|
||||||
ลู่หมินซีรีส์ The Writer 3 / sink 3.5 (จมรัก) คุณแม่ยังสาวนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะข้างสระน้ำด้านในสุด มองลูกชายตัวกลมที่เอาแต่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ขอบสระ ไม่แม้แต่จะห้อยขาลงไปในน้ำด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ถัดไปที่ขอบสระด้านยาวมีเด็กๆวัยไล่เลี่ยกับมินจุนกลุ่มเล็กๆตีขาพุ่ยน้ำกันอย่างสนุกสนาน มีแม่ๆถ่ายรูปถ่ายคลิปด้วยสีหน้าคึกคักยิ่งกว่าลูกๆซะอีก ซอลมีถึงกับถอนหายใจออกมาแบบเสียงดัง คุณครูผู้ช่วยที่หันมาพอดีส่งยิ้มให้แล้วเดินมาหา แม่ของเด็กขี้กลัวเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไป " ไม่เป็นไรนะครับคุณแม่ อย่างน้อยน้องมินจุนก็กล้าเข้าใกล้น้ำมากกว่าเมื่อวานนะครับ" มันก็จริงอย่างที่ครูผู้ช่วยบอก เพราะเมื่อวานซึ่งเป็นวันแรกที่ซอลมีเข็นลูกชายมาสระว่ายน้ำได้หลังจากที่ตัวเองมาแอบสมัครไว้เมื่อเดือนก่อน มินจุนไม่ยอมเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำด้วยซ้ำ ได้แต่นั่งจุมปุ๊กอยู่กับเธอมองเด็กคนอื่นเล่นน้ำกัน "ค่ะครู อย่างน้อยวันนี้ก็ยอมนั่งริมสระได้" พูดพลางพยายามปรับรอยยิ้มให้สดใสขึ้น "วันธรรมดาหลังเลิกเรียนคุณแม่พาน้องมาสระได้นะครับ ทางเรามีสอนเด็กๆทุกวันอยู่แล้ว มาบ่อยๆให้น้องคุ้นเคยจะได้ปรับตัวได้เร็วขึ้น" "ขอบคุณครูมากเลยค่ะ ซอลมีพาลูกกลับบ้านก่อนเวลาเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้เด็กน้อยไม่ได้อ้อนต่อรองเอาของเล่น เธอเลยพอจะมีความหวังมากขึ้น หลังจากเข้าไปนั่งในรถแล้ว คนที่เดินผ่านหน้าไปก็ทำให้เธอรีบเปิดประตูรถออกมายืนยิ้มแฉ่ง "คุณลู่หานคะ" ชายหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบก้าวเท้ายาวๆข้ามฝั่งลานจอดรถที่จอดมอเตอร์ไซด์ไว้ "มาที่สระเหรอคะ" "ครับ มาหาเพื่อนน่ะครับ" "แล้วคุณซอลมี..." หญิงสาวชี้ๆเข้าไปในรถ ลู่หานเลยก้มตัวลงมองตามตรงตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ "เพิ่งพามาเรียนค่ะ วันนี้เป็นครั้งที่สอง" "อ้าว งั้นพอดีเลยครับเพื่อนผมเป็นเจ้าของสระ แล้วยังไงจะบอกให้นะครับ เผื่อลงคอร์สใหม่จะได้ไม่ต้องเสียค่าเรียน" "อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ ให้มินจุนเรียนไปตามปกติดีกว่าเพราะคงต้องลงคอร์สพื้นฐานซ้ำหลายครั้งเลย...แกไม่ค่อยชอบน้ำ...ว่ายน้ำน่ะค่ะ" "ถ้าอย่างงั้นผมจะบอกให้ครูช่วยดูให้เป็นพิเศษนะครับ" "งั้นก็ขอบคุณมากเลยค่ะ" "ไม่เป็นไรครับ" ลู่หานมองเด็กในรถยิ้มๆก่อนโบกมือให้ เด็กน้อยโบกตอบแต่ไม่มีรอยยิ้มอย่างเคย "ท่าทางจะไม่ชอบว่ายน้ำจริงๆ" ลู่หานหันมาพูดขำๆก่อนต่างคนต่างจะขอตัวแยกย้ายกันไป ซอลมีเข้ามาในรถได้ก็ถึงกับเป่าปาก โล่งใจที่ตัวเองไม่เผลอพูดอะไรมีพิรุธออกไป เธอมองโทรศัพท์อยู่นานแต่แล้วก็เปลี่ยนใจสตาร์ทรถ
................................................ เป็นคืนวันอาทิตย์ที่ปกติมินซอกจะกลับไปนอนบ้าน แต่เขาก็บอกกับแม่ไปว่าจะขออยู่ร้านลองทำขนมปังสูตรใหม่ ได้ยุนกิอาสาเดินไปส่งแม่ที่บ้านคนเป็นลูกเลยไม่มีอะไรต้องห่วง....