Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2558
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
12 พฤษภาคม 2558
 
All Blogs
 
20130710-11 แบกเป้ลุยเล .. ก่อนไปเตร่ที่ .. มฤคทายวัน .. ตอนที่ 2

กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ตอนที่แล้วโม้มากไปหน่อย เลยยังไปไม่ถึงที่หมายเสียที หมดแรงซะก่อนต้องนอนชะอำไปเสียหนึ่งคืน เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์สบายๆ ทริปจริงจริ๊งงงง ตามสโลแกนประจำตัวผมที่ว่า “เที่ยวไปเรื่อย เมื่อยก็หยุด” (ฮ่าๆๆ ..)

มาต่อกันเลยดีกว่า อย่าได้ปล่อยให้ผมได้พร่ำ เพราะเดี๋ยวจะมัวแต่พาย่ำอยู่กับที่ โพสนี้จะพลอยยืดยาวกันอีก เขียนไม่ต้องจบกันพอดี ..

หลังจากที่เมื่อคืนเอาแบงค์ร้อยหนึ่งใบไปแลกปลาหมึกตัวย่อมๆ ขนาดประมาณฝ่ามือเด็กประถมมาได้สองตัว อร่อยปากสบายท้องนอนหลับปุ๋ยไปท่ามกลางสายฝนพรำกระทบหลังคาด้านหลังห้องพักเสียงดังจั่กๆๆ ฟังเพลินระเริงหูหลับคุดคู้จนตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันเลยพลาดไปอีกวันแล้วสิเรา ลืมตาตื่นมาก็เก้าโมงเช้ารีบจัดการธุระปะปังส่วนตัวให้เรียบร้อยเพราะวันนี้ผมมีกำหนดการส่วนตัวเอาไว้ว่าจะต้องไปให้ได้สองที่แล้วจะกลับกรุงเทพฯ ในค่ำคืนนี้เลย จะมัวมาเถลไถลอยู่ไม่ได้มิฉะนั้นตารางเวลาที่วางไว้คงจะคลาดเคลื่อนไปจนผิดแผนแน่นอน ด้วยเหตุนี้เสบียงที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานจึงถูกจัดการเป็นที่เรียบร้อยแบบรีบๆ คืนกุญแจรับมัดจำแล้วไปออกไปเก็บภาพทะเลตอนสายอีกสักนิด


แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่ .. ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ..


ทั้งที่แดดเปรี้ยงๆ .. แต่เค้าก็นอนหลบแดดอยู่ในซอกหินแบบสบายๆ .. / ปูลมตัวเล็กๆ เห็นเด็กๆ ชอบวิ่งไล่จับเอามาเล่นกัน .. ปล่อยไปเถอะครับ เพราะนี่คือหนึ่งในห่วงโซ่อาหารที่คัดสรรโดยธรรมชาติมาอย่างดีแล้ว

สายวันนี้แดดร้อนเปรี้ยงดีแท้ผิดกับเมื่อเย็นวานราวฟ้ากับเหว ออกสำรวจริมหาดท้าแดดลมของทะเลชะอำสักนิด จะได้หาข้อมูลการเดินทางไปพระราชนิเวศน์มฤคทายวันอันเป็นจุดหมายแรกของวันนี้จากคนพื้นที่สักหน่อย เพราะนี่เป็นการเดินทางไปเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรกของผมด้วยเลยต้องมีการสืบเสาะเคาะหาข้อมูลเพิ่มเติมสักนิดจนได้คนใจดีแถวนั้นช่วยกันบอกช่วยกันอธิบายด้วยความเป็นมิตรและไมตรีจิตให้กับนักเดินทางผู้โดดเดี่ยวเช่นผม จนได้ความว่าจากริมถนนใหญ่(ก็ถนนเพชรเกษมนั่นแหละ..) มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างเพชรบุรีไปปราณบุรีมาเป็นระยะๆ แล้วก็ยังมีรถตู้โดยสารกรุงเทพฯ-หัวหิน-ปราณฯ ก็สามารถไปได้เหมือนกัน ไปลงที่หน้าค่ายฯ ได้เลย


หันมาจับปูตัวนี้แทนดีป้ะ ..? / ป้ายรถประจำทางครับ .. รอรถกันได้ที่นี่ ..

