“Star Trek Into Darkness” นำพาให้ทีมผู้สร้างต้องใช้ทักษะในการสร้างดาวเคราะห์ ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก มากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างนิบิรู ดาวเคราะห์ภูเขาไฟสีแดง ที่เปิดภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยซีเควนซ์แอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจ และในการสร้างโครนอส ดาวบ้านเกิดของชาวคลิงกอน ที่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสงคราม “ไม่มีอะไรจะน่าตื่นเต้นหรือสนุกอย่างเหลือเชื่อสำหรับทีมผู้สร้างมากกว่าการสร้างดาวอื่นๆ อีกแล้วล่ะครับ” สก็อต แชมบ์ลิสผู้ออกแบบงานสร้างยอมรับ “คุณจะมีโอกาสที่หาได้ยากในการสร้างสิ่งที่สมจริงอย่างไม่อาจจินตนาการได้ขึ้นมาครับ” สำหรับฉากแรกๆ ของเรื่องบน ดาวนิบิรู ซึ่งอุดมสมบูรณ์ แต่ล้าหลังด้านเทคโนโลยี แชมบ์ลิสสนุกสนานอย่างยิ่งในการจินตนาการอารยธรรมสไตล์เกาะขึ้นมา “สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับ Star Trek คือการทำงานกับสิ่งแวดล้อมที่ย้อนแย้งกันมากมาย” เขากล่าว
นิบิรูแตกต่างกับดาวคลิงกอนอย่างสุดขั้ว และดวงดาวทั้งสองก็แตกต่างจากโลกโดยสิ้นเชิง ทุกคนอยากให้ดาวเคราะห์ที่เป็นเกาะนี้มีบรรยากาศที่เย้ายวน และสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้จากการเดินทางไปฮาวายคือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘ไม้ไผ่ลิปสติก’ ซึ่งมีแดงเข้ม และงดงามเกินบรรยาย มันก็เลยทำให้ผมนึกว่า ถ้าดาวดวงนี้เต็มไปด้วยสีแดงล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่วิเศษสุด หากผสมผสานมันด้วยสีฟ้าน้ำทะเลและทรายสีขาว ไม่เพียงแต่มันจะเป็นแถบสีที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่มันก็มีกลิ่นไอเรโทร ซึ่งเรายอมรับด้วยการเล่าเรื่อง Star Trek ของเรา แล้วเราก็พัฒนาบรรยากาศทางวัฒนธรรมขึ้นมาห้อมล้อมมันน่ะครับ”
ผู้ควบคุมงานสร้าง เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ กล่าวเสริมว่า “บางครั้ง ความท้าทายของนิบิรูก็ท่วมท้นเลยครับ ไม่เพียงแต่ฉากและการถ่ายทำจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่เราต้องสร้างคนทั้งเผ่า ซึ่งเราต้องใช้เวลาคิดอยู่หลายเดือน หนังหลายเรื่องอาจจะแค่พูดว่า เราจะทำมันด้วย CG แต่เจ.เจ.อยากจะเนรมิตชีวิตให้กับดาวดวงนี้ต่อหน้ากล้องจริงๆ เราก็เลยเริ่มออกแบบชาวนิบิรูของเรา ซึ่งเราใช้เวลานานมกกว่าจะคิดลุคของพวกเขาออกมาได้ ด้วยการร่วมงานกับเนวิลล์ เพจ ผู้ออกแบบสิ่งมีชีวิตของเรา, เดวิด แอนเดอร์สัน ผู้ออกแบบเมคอัพสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ของเราและไมเคิล แคปแลน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายไงครับ”