ห่วงแต่ตัวเองนี่แหละ ตั้งท่าจะโทรนัดลู่หานมาหลายวันแล้วยังไม่สำเร็จซะที อีกสองวันก็ครบอาทิตย์แล้ว ถ้าเขาไม่รีบจัดการซอลมีคงมาจัดการซะเองตามที่ขู่ไว้แน่ๆ มินซอกสัญญากับตัวเองว่าต้องโทรนัดลู่หานให้สำเร็จในคืนนี้ เขารีบเก็บของและทำความสะอาดอีกเล็กๆน้อยๆจนความเนี้ยบของร้านอยู่ในระดับที่ตัวเองพอใจ แล้วจึงเดินมาเช็คประตูหน้าว่าล็อคดีรึยัง ตอนที่กำลังดึงม่านบังตาลงใครบางคนก็มายืนประจันหน้าเขา มีเพียงกระจกใสของบานประตูกั้นเอาไว้ มินซอกยกมือค้างอยู่อย่างนั้น คนอีกด้านก็เอาแต่มองนิ่ง นานทีเดียวกว่าจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแล้วยกมือโบกช้าๆ มินซอกถึงได้สติกลับมา ประตูถูกปลดล็อค คนที่อยู่ด้านในดึงที่จับเข้าหาตัว เปิดพื้นที่ให้คนด้านนอกได้เข้ามาในอาณาเขตของตัวเอง ลู่หานจับมือที่ยังค้างอยู่ตรงที่จับประตูดึงมากุมไว้ด้วยสองมือ แล้วต่างก็นิ่งกันไปอีก "คิดถึงจังเลยครับ" ความอุ่นที่มือเข้ามาอุ่นอยู่ในใจตั้งนานแล้ว คำพูดแสนอ่อนหวานยังตามมาเป็นกำลังหนุน...ตรงอกที่มันแน่นไปหมดเหมือนจะระเบิดออกมาแต่ก็เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาก่อน
น้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆแต่ระงมไปด้วยความรู้สึกมากมายสับสนปนเป ลู่หานคลายมือข้างหนึ่งมาประคองแก้มอูมเอาไว้ แล้วเอานิ้วโป้งปาดน้ำตาเบาๆ สีหน้าที่ดูหม่นเศร้าจนอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นตอนที่ขาดการติดต่อกันไปในระยะสั้นๆ "มีอะไรรึเปล่าครับ" มินซอกส่ายหน้า ยังพูดไม่ออกแม้ว่าจะเตรียมคิดประโยคที่จะเอาไว้พูดกับลู่หานและท่องจำจนขึ้นใจแล้ว แต่พอเจอหน้ากันจริงๆแล้วยังกระทันหันแบบนี้ สมองมันเบลอไปหมดเหลือแต่ความทุกข์ที่มันหนักอึ้งอยู่ในอก "ผม..." จังหวะอ้ำอึ้งถูกขัดด้วยแรงดึงที่ข้อมือให้เดินตามมาด้านในตรงเค้าท์เตอร์ซิ้งค์ ลู่หานวางมือไว้ที่เอวคอดช่วยยกตัวส่งให้ขึ้นนั่งตรงที่ประจำ เสร็จแล้วถึงจัดการให้ตัวเองได้อยู่ตรงที่ประจำของตัวเองเช่นกัน ทุกอย่างดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มินซอกจึงเริ่มพูดไม่ใช่ในแบบที่เตรียมไว้ แต่ในแบบที่ตรงกับความรู้สึกในตอนนี้มากที่สุด "ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ แต่ไม่กล้าโทรไปหา" "ผมเองก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้โทรหาคุณเลย แต่ตอนนี้ผมอยู่นี่แล้ว คุณคุยกับผมได้ทุกเรื่องเลยนะ" มินซอกพยักหน้า หันมามองคนที่มองอยู่ตลอด "มีบางเรื่องที่ผมเองก็เพิ่งรู้ เป็นเรื่องที่อาจทำให้อะไรๆเปลี่ยนไปในแบบที่ผมไม่ต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากจะพูด...เรื่องของคุณดงจู..." มินซอกเว้นจังหวะ แต่ไม่ได้หลบตาแบบที่เคย "คุณจำเด็กที่ชื่อฮยองมินได้ใช่มั๊ย" "ครับ" "ฮยองมิน...คือมินจุนหลานผมเอง...ผมเสียใจ...ผม..." ในที่สุดมินซอกบังคับตัวเองให้สบตาลู่หานต่อไม่ได้....เขากลัว...กลัวว่าสายตาที่อ่อนโยนเสมอของลู่หานจะเปลี่ยนไป รู้ตัวอีกทีมืออุ่นๆก็แนบอยู่ตรงแก้มแล้ว ขอบตาร้อนพยายามประคองไม่ให้น้ำที่เอ่ออยู่ไหลออกมา ในขณะที่เจ้าของมือค่อยๆแทรกตัวดันหัวเข่าของเขาให้เปิดออกจนร่างกายแนบชิดกัน มินซอกหลับตาแล้วริมฝีปากของอีกฝ่ายก็กดแนบลงไปแทบจะในทันที สัมผัสอบอุ่นที่ได้รับทำให้รู้อยู่ลึกๆว่า เรื่องร้ายๆที่คิดไปก่อนมันเป็นการคิดมากจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดในใจก็ไม่ได้คลายลงนัก "ผม...