ผมกล่าวขอบคุณสำหรับการต้อนรับและความช่วยเหลืออย่างอบอุ่นจากชาวบ้านชะอำ พร้อมกล่าวคำอำลาและให้สัญญากับตัวเองว่าผมจะกลับมาเยี่ยมเยือนทุกคนที่นี่อีกครั้งเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน จากนั้นเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่แถวนั้นให้ช่วยไปส่งที่ป้ายรถประจำทางริมถนนใหญ่ด้วยสนนราคาที่ไม่น่าประทับใจต่างจากความรู้สึกที่ได้รับจากริมทะเลเมื่อสักครู่นี้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่เป็นไรผมถือว่าต่างคนต่างหากินกันไปตามประสาแค่อารมณ์สะดุดเล็กน้อยเท่านั้น

รอรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีรถตู้มาครับแต่ผมอยากนั่งรถหวานเย็นที่วิ่งระหว่างอำเภอแบบนี้ จะได้อารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างออกไปนะครับ คนท้องถิ่นจะใช้บริการรถแดง(รถหวานเย็นที่ผมเรียกนั่นแหละครับ..)มากกว่า ผมสามารถจะสอดส่องเฝ้ามองชีวิตประจำวันของคนพื้นถิ่นได้อย่างใกล้ชิดมากกว่า ด้วยความที่รถประจำทางแบบนี้จะวิ่งค่อนข้างช้าไม่รีบเร่ง โอกาสที่จะได้ซึมซับบรรยากาศโดยรอบจะมีมากกว่า มีชาวบ้านขึ้น-ลงตลอดทางทำให้ได้เจอได้พบปะพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา ได้แลกเปลี่ยนสื่อสารปฏิสัมพันธ์ต่อกันเป็นการเรียนรู้บางสิ่งที่ไม่ได้มีโอกาสได้พบเห็นจากในหนังสือหรือตำราทางวิชาการเล่มหนาที่ผู้แต่งตั้งใจเขียนให้อ่านด้วยภาษาไทยที่แม้จะแปลเป็นไทยอีกรอบก็ยังเข้าใจยากอยู่เช่นเดิม(ฮา ..)

รถหวานเย็นของผมจอดนิ่งสนิทเลยค่ายไปนิดเพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมจะไปลงค่ายทหาร แต่พระราชนิเวศน์ฯ ตั้งอยู่ในค่ายพระรามหก อันเป็นค่ายตำรวจตระเวณชายแดนต่างหาก เดินย้อนกลับมานิดหน่อยพอเรียกเหงื่อซึมๆ เปียกเสื้อจากอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวของแดดที่แรงขึ้นตามตำแหน่งที่ลอยสูงขึ้นของดวงอาทิตย์ เดินผ่านป้อมรักษาการณ์เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าจะเข้าไปอย่างไร คำตอบที่ได้คือเดินครับ ผมลองวัดระยะทางจากกูเกิ้ลแมพได้ประมาณ 3.5 กิโลเมตรครับ พอเดินได้สบายๆ เพราะมีต้นไม้ตลอดทาง ร้อนบ้างร่มบ้างคละเคล้ากันไปได้อรรถรสการเดินทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน่วยรักษาการณ์ด้านหน้าแนะนำว่าถ้าเดินๆ ไปเจอรถกระบะของเจ้าหน้าที่ก็ขอติดรถไปลงข้างในก็ได้ครับ


ด้านหน้าทางเข้าพระราชนิเวศน์ฯ ครับ .. (ภาพจาก Official facebook ของค่ายพระรามหก)


มีป้ายบอกตลอดทางครับ ../ หนทางยังอีกยาวไกล .. มองยังไม่เห็นปลายทาง ..


ข้ามสะพานพระรามหก(2) .. / เดินตามป้ายไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ ..

ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปเพื่อจะได้เก็บภาพบรรยากาศตามรายทางและฝึกความอึกถึกทนของสภาพร่างกายไปในตัวด้วย ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะแวะถ่ายรูปไปเรื่อยตามประสาคนบ้าเที่ยวถ่ายรูปอย่างผม สุดท้ายก็เดินมาถึงทางเข้าพระราชนิเวศน์จนได้ในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเศษๆ ซื้อบัตรผ่านประตูกันก่อนแล้วเดินต่อเข้าไปอีกประมาณสอง-สามร้อยเมตรก็จะเจอกับป้ายทางเข้าที่เขียนว่า “มฤคทายวัน” มุมมหาชนที่ทุกคนจะต้องมาเก็บภาพตัวเองกับป้ายนี้เอาไว้เป็นที่ระลึก


ทางเข้าด้านหน้าครับ .. ซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไปแล้ว ยังต้องเดินต่อไปอีกสักสองร้อยเมตรครับจะเจอมุมมหาชน ..


มุมมหาชน .. ที่ทุกคนต้องไม่พลาดเก็บภาพสวย .. “มฤคทายวัน”

สำหรับใครที่พกกล้องมาถ่ายภาพก็ให้เดินเลยป้ายที่ว่านี่ไปอีกนิด ตรงเข้าไปที่ศาลาด้านซ้ายมือเพื่อเขียนใบลงทะเบียนกล้องกันเสียก่อนนะครับ แล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าไปสู่อดีตกาลกับพระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง ภาพแห่งจินตนาการของอดีตอันงดงามของเหล่าเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่เคยเสด็จมาถวายงานให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรีอันเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า

ผมมีตำนานเกี่ยวกับพระราชนิเวศน์แห่งนี้มาฝากกันด้วยครับ

พระราชนิเวศน์แห่งนี้มีตำนานที่เล่าขานต่อๆ กัน สืบเนื่องมาจากเมื่อคราวที่พระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจีทรงพระครรภ์นั้น พระมหาธีรราชเจ้าทรงพระเกษมสำราญยิ่งด้วยทรงมุ่งหวังว่าจะทรงมีพระราชปิโยรส แต่ความหวังทั้งมวลก็สิ้นสลายเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่สามารถมีพระประสูติกาลได้ ยามนั้นพระองค์ท่านทรงอภิบาลพระมเหสีด้วยน้ำพระทัยเป็นห่วงและเศร้าสร้อย ณ พระที่นั่งสมุทรพิมานแห่งนี้ อย่างไรก็ดีพระราชนิเวศน์ยังเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบังเกิดพระราชประดิพัทธ์ในความรักครั้งต่อมากับคุณสุวัทนา ซึ่งต่อมาทรงสถาปนาเป็นเจ้าจอมสุวัทนาและพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ตามลำดับ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันพร้อมด้วยพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ซึ่งมีพระครรภ์พระหน่ออีกครั้งระหว่างวันที่ 12 เมษายน ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2468 การเสด็จครั้งนี้เสมือนหนึ่งการเสด็จมาเพื่ออำลาพระราชนิเวศน์ที่ทรงรักโดยแท้ เพราะเมื่อเสด็จกลับพระนคร อีก 5 เดือนพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ประสูติพระราชธิดาแล้ว วันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ตำบลห้วยทรายเหนือ ถนนเพชรเกษม บริเวณกิโลเมตรที่ 216-217 เลยหาดชะอำมา 8 กิโลเมตร เป็นพระตำหนักที่ประทับริมทะเลซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2466 ได้รับขนานนามว่า “พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง” ลักษณะเป็นพระตำหนักแบบไทยผสมยุโรป เป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้สักทอง

พระตำหนักฝ่ายในอยู่ปีกขวา ทางปีกซ้ายเป็นส่วนของฝ่ายหน้า ประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด

พระที่นั่งสมุทรพิมาน เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายา
พระที่นั่งพิศาลสาครเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอาคารข้าราชบริพารฝ่ายหน้าเป็นบริวารหลายหลังและมีแนวระเบียงยื่นลงสู่ทะเลเป็นที่ลงสรงน้ำ
และพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เป็นอาคารโถงสองชั้นเปิดโล่งใช้เป็นที่ประชุมในโอกาสต่าง ๆ และเป็นโรงละครซึ่งเคยจัดแสดงละครครั้งสำคัญ 2 ครั้งคือเรื่องพระร่วงและวิวาห์พระสมุทร

ในปี พ.ศ.2484 เจ้าพระยารามราฆพ ได้สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายเป็นพระราชานุสรณ์ประดิษฐานไว้ ณ ท้องพระโรงพระราชนิเวศน์มฤคทายวันและได้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศลถวายเป็นพระราชสักการะเนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน  เป็นประจำทุกปี

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30–16.00 น. ปิดวันพุธ ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 15 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท สำหรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะต้องทำหนังสือถึงผู้กำกับการกองบังคับการฝึกพิเศษ  ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โทร.0 3250 8444-5, 0 3250 8039


เดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรปที่กลมกลืนกันได้อย่างลงตัว ..

ได้สดับรับฟังตำนานเล่าขานนานมาจากปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น ก็สมชื่อแล้วกับที่เป็นพระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง เพราะเป็นอนุสรน์แห่งความรักและความหวังขององค์ธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 นั่นเอง เอาล่ะผมจะพาย้อนสู่อดีตกาลเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมพระราชวังฤดูร้อนที่ครั้งหนึ่งเคยมีข้าราชบริพารทั้งฝ่ายในและฝ่ายหน้าต่างเดินกันไป-มาขวักไขว่ในห้วงเวลาที่ย้อนกลับไปเกือบร้อยปี ความงดงามอ่อนช้อยแห่งสถาปัตยกรรมแห่งนี้ที่ยังคงรักษาไว้ให้คนไทยรุ่นหลังได้ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ไทยที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุด

จากตรงนี้ผมขอเล่าเรื่องด้วยแคปชั่นใต้ภาพดีกว่า เพื่ออรรถรสในการรับชมที่จะได้ไม่ต้องสะดุดขาดตอนจากสำนวนเชยๆ ของผม(ฮ่าๆๆ ..)


อ่านประวัติของพระราชนิเวศน์ฯ กันสักหน่อย .. เอาไว้ประดับความรู้ครับ ..


จัดนิทรรศการกันอยู่ .. มาถึงทั้งทีมีหรือที่ผมจะพลาด .. ต้องขอเข้าไปดูสักหน่อยล่ะ..


พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในพระอิริยาบทต่างๆ ..


ห้องจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ..


ทรงพระเจริญ … /| …


ออกมาเดินกินลม(ทะเล)ชมวังกันสักหน่อย ..


นั่งเหงาๆ กับตัวเราคนเดียว .. / สวนสวยที่จัดเอาไว้อย่างงดงาม แต่ละสวนมีชื่อต่างๆ กันนะครับ .. คลิ๊กเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม


วันที่ผมไป .. ศาลาลงสรงกำลังปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ เลยพลาดโอกาสเข้าไปชมเลย ..


ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง .. เหมือนได้ย้อนไปอยู่ในอดีตจริงๆ ..


ปิดไว้ไม่ให้ขึ้น .. ถ้าจะขึ้นต้องเอาแจ้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านในก่อนครับ เพราะพระที่นั่งแต่ละองค์มีอายุร่วมร้อยปี เพื่อความปลอดภัยของตัวอาคาร, สิ่งก่อสร้างและตัวนักท่องเที่ยวเอง เจ้าหน้าที่จึงจัดให้ขึ้นชมได้เป็นรอบโดยจำกัดจำนวนคนที่จะขึ้นไปชมด้วย .. / สุดทางคือศาลาลงสรง ที่ตั้งอยู่บนชายหาดเลยครับ ..


หากมีความประสงค์จะขึ้นชมบนตัวพระที่นั่ง .. ต้องรับบัตรคิวและขึ้นเป็นรอบๆ ไปครับ และที่สำคัญห้ามถ่ายภาพด้านบนพระที่นั่งโดยเด็ดขาด กรุณาให้ความร่วมมือกันด้วยนะครับ


เดินต่อไปยังศาลาลงสรงไม่ได้ .. ทางนี้ปิดปรับปรุง .. / จุดคืนถุงสำหรับใส่รองเท้าที่เค้าจะแจกให้ใส่รองเท้าของเราแล้วสะพายติดตัวไปด้วย เพราะทางขึ้นกับทางลงจะเป็นคนละทางกัน


พระที่นั่งทั้งสามของพระราชนิเวศน์ครับ .. อยากรู้ไม๊ว่าชื่ออะไรบ้าง? .. คลิ๊กตามไปอ่านกันเลยครับ ..


บริเวณอาคารที่จัดนิทรรศการ .. / สงบ ร่มรื่น สบายตาสบายใจจริงๆ  ..

ผมออกจากพระราชนิเวศน์ราวๆ บ่ายสามโมงเศษๆ เพราะต้องใช้เวลาเดินกลับออกมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง พร้อมกับเมฆฝนที่ตั้งเค้าดำทมึน ลอยต่ำอยู่เรี่ยๆ ยอดไม้ ผมเดินมาจนเหลืออีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงทางออก ก็ต้องเปลี่ยนจากเดินเรื่อยๆ มาเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะลมฝนเริ่มพัดแรงขึ้นราวกับพายุกำลังจะเข้า จนกระทั่งถึงสามร้อยเมตรสุดท้ายก็กลายเป็นวิ่งอย่างทุลักทุเล สะพายเป้หนึ่งใบกระเป๋ากล้องอีกหนึ่งใบสับขาอย่างเต็มกำลังฝ่าสายฝนที่เริ่มลงเม็ดหนักขึ้นอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

จุดหมายคือศาลาสองหลังทางขวามือติดกับทางออก กว่าจะวิ่งไปถึงก็เล่นเอาเปียกมะล่อกมะแล่กไปตามๆ กัน ลมก็ช่างพัดรุนแรงเสียเหลือเกิน พาเอาสายฝนสาดโครมๆ เข้ามาในศาลาจนแทบจะไม่เหลือที่แห้งตรงไหนอีกแล้ว ผมนั่งกอดกระเป๋ากล้องที่ถูกคลุมด้วยถุงพลาสติกของ 7-11 สองใบไว้ทั้งบน-ล่างแล้วผูกให้แน่น จากนั้นก็มีสองหนุ่มชาวต่างชาติคาดว่าเป็นนักท่องเที่ยวขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากด้านในเข้ามาหลบฝนที่ศาลาด้วยเหมือนกัน

ผ่านไปราวๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงฝนถึงเริ่มซาเม็ดลง การเดินทางของผมจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ถึงเวลาต้องบอกลาพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ทิ้งอดีตที่แสนเศร้าเอาไว้เบื้องหลังให้ยังคงเป็นตำนานแห่งความรักและความหวังที่เหลือไว้เพียงทรงจำให้เล่าขานกันสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

ยังเหลืออีกหนึ่งที่หมาย ขออนุญาตยกไปโพสหน้าก็แล้วกัน ผมจะพาทุกท่านกลับสู่ปัจจุบันกับที่เที่ยวสุดชิคของหัวหินที่ทุกคนต้องรู้จักกันครับ

คลิ๊กเพื่อชมภาพของทริปนี้ครับ

เก็บตกของแถม .. เอาไว้เป็นความรู้ครับ  ..

มฤค, มฤค- [มะรึก, มะรึกคะ-] น. สัตว์ป่ามีกวาง อีเก้ง เป็นต้น, ถ้าเป็นตัวเมีย ใช้ว่า มฤคี. (ส.; ป. มิค).

เขียนโดย : Tombass
เขียนเมื่อ : วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2558 เวลา 4:31น.




Create Date : 12 พฤษภาคม 2558
Last Update : 16 พฤษภาคม 2558 21:06:35 น. 3 comments
Counter : 1285 Pageviews.

 
ไม่ได้อ่านตอนที่แล้ว แต่มาอ่านตอนนี้ ทำบล็อกละเอียดดีค่ะ ชอบๆ

ทำไมไม่เคยอ่านบล็อกของจขบ.นี้เลยน้ออออ

ยังไงก็โหวตเป็นกำลังใจให้นะคะ โหวตหมวดท่องเที่ยวค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 พฤษภาคม 2558 เวลา:8:16:09 น.  

 
มาชมใหม่หลังจากที่ครั้งหลังสุดที่ได้ไปก็ 15 + ปีมั่งคะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 12 พฤษภาคม 2558 เวลา:21:41:10 น.  

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 13 พฤษภาคม 2558 เวลา:2:24:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tombass
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






You're visitor No.
HTML Counter


Tombass's Bloggang Counter



Welcome to my HOMEPAGE




ไปเที่ยวชมบนเวบบอร์ดครับ ..


http://11maysa.eu5.org



คุณสามารถเข้าชมรูปภาพในบล็อคนี้ได้ที่
G+ Picasa
Photo Bucket



กี่โมงแล้วล่ะเนี่ยะ ..?





ราคาน้ำมันวันนี้ .. by PTT




About me :





Do you hear me? I'm talking to you
Across the water across the deep blue ocean
Under the open sky, oh my, baby I'm trying

Boy I hear you in my dreams
I feel your whisper across the sea
I keep you with me in my heart
You make it easier when life gets hard

I'm lucky I'm in love with my best friend
Lucky to have been where I have been
Lucky to be coming home again
Ooh ooh ooh

They don't know how long it takes
Waiting for a love like this
Every time we say goodbye
I wish we had one more kiss
I'll wait for you I promise you, I will

I'm lucky I'm in love with my best friend
Lucky to have been where I have been
Lucky to be coming home again

Lucky we're in love in every way
Lucky to have stayed where we have stayed
Lucky to be coming home someday

And so I'm sailing through the sea
To an island where we'll meet
You'll hear the music fill the air
I'll put a flower in your hair

Though the breezes through trees
Move so pretty you're all I see
As the world keeps spinning 'round
You hold me right here, right now

I'm lucky I'm in love with my best friend
Lucky to have been where I have been
Lucky to be coming home again

I'm lucky we're in love in every way
Lucky to have stayed where we have stayed
Lucky to be coming home someday

Ooh ooh ooh
Ooh ooh ooh, ooh

Title : Lucky
Artist : Jason Mraz & Colbie Caillat
Friends' blogs
[Add tombass's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.