สิ่งที่ท้าทายไม่แพ้กันคือ ดาวโครนอส และอีกครั้งหนึ่งที่อับรามส์ให้อิสระกับแชมบ์ลิสอย่างเต็มที่ในการถ่ายทอดสังคมนักรบของชาวคลิงกอนออกมาในแบบฉบับของเขาเอง “ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ.เจ.อยากให้โครนอสเป็นสนามเด็กเล่นที่น่าอัศจรรย์ แต่การที่สนามเด็กเล่นนั้นจะออกมาเป็นยังไงก็ต้องอาศัยการทดลองวิธีต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าครับ” แชมบ์ลิสเล่า “โครนอสมีวัฒนธรรมของการรบพุ่งกัน เราก็เลยคิดว่ามันคงจะน่าสนใจที่ได้แสดงถึงส่วนหนึ่งของดาวดวงนั้นที่เป็นเหมือนทุ่งร้างที่เต็มไปด้วยสารพิษ เหมือนสิ่งที่คุณจะได้เห็นหลังระเบิดนิวเคลียร์หรือหายนะทางสิ่งแวดล้อม และก็ต่อยอดจากตรงนั้นเพิ่มเติมครับ”
เขาพบแรงบันดาลใจในโลเกชันที่ไม่ธรรมดาเลย “ผมพบภาพถ่ายของสวนน้ำร้างในรัสเซีย มันเป็นสถานที่กว้างใหญ่จากยุค 50s หรือ 60s ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม มันก็เลยให้ความรู้สึกที่น่าขนลุก ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับลุคที่เราต้องการจริงๆ ครับ” แชมบ์ลิสอธิบาย
ฉากขนาด 40,000 ฟุตถูกสร้างขึ้นบนซาวน์สเตจขนาดใหญ่ “สเกลมันมหึมาเลยครับ” ทอมมี ฮาร์เปอร์กล่าว
เจ.เจ.อยากจะทำหลายอย่างต่อหน้ากล้อง ไม่ให้มันเป็นโลกดิจิตอลเท่านั้น เราอยู่ภายใต้ภาวะตึงเครียด แต่เราก็ทำมันได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงผนังแสงสว่างวาบ ที่เป็นเหมือนตัวละครในฉากนี้ครับ มันเป็นหนึ่งในฉากที่คุณจะจดจำได้ และแค่ได้ไปถึงโครนอสก็น่าตื่นเต้นแล้วครับ!”
นอกเหนือจากการเนรมิตชีวิตที่เจิดจ้าให้กับโครนอสแล้ว แชมบ์ลิสก็มีโอกาสได้ออกแบบภายในของยานต่อสู้ของคลิงกอน “มันสนุกจริงๆ ที่ได้สร้างเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมให้กับยานลำนี้ มันเป็นยานสามที่นั่ง เราก็เลยตัดสินใจว่าทั้งสามที่นั่งนี้จะหันหน้าไปคนละทาง มันเป็นพื้นที่ที่แคบและสลับซับซ้อนจริงๆ ซึ่งเราก็รักความท้าทายแบบนั้น พวกเราทุกคนต่างก็ปีนป่ายไปด้านใน ซึ่งหัวเราชนกันแถมข้าวของก็ถูกปัดตกระเกะระกะไปหมด และเราก็คิดกันว่า ‘มันสวยมากเลยแต่น่าจะถ่ายทำฉากยากมากแน่ๆ’ แล้วเจ.เจ.ก็เข้ามา และทำให้พื้นที่นี้เวิร์คสำหรับกล้อง ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมากครับ”
สำหรับชาวคลิงกอนเอง อับรามส์อธิบายว่า
เราโชคดีมากที่ได้เนวิลล์ เพจ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสิ่งมีชีวิตที่วิเศษสุด และเดวิด แอนเดอร์สัน ผู้เป็นศิลปินเมคอัพและสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ มาทำงานร่วมกันเพื่อเนรมิตชีวิตให้กับชาวคลิงกอน เราได้เลือกนักแสดงที่วิเศษสุดหลายคนมารับบทต่างๆ และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างน่าทึ่ง และเช่นเดียวกับแบบดีไซน์ของยานเอนเตอร์ไพรซ์ ชาวคลิงกอนในหนังเรื่องนี้ก็เป็นการแสดงคารวะต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รวมถึงชาวคลิงกอนต้นฉบับด้วยน่ะครับ”