ขอโทษแทนครอบครัวด้วยที่ดูแลมินจุนไม่ดี ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ทำให้คุณดงจู..." ลู่หานเอามือยันขอบเคาท์เตอร์ไว้ทั้งสองข้างไม่ห่างจากต้นขาของคนนั่ง ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่แขนและไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้าเลย เขาเองก็ตกใจแต่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ความทุกข์ไม่ควรถูกส่งต่ออย่างไม่จบสิ้นมันเป็นสิ่งที่ควรทำให้จบเร็วที่สุด "ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆผมปิดตัวเองไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะความโกรธและเสียใจ แต่พอเริ่มทำใจได้ผมก็คุยกับครอบครัวดงจูทุกคนไม่มีใครติดใจโกรธเคืองอะไรเลย ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ" ลู่หานพูดอย่างระมัดระวังทั้งถ้อยคำและน้ำเสียง "แต่..." "ผมรักดงจูมากๆครับ..และที่ผ่านมาผมก็ทุกข์ทรมานมากด้วย..." มินซอกเบือนหน้าแต่ลู่หานก็เชยคางให้หันกลับมา "คุณมองผมซิ" แต่เด็กดื้อยังคงหลุบตาต่ำ "คุณลองมองผมในตอนนี้" เสียงทุ้มเนิบช้าลงกว่าเดิม "ผมในตอนนี้ดูเป็นคนที่ทุกข์ทรมานรึเปล่า" มินซอกเหลือบตามองแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ "ผมเลือกที่จะจดจำแต่เรื่องราวดีๆระหว่างเรา เขาคือของขวัญที่สวยงามในชีวิตที่ผมจะเก็บรักษาไว้อย่างดี และในตอนนี้ผมก็เลือกที่จะรักคุณและรู้สึกขอบคุณทุกๆอย่างในชีวิตที่ทำให้ผมได้มาเจอคุณอีกครั้ง" "ลู่หาน..." "อาจจะดูเป็นคนโลภมากไปซักหน่อย แต่ผมอยากได้ของขวัญอีก ของขวัญที่ผมสามารถเปิดออกมาชื่นชมและมีความสุขได้ทุกวัน... ...มินซอกจะเป็นของขวัญของลู่หานได้มั๊ยครับ" แก้มที่แดงจัดขึ้นมาเป็นคำตอบที่ดีให้กับลู่หานอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงมองนิ่งรอคำตอบจากปากอิ่มที่ยังเม้มแน่น "ผม..เป็นของขวัญของคุณ ลู่หาน" "ขอบคุณนะครับ" ริมฝีปากที่เคลื่อนเข้ากัน สัมผัสและตอบสนองอย่างรวดเร็ว ด้วยความโหยหาในช่วงเวลาสั้นๆที่ห่างเหิน สองมือที่ยันเคาท์เตอร์เปลี่ยนมาจับที่เอวคอดแล้วดันร่างเล็กให้แนบชิดเข้ามาอีก ปลายนิ้วที่อุณหภูมิต่ำกว่าผิวเนื้อในร่มผ้าสอดเข้าที่ชายเสื้อไล้สัมผัสแผ่นหลังทำเอาเจ้าของผิวเนื้อเนียนสะดุ้ง พอเปลี่ยนจากแค่ปลายนิ้วเป็นลงน้ำหนักทั้งฝ่ามือเพื่อรับความอุ่นจากแผ่นหลังจนอยู่ในอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกันและค่อยๆร้อนขึ้น ฝ่ามือของลู่หานก็กลายเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้ร่างเล็กต้องเหยียดหลังตรงเพื่อเลี่ยงสัมผัสที่เกินรับในบางจังหวะ แต่ก็ยิ่งทำให้ร่างกายด้านหน้ายิ่งแนบชิด ริมฝีปากที่บดเค้นดูดคลายในจังหวะเร่งเร้ามากขึ้นทำให้สองขาที่ห้อยอยู่เกร็งขึ้นเรื่อยๆ จากที่กดน้ำหนักดันกับบานตู้เคาท์เตอร์ไว้ ก็เปลี่ยนมารัดตรึงสะโพกของคนที่ยืนอยู่ ลู่หานเหมือนคนหิวโซที่ตะกรุมตะกรามกินอาหารมือใหญ่จากเชฟมือหนึ่ง จนมินซอกมีเสียงครางดังออกมาแบบคนที่พยายามกลั้นเต็มที่แล้ว มือที่บีบไหล่เกร็งแน่นและพยายามดันออกแรงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเข้าใจปฎิกิริยาของอีกฝ่ายดี แม้ว่ายังรู้สึกโหยหาไม่เต็มอิ่มแต่เขาก็ค่อยๆคลายริมฝีปากก่อนจะพรูลมหายใจออกมาช้าๆ "ผม...ผม" "ไม่เป็นไรครับ ผมขอโทษที่เอาแต่ใจไปหน่อย" มินซอกไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์แบบนี้เขาควรจะทำตัวยังไง ทุกสัมผัสของลู่หานดูจะกระตุ้นอารมณ์ในส่วนลึกที่เขาไม่เคยคุ้นและสัมผัสมาก่อน มันมีทั้งความกลัวความประหม่าผสมปนเปอยู่ในความสุข แต่ลู่หานกลับมีท่าทีสบายๆ แล้วพยายามทำให้มินซอกผ่อนคลายขึ้น เขาวางนิ้วชี้ลงที่ปลายจมูกมนแตะเบาๆสองสามทีจนคนขี้กังวลยิ้มออกมา "ขอบคุณนะครับ" ปลายเสียงขาดหายไปเพราะเจ้าตัวโผกอดลู่หานไว้แน่น ซุกหน้าไว้ที่ซอกคอก่อนยกขึ้นแล้วเกยคางไว้กับไหล่เมื่อได้รับการกอดตอบ แล้วจู่ๆลู่หานก็โดนดันตัวออกอีกครั้ง มินซอกก้มหน้าก้มตาล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยิ้มออกมาเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เขาแบมือตรงหน้าคนที่ยกคิ้วงงๆ "อะไรครับ" มินซอกไม่ตอบ ค่อยๆแกะห่อกระดาษออก ลู่หานมองสิ่งที่อยู่ในอุ้งมืออูมๆด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายสงสัย "มินจุนได้รางวัลขวัญใจตอนประกวดเล่านิทานที่โรงเรียน เขาชอบเข็มกลัดอันนี้มาก แต่กลับให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด แล้วบอกว่า....ให้ผมเอาไว้ให้คนที่เป็นขวัญใจ" มินซอกบรรจงกลัดเข็มกลัดที่เสื้อยืดสีขาวตรงบริเวณอกซ้าย แล้วเอามือวางทาบตามลงไป พอรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจก็ยิ้มออกมา "มินซอกเป็นของขวัญของลู่หาน...ลู่หานเป็นขวัญใจของมินซอก"
มีแต่เสียงของบรรยากาศประกอบรอยยิ้มของคนสองคนและสายตาที่มองกันและกัน สวยงามยิ่งกว่าเพลงรักทุกเพลง ................................................ เด็กชายมินจุนที่คุยจ้อมาตลอดทาง พอรถจอดสีหน้าก็เปลี่ยนทันที เจ้าตัวกอดอก บุ้ยปากขมวดคิ้วแน่น ผู้ใหญ่สามคนในรถมองกันไปมาเหมือนดูท่าทีว่าใครจะเป็นฝ่ายเปิดเรื่องก่อน ลู่หานที่นั่งอยู่ด้านหลังกับเด็กน้อยพยักหน้าให้สัญญาณ มินซอกกับซอลมีเลยหยักหน้ากลับเป็นอันเข้าใจกัน "มินจุนรู้มั๊ยครับว่าทำไมลุงอยากมาหัดว่ายน้ำกับมินจุน" เด็กน้อยไม่ตอบแต่ก็มีท่าทีว่าตั้งใจรอฟัง "เพราะว่าตอนลุงหกขวบ ลุงเลี้ยงลูกแมวน่ารักมากๆ ขนนุ่มนิ่มตัวก็อ้วนกลมป๊อกเลย มีอยู่วันหนึ่งลุงพามันมาเดินเล่นแล้วมันพลัดตกน้ำ....ลุงตกใจมากแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะว่ายน้ำไม่เป็น จริงๆมีคนอยู่แถวนั้นตั้งหลายคนก็ช่วยลูกแมวของลุงไม่ได้เพราะว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน" "ลูกแมวตายป่าวคับ" มินจุนถามหน้าเครียด ลู่หานรีบพยักหน้าพร้อมตีหน้าเศร้า เอามือกุมขมับทำเสียงเครือเพิ่มความดราม่า "ลุงเสียใจมากเพราะเป็นลูกแมวที่คุณแม่ซื้อให้วันเกิด ถ้าลุงว่ายน้ำเป็นลูกแมวก็คง....คงไม่ตาย" นักเขียนที่สวมบทบาทเป็นนักแสดงชั่วคราวทำจมูกย่น เอามือดึงคอเสื้อขึ้นซับหัวตา "แต่มินจุนไม่ได้เลี้ยงแมว ก็ไม่เห็นต้องหัดว่ายน้ำเลย" เด็กน้อยเสียงอ่อย "แต่ถ้าเราว่ายน้ำเป็น เราก็สามารถช่วยคนอื่นได้ อย่างวันนั้นถ้ามีคนว่ายน้ำเป็นอาจจะช่วยเจ้าลูกแมวที่น่าสงสารให้ไม่จมน้ำตาย" มินจุนเม้มปากทำท่าคิดหนัก ลู่หานเลยรีบเดินเรื่องต่อ "ลุงอยากได้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างพวกซุปเปอร์ฮีโร่ มันต้องเท่มากแน่ๆ ลุงก็เลยอยากหัดว่ายน้ำไงครับ" ลู่หานเชิดหน้ากำหมัดแน่นแล้วเอามาทุบอกตัวเองรัวๆ ถึงช็อตนี้ซอลมีกับมินซอกรีบหันหน้ากลับ เพราะกำลังจะกลั้นขำกันไม่ไหวแล้ว มินซอกพยายามลูบหน้าตัวเองส่วนซอลมีกำพวงมาลัยรถแน่น ทั้งคนเป็นแม่และคนเป็นลุงนั่งเกร็งกันอยู่นานจนได้ยินเสียงเล็กๆตอบกลับมา "มินจุนก็อยากเท่แบบซุปเปอร์ฮีโร่คับ" "งั้นเรามาร่วมมือกันหัดว่ายน้ำ แล้วก็เท่แบบซุปเปอร์ฮีโร่ด้วยกันนะครับ" ลู่หานยื่นกำปั้นตรงๆไปหา เด็กน้อยพยักหน้าแล้วยื่นกำปั้นอูมๆไปชน สองพี่น้องฝาแฝดเลยหันกลับไปเอากำปั้นไปชนบ้าง แล้วช่วยกันส่งเสียงเชียร์สร้างความฮึกเหิม ก่อนจะพากันลงจากลงด้วยความคึกคักสุดๆ พากันเดินสับขาซ้ายขวาซ้ายเรียงแถวแบบทหารโดยมีเด็กตัวกลมเดินนำไปจนถึงสระน้ำ .............................................................. มินซอกหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน มือขวาที่คลึงก้อนแป้งไปด้วยขณะคุยโทรศัพท์ยังคงทำหน้าที่จนแป้งก้อนสุดท้ายกลมเป็นทรงเดียวกับก้อนอื่นๆ พอยกถาดไปเข้าตู้พักแป้งแล้วเจ้าตัวก็หันหลังพิงตู้กอดอกคิดถึงเรื่องเรื่องการนัดหมายพบปะกินเหล้าของเดอะแก๊งที่เพิ่งรับปากจงอินไป เรื่องปกติของชีวิตที่จู่ๆก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะครั้งนี้เพื่อนรักบอกให้ชวนลู่หานไปด้วย มันจะเป็นการพบกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกของแก๊งเพื่อนรักกับผู้ชายที่เพิ่งกลายมาเป็นคนรักของเขา ............................................................. ช่วงปลายเดือนลูกค้าค่อนข้างบางตา จงอินนั่งรอเพื่อนอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมและกับแกล้มแบบเดิมๆ มินซอกโบกมือให้เพื่อนแล้วเดินมาที่โต๊ะ ปล่อยให้เพื่อนใหม่ทักทายกันตามมารยาทแล้วตัวเองถึงทรุดตัวลงนั่งตรงที่ประจำ ข้างๆจงอิน "ไอ้หมาล่ะ" "แม่งชิ่ง" "อ้าว" "มันยังตัดต่องานไม่เสร็จเลย ลูกค้าจะขอดูพรุ่งนี้เช้าแล้ว" มินซอกพยักหน้าพลางยกแก้วที่เพื่อนเพิ่งรินเครื่องดื่มให้ยื่นไปข้างหน้าเป็นเชิงชวนให้คนนั่งตรงข้ามดื่มด้วย "แบคฮยอนมันฝากสวัดดีคุณลู่หานด้วยนะครับ" "ครับ..ขอบคุณมากครับ" ลู่หานยิ้มแม้ว่าอีกฝ่ายจะหน้านิ่ง จงอินหันมาสนใจคนนั่งข้างๆทันที เหมือนกับว่าตัวเองทำหน้าที่ตามมารยาทกับผู้มาใหม่จบไปแล้ว "วันนี้ป้าจูบอกเห็ดหวานไม่มีนะมึง ลูกป้าแกไม่อยู่ทำของแกล้มคนเดียวได้ไม่กี่อย่าง เมาแล้วอย่าเสือกงอแงนะ" เขาพูดพลางเอานิ้วจิ้มๆที่ขมับคนหัวกลม "ไม่มีกูก็ไม่กิน เห็ดหวานแค่นี้กูจะงอแงหาป๊ะมึงเหรอ กูไม่ใช่เด็กๆนะ" "คราวที่แล้วก็ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลเลอะเสื้อใหม่กู ไม่เด็กเลยมึงเนี่ย" "มึงอย่ามามั่ว" มินซอกผลักหัวคนข้างๆเต็มแรง มีเสียงดังโป๊กตามมา เพราะหัวไปโขกกับผนังร้าน จงอินกุมหัวหน้าเหยเกแต่ก็แก้แค้นทันควัน มือใหญ่กางเต็มที่วางบนหน้าอีกคนแบบปิดมิดแล้วบีบเต็มแรง แต่อีกมือก็เอารองท้ายทอยคอยประคองไว้ เสียงอู้อี้ดังประท้วงไม่เป็นภาษา มือนึงพยายามแกะมือที่หน้าออกอีกมือก็ปัดป่ายพยายามทำร้ายกลับ ลู่หานมองยิ้มๆ คงจะบอกว่ารู้สึกสนุกไปด้วยไม่ได้แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไม่พอใจ มินซอกกลายมาเป็นตัวกลางในการพูดคุย เขาคุยกับเพื่อนรักทีกับคนรักที เพราะเพื่อนรักกับคนรักไม่ค่อยจะคุยกันตรงๆ แต่ทั้งคู่ก็พยายามในส่วนของตัวเองที่จะไม่ทำให้คนกลางต้องรู้สึกอึดอัดจนเกินไป "เกือบลืม เมื่อวานซอลมีโทรมาบอกว่ามินจุนว่ายท่ากบได้แล้วนะ" "จริงเหรอครับ ดีจัง เอาไว้อาทิตย์นี้ถ้าสัมภาษณ์หนังสือเสร็จเร็วผมจะไปสระด้วยนะ" มินซอกยิ้มกว้างพยักหน้ารัวๆจนผมหน้าม้ากระเพื่อม ลู่หานเลยอดไม่ได้ยื่นมือมาลูบหัวเบาๆ ทันทีที่มือถูกชักกลับไป อีกเสียงก็ดังขึ้นมา "แต่มึงก็ว่ายท่าแมวตะกุยทรายกลบขี้เก่งนี่ ทำไมไม่สอนหลานล่ะ" จงอินหมายถึงท่าลอยตัวในน้ำใช้มือกับเท้าพุ้ยน้ำเร็วๆให้ลอยตัวอยู่ได้ เป็นท่าที่มินซอกถนัดที่สุด เพราะแค่ท่าฟรีสไตล์ธรรมดาเขาว่ายได้ครึ่งสระก็สำลักน้ำแล้ว แก๊งเพื่อนเคยไปว่ายน้ำด้วยกันครั้งเดียวแต่จงอินจำมาล้อเขาจนถึงทุกวันนี้ "เสือก" มินซอกตอบกลับสั้นๆ จงอินหัวเราะชอบใจแล้วเย้าต่อ "แต่กูว่าตอนนี้มึงไม่ต้องพุ้ยน้ำแล้วล่ะ อยู่เฉยๆก็ลอยเพราะมีห่วงยางเป็นของตัวเอง" "กูมีพุงเพราะแดกเหล้ากับมึงนั่นแหละ" "ไม่ใช่ว่าแดกหนมปังทีทั้งโลฟเหรอ" "เรื่องของกู" "มันเรื่องของกูด้วย มึงอ้วนขึ้้นทุกวันแล้วเวลาเมาใครแบก กูนี่ หลังกูจะหัก" ขึ้นเสียงพลางชี้หน้าตัวเอง "ตัวยังกะหมีควายแค่นี้ทำบ่น มีหน้าที่ก็ทำไปเหอะมึงอะ" จงอินไม่เถียงต่อแต่ผลักหัวอีกคนเป็นเชิงรำคาญ แล้วหันมาคีบเห็ดหวานใส่จานแบ่งให้ ส่วนตัวเองก็คีบน่องไก่มาแทะ ลู่หานที่ได้แต่มองไปมองมา แต่พอไก่ชิ้นโตอยู่ในจานแบ่งตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มของคนที่คีบมาให้ หน้านิ่งๆก็ยิ้มตอบจนรอยย่นขึ้นเป็นขีดๆที่หางตา "กินเยอะๆนะไก่ตั้งครึ่งตัว คุณชอบตรงส่วนอกผมจำได้" "ขอบคุณครับ" มินซอกเริ่มโงนเงนก่อนใครแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะคออ่อน แต่เพราดื่มเยอะดื่มเร็วกว่าคนอื่นตลอด แล้ววันนี้จงอินก็ดื่มน้อยกว่าปกติด้วย ส่วนลู่หานเองก็จิบเบียร์ไปแค่นิดหน่อย หลังจากรั้งๆรอๆกันอยู่นานจนมินซอกเริ่มออกอาการมากขึ้นทุกที จงอินเลยเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนเพราะคุ้นเคยกับอาการของเพื่อนดี "กลับกันดีกว่า" เขาเอ่ยเสียงเรียบแล้วเดินไปจัดการค่าอาหาร ลู่หานได้แต่ยมือค้างจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว "ไว้ครั้งหน้าผมเลี้ยงบ้างนะครับ" เขารีบบอกทันทีที่จงอินเดินกลับมา อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆแล้วหันมามองคนที่ฟุบลงไปกับโต๊ะแล้ว "แบบนี้คือต้องอุ้มอย่างเดียวแล้วครับ" "ไม่เป็นไรครับ เดี่ยวผมจัดการเอง" ลู่หานรีบลุกมาประคองคนเมา ตั้งท่าจะให้อีกคนขึ้นหลังแบบที่เคยทำ "ไม่ได้หรอกครับแบบนั้น ไอ้เจ้านี่อาละวาดตาย ต้องอุ้มด้านหน้าแบบอุ้มเด็กครับแล้วให้หลับซุกกับบ่าไป" "่อ่อ...ครับๆ" ลู่หานเก้ๆกังๆ จงอินเลยช่วยประคองมินซอกไว้ก่อนพออีกคนตั้งท่าได้ก็ช่วยจับหัวกลมๆซุกไปกับบ่าคนอุ้ม รอจนลู่หานยืนถนัดๆแล้วตัวเองก็รีบเดินนำออกไป มีแท็กซี่จอดรอผู้โดยสารอยู่ที่ซอยข้างๆร้าน จงอินรีบเดินไปเปิดประตูบอกที่หมายกับคนขับแล้วหันมายืนรอลู่หานที่ค่อยๆเดินตามมา "จับนั่งไม่ได้นะครับ ต้องให้นอนกับตักไป" ลู่หานพยักหน้าแล้วให้จงอินช่วยประคองมินซอกจับให้นอนยาวไปกับเบาะก่อน แล้วตัวเองก็เดินจ้ำไปเปิดประตูรถอีกด้านเข้าไป ค่อยๆยกหัวมินซอกให้หนุ่นที่ต้นขาตัวเอง พอจัดท่าทางเรียบร้อยแล้วก็ยกมือเป็นสัญญาณให้จงอินพร้อมก้มหัวนิดๆทั้งเป็นการขอบคุณและกล่าวลา อีกฝ่ายโค้งตอบมองคนหลับสนิทก่อนจะปิดประตู ทันทีที่แท็กซี่เคลื่อนลู่หานก็รีบบอกจุดหมายใหม่ คนขับพยักหน้าแล้วหมุนพวงมาลัยไปอีกด้าน จงอินที่ยืนมองอยู่กำลังจะหันไปก็ต้องหันกลับ แววตาหม่นมองนิ่งจนท้ายรถลับตาไปถึงหันไปหาแท็กซี่ที่จอดรออยู่อีกคัน "ไอ้สัดหมา กูตกใจนะเว้ย" จงอินสบถเมื่อเปิดประตูแล้วเห็นผู้โดยสารคุ้นหน้านั่งอยู่ก่อนแล้ว "ตาละห้อยเลยนะมึง" จงอินบอกจุดหมายกับคนขับซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีที่มีร้านเหล้าเก๋ๆให้นั่ง แล้วจึงหันมาคุยกับเพื่อนต่อ "มาแล้วทำไมไม่เข้าไปนั่งกิน" "กูเพิ่งมาตะกี้ แต่ทันเห็นบทพระรองผู้แสนดีพอดีเลย" แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่นแต่จ้องหน้าเพื่อนแบบจริงจัง "ปากสมเป็นหมานะมึงเนี่ย" เขายักคิ้วยิ้มแผล่รับเพราะถือเป็นคำชื่นชม "ไอ้ลูกแมวเป็นไงมั่ง" "มันก็ดูมีความสุขดี" "งั้นมึงก็หายห่วง" "มึงก็ด้วยนั่นแหละ" "แม่งเอ้ย...ทำไมรู้สึกเหมือนลูกสาวจะเป็นฝั่งเป็นฝาวะ กูว่ากูไม่แก่ขนานนั้นซะหน่อย" ตัวโจ๊กประจำกลุ่มบ่นแบบใส่อารมณ์พลางส่ายหัว เพื่อนรักหันมามองหน้ากัน จ้องตากันนิ่งสักพักแล้วก็ขำพรวดออกมาพร้อมกัน แต่พอเสียงหัวเราะจางลง ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ปล่อยให้เสียงเพลงในรถได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ถ้าจะถามว่าเพลงอะไรคงไม่มีใครตอบได้ เพราะเสียงในความคิดดังกลบเสียงเพลงด้วยกันทั้งคู่ ....................................................... ลู่หานเช็ดหน้า คอ และอกเบาๆแค่พอให้ไม่คนเมารำคาญตัวจากเหงื่อไคลและหลับสบาย เขามองแก้มสองข้างที่แดงไม่เท่ากันยิ้มๆ ข้างที่นอนแนบต้นขาเขามาแดงจัดเป็นริ้วๆยับๆ เขาใช้หลังมือลูบเบาๆ "ขอบคุณที่พยายามเพื่อผมนะครับ" นักเขียนหนุ่มรู้ดีว่ามินซอกเป็นกังวลกับนัดครั้งนี้ แต่ก็พยายามจะไม่แสดงอาการอะไรให้เห็นแล้วยังคอยเป็นห่วงความรู้สึกของเขาด้วย สำหรับตัวเขาพูดแบบไม่โกหกตัวเองก็แน่นอนว่ายังคงไม่สนิทใจกับจงอินนัก แต่เขาก็ดูออกว่าจงอินก็พยายามที่จะไม่ล้ำเส้น มันทำให้เขาไม่เปลี่ยนความอึดอัดเป็นความขุ่นข้องใจ เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลาและจงอินก็สมควรได้รับสิทธิ์นั้นอย่างเต็มที่ มินซอกงัวเงียลุกขึ้นมาเกาแขนแกรกๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงลงมากปรกหน้าปรกตา หัวหลมๆหันซ้ายหันขวางงๆอยู่ไม่นานก็เสะดุ้งสุดตัวเบิกตาโพลง ผลุดลุกขึ้นมายืนแล้วก็กลับลงไปนั่งอีก พยายามคิดทบทวนถึงความจำระยะสั้นที่ขาดหายเป็นห้วงๆ ภาพสุดท้ายที่นึกออกคือขวดโซจูว่างเปล่า แสงธรรมชาติสาดเข้ามากระทันหันจนมินซอกต้องหยีตา เห็นแค่ร่างใครคนหนึ่งลางๆเหมือนเดินทะลุแสงเข้ามาหา "ตื่นแล้วเหรอครับ" "ลู่...ลู่หาน" "ครับ ผมชื่อลู่หาน" "ไม่ใช่...ผมหมายถึง...คือ...นี่บ้านคุณเหรอ" "ก็เมื่อคืนคุณเมามาก แต่ไม่ต้องห่วงนะผมโทรบอกซอลมีฝากบอกคุณแม่คุณแล้ว" มินซอกพยักหน้าหงึกหงักพลางพึมพัม "ผมคงต้องเลิกกินเหล้าเป็นน้ำแบบนี้ซะที" "เลิกได้ก็ดีครับ ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจแบกคุณนะ แต่มันไม่ดีต่อสุขภาพ ผมเป็นห่วง" ลู่หานขยับตัวจากที่นั่งตรงขอบเตียงเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงหน้ามินซอกที่กลางเตียง เอานิ้วเกลี่ยนผมหน้าม้ายุ่งๆแหวกให้เห็นตาชั้นเดียวที่บวมนิดๆ "ผมเตรียมแปรงสีฟันแล้วก็เปิดน้ำอุ่นไว้เต็มอ่างแล้ว ใส่เสื้อผ้าผมไปก่อนนะ" รอจนลู่หานเดินออกจากห้องไปมินซอกถึงเริ่มขยับตัว หายใจหายคอได้สะดวกขึ้น เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะนั่งเกร็งทำไม หัวกลมๆส่ายไปมาขณะคลานไปตรงขอบเตียง หางตาเหลือบไปเห็นกระดาษโผล่ออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเล็กๆข้างหัวเตียง พอลองดึงออกมาอีกนิดก็เห็นตัวหนังสือที่มีดินสอวงแก้ไขหลายจุด มินซอกนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วค่อยๆเปิดลิ้นชัก รู้สึกผิดนิดๆอยู่เหมือนกันแต่ความอยากรู้มีมากกว่า เขาดึงลิ้นชักออกมาแต่ครึ่งเดียวไล่สายตาอ่านตัวหนังสือก็พอเดาออกว่าคงเป็นนิยายเรื่องใหม่ของลู่หาน เพราะเป็นเนื้อความที่ไม่มีอยู่ในเล่มก่อนๆที่เขาเคยอ่าน เขาเหลือบมองที่ประตูแล้วตัดสินใจเปิดลิ้นชักจนสุด หยิบกระดาษทั้งปึกขึ้นมา แต่มีบางอย่างติดมาด้วยมันหล่นลงที่พื้นตรงปลายเท้าเขาพอดี ปึกกระดาษในมือแทบร่วง เจ้าตัวลุกลี้ลุกลนก้มเก็บกล่องเล็กๆสีดำที่ปลายเท้า ตัวหนังสือบนกล่องที่อ่านผ่านๆได้ว่า "เพื่อสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงอารมณ์รักบริสุทธิ์" ทำเอามือสั่น เขารีบยัดกล่องใส่ลิ้นชักแล้ววางปึกกระดาษทับลงไปเหมือนเดิม ลู่หานเห็นชุดที่ตัวเองใส่เป็นประจำดูแปลกตาน่ามองกว่าเดิมมากเหลือเกินเมื่ออยู่บนร่างกายของมินซอก เขามองไม่วางตาจนร่างเล็กนั่งลงตรงข้ามกัน มินซอกมองจานอาหารเช้าที่ลู่หานเตรียมไว้ให้แล้วก็หน้าแดงขึ้นมา เพราะสมองโยงเข้ากับกล่องสีดำที่ทำเอามือสั่นนั่นด้วย "เราดูเหมือนคู่แต่งงานเลยเนอะ" โดนพูดย้ำเข้าไปอีก ทำเอาซ้อมหลุดจากมือกระทบจานเสียงบาดหู มินซอกทำเป็นกระแอมหยิบซ้อมมากำไว้แน่น "พูดอะไร...ของคุณ" เสียงก็ดันสั่นอีก ลู่หานทำได้แค่ยิ้ม เพราะถ้าขืนพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไป มินซอกลุกหนีแน่ๆ เขาไม่อยากทำลายบรรยาศดีๆที่หาไม่ได้ง่ายๆแบบนี้ มินซอกตัดแฮมเป็นชิ้นส่งเข้าปาก เคี้ยวตุ่ยๆไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน หรืออีกทีก็คือพูดอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้ เสื้อผ้าที่ไม่ใช่กลิ่นของตัวเอง ห้องที่เพิ่งมานองค้างอ้างแรมเป็นครั้งแรก อาหารมื้อเช้าฝีมือของผู้ชายที่เขารัก แค่นี้ต่อมประหม่าก็ทำงานหนักแค่จะนั่งสบายๆไม่เกร็งจนไหล่ห่อยังไม่ได้เลย ................................................ บ้านสองชั้นหลังเล็กๆไม่เคยมีสมาชิกร่วมวงกินข้าวเยอะขนาดนี้มาก่อน บางคนเลยต้องนั่งเก้าอี้สนามที่มินซอกไปเอามาจากห้องเก็บของ เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นระยะๆส่วนใหญ่ก็มาจากแบคฮยอนที่ปล่อยมุกกับจงอินที่คอยตบมุก ส่วนลูกชายเจ้าของบ้านมีหน้าที่โวยวายเวลาโดนเพื่อนรุมให้คนอื่นเขาทั้งขำทั้งสงสาร ลู่หานที่ห่างครอบครัวมาหลายปี เหมือนได้ครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่นมาทดแทน เขาแอบนั่งมองสีหน้าของความสุขของสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารเงียบๆ "กับข้าวถูกปากมั๊ยลูก" หญิงวัยต้นห้าสิบเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับคนรักของเขา "อร่อยทุกอย่างเลยครับ ฝีมือคุณแม่อร่อยกว่าตามร้านอาหารในโรงแรมอีก" "โอ้ยก็ช่างชมคนแก่นะพ่อคุณ น่ารักจริง" "แม่ไม่เห็นถามลูกมั่ง" คนเป็นลูกแท้ๆเง้างอด "ลูกน่ะกินได้ทุกอย่างอยู่แล้ว อะไรก็อร่อยไม่งั้นคงไม่ตุ้ยนุ้ยแบบนี้หรอก" "แม่อ่า...ว่าลูกอ้วนเหรอ ลูกตัวน้อยๆของแม่นะ" มินซอกกอดแขนแม่เขย่าๆ "จริงครับแม่ เวลามันเมาผมต้องอุ้มหลังงี้แทบหัก ตอนนี้ดีหน่อยลู่หานมารับกรรมแทนแล้ว" จงอินซ้ำเติม ยักคิ้วให้คนที่เบิ่งตาใส่ "ไอ้หมี...." มินซอกหยุดไว้แค่นี้เพราะไม่อยากพูดจาแบบในวงเหล้าต่อหน้าแม่ "ผมก็แทบแย่เหมือนกันครับคุนแม่ ดีที่ออกกำลังกายตลอดเลยยังพอไหว" "ลู่หาน!!!" จบที่เสียงหัวเราะรอบวง โดยเฉพาะมินจุนขำจนสำลักน้ำแกง ซอลมีต้องรีบลูบหลังลูกชายแล้วเอาน้ำให้ดื่มทั้งที่ตัวเองก็ยังหยุดขำไม่ได้ มินซอกเอามือปิดหน้า แต่อีกมือก็หยิบบาแก็ตมาจิ้มซุบเห็ดใส่ปาก ลู่หานที่นั่งตรงข้ามยื่นมือมาลูบหัวปลอบพยายามกลั้นขำ แต่ตัวปล่อยมุกก็ยังไม่หยุดแค่นั้น "ตอนเข้าห้องหอสงสัยต้องใช้รถเครนแล้วล่ะ" แบคฮยอนมองหน้าลู่หานพลางส่ายหัวแบบเห็นใจในชะตากรรมซะเหลือเกิน บาแก็ตชิ้นใหม่เปลี่ยนทิศจากถ้วยซุปเห็ดเป็นลอยละลิ่วเข้ากลางหน้าผากแบคฮยอนพอดี คนเป็นแม่ต้องรีบห้าม ตีต้นแขนลูกชายเบาๆแต่ตัวเองก็ขำไปด้วย "แม่อ่า...." มินซอกเบะปากแต่ยังเคี้ยวตุ้