักเรียน”
“สิบห้าดออลาร์ ยี่สิ- เซนต์”

นักเรียนตั้งใจนับเงินใหม่ พูดแบบไม่มีตัวสะกดคำลงท้ายเช่นเคย พร้อมยิ้มกว้างเห็นฟันเหลืองอร่าม คราวนี้เธอเองกลับนับถูกแฮะ แล้วเราก็ยิ้มให้กัน

แผนก ESL เรียนการหัดเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เรียนการเขียน วัน เดือน ปี วันที่ ส่วนสูง น้ำหนัก
เขียนลงบนกระดาษปอนด์แผ่นใหญ่ๆ เว้นช่องว่าไว้ แต่นักเรียนเกรดต่ำได้เป็นคำๆเท่านั้น
การใช้สื่อเป็นรูปภาพ เรียงสร้างเรื่อง
การแนะนำตัวเอง
การใช้โทรศัพท์ “ชื่อ อาราย ต้องการพูดกับคราย”

เวียคนาม ก๋วยเตี๋ยวบางครั้งเดินไปทางแค้มป์เวียตนามกินเกี๋ยวเตี๋ยวเวียตนามที่เรียกว่าเฝอจำได้เส้นใหญ่ๆนุ่มๆเนื้อแดงเป็นก้อนๆ น้ำเลือดแดง น่ากลัวในตอนนั้น

นักเรียนเวียตนามเป็นนักเรียนที่ฉลาดเฉลียวบางคนจบชั้นมัธยม กำลังเรียนมหาวิทยาลัย พิจารณาจากวิชาต่างๆนักเรียนเวียตยามมักจะได้คะแนนดี การรับรู้ได้เร็วกว่านักเรียนชาติอื่นๆ เขมรและลาวอาจเป็นเพราะอยู่ใกล้บ้านเราพวกเขาเค้าใจภาษาไทยไก้บางครั้งจะติดขี้เกียจและกระล่อนในบางครั้ง โดยเฉพาะหนุ่มๆจะช่างพูด ชาวเขามักจะเรียนรู้ได้ช้า แต่อันนี้ก็พูดโดยทั่วๆไป นักเรียนบางคนถ้าไม่ได้แบ่งตามเชื้อชาติมีความขยันและเก่งด้วยตัวเอง

การใช้เวลาว่างหลังจากการสอนคือการพบปะกับเพื่อนๆที่ร้านไอศกรีม ร้านอาหารเล็กๆในตัวเมือง การจัดปาร์ตี้บางครั้งบางคราวของชาวแคมป์มักเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นได้เสมอๆ เราก็ต่างขน เหล้ายาปลาปิ้ง หอบหิ้วอาหารมารวมกัน ไปบ้านรุ่นพี่คนใดคนหนึ่งที่ทำงานที่นี่มานานหลายปีจนถึงขั้นซื้อบ้านไว้ที่นี่ แล้วมานั่งฟังเพลงบลู แจ๊ส โซล เร็กเก้ หรือแม้แต่เพลงเพื่อชีวิต บางคนจับกลุ่มนั่งคุยกัน บางคนนั่งกินเหล้าเฉยๆ ฟังเพื่อนพี่ๆคุยกัน

แอนสาวน้อยร่างอวบนั่งเล่าเรื่องสนุกๆให้เราฟังอย่างเมามัน ระยะเวลาการสอน 6 เดือนและเราสามารถหยุดพักการสอนเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนและกลับมาสอนอีกก็ได้ เธอเล่าให้ฟังเมื่อกลับจากไปเที่ยวสหรัฐอเมริกามาไม่นาน

“วันนึงตอนอยู่ที่โน่น ชั้นจะไปซื้อแฮมเบอร์เกอร์ ไอ้เราก็คิดว่าพูดภาษาอังกฤษได้แบบไม่อายใคร ชั้นสั่งเบอร์เกอร์กับโค้กแก้วนึง และบอกว่าไม่กินที่ร้าน นังคนขายเป็นนิโกรตัวเบอเริ่ม ยื่นอาหารให้ชั้น แล้วแบบว่าพูดเร็วๆไง ชั้นฟังเป็น

“เฮียทูวโก้วๆ” ชั้นก็งง แม่งพูดไรว่ะ พูดอยู่นั่นแหละซ้ำๆ รำคาญๆ แบบว่าจะรีบเสริฟรีบขาย คนก็รอคิวอยู่ด้านหลังยาวเหยียด ก็แอบดูทางหางตาเห็นลูกค้าหัวทองๆ บางคนทำท่าชะเง้อมองว่าเกิดอะไรทำไมติดคิวนานด้วย โอ้ยกดดันชิปเป๋ง ตายล่ะหว่า ชั้นน่ะ คิดถึงนักเรียนขึ้นมาจับใจ โอ้ยเป็นนักเรียนกระเหรี่ยงเองแล้วกู ยืนงงอยู่นาน ฟังมันพูดไม่ทันเลยเพราะพูดเร็วปรื๋อ เลยกลั้นความอาย ถามว่า what เค้าเลยพูดใหม่ช้าๆ

“Here to go” (แอบทำหน้าเซ็งๆ ว่าอี่นี่ทำให้เสียเวลา) แปลว่า สั่งแบบกลับบ้านไม่กินที่ร้าน อื๋ย อายจังเลย”

พวกเราฟังแอนเล่าประกอบท่าทางแล้วฮาครืน

เรานั่งมองพี่เจี๊ยบ พี่เจี๊ยบสาวมาดเซอร์ผมหยิกยาวที่ยึดแนวทางของชาวแคมป์ไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยรูปลักษณ์สูงโปร่งผมหยิก ปล่อยสยายยาว รวบเป็นมวยบางครั้ง สวมกระโปรงยาวลายดอกแบบสาวยิปซีแท้ ใครจะรู้ว่านี่คือต้นแบบของปลามม์มี่นักร้องของแกรมมี่ค่ายดัง
พี่เจี๊ยบเต้นรำคนเดียว โยกตัวเอนเอียงไปมาตามจังหวะการลื่นไหลของเพลง บางครั้งยกมือกางออกรอบตัวบ้าง ยกมือขึ้นสูงเหนือหัวเหมือนร่ายรำให้ความสุขเฉพาะตนเอง ฉันบอกได้เลยว่านี่คือแบบฉบับของชาวแค้มป์อย่างแท้จริง ความรักอิสระ หวงความเป็นส่วนตัว มีอารมณ์ศิลปิน และความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร ฉันมองกระโปรงลายดอกปลายกระโปรงยาวลากพื้น เคลื่อนไหวอย่างช้าๆเนิบๆไปตามจังหวะ มือหนึ่งมีแก้วสีอำพันอีกมือหนึ่งมีบุหรี่ที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันบุหรี่ล่องลอยออกจากริมฝีปากเธอช้าๆ




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2553
1 comments
Last Update : 1 ตุลาคม 2555 14:50:06 น.
Counter : 625 Pageviews.

 
 
 
 
พวกคนดำที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์นี่สำเนียงร้ายกาจทั้งนั้นแหละค่ะ เราอยู่อเมริกามาสิบกว่าปีแล้วบางทียังต้องถามซ้ำเลย :)
 
 

โดย: Oreo's Mama วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:22:25:04 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

อธิกาล09
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"Life was like a box of chocolates. You never know what you're gonna get."
[Add อธิกาล09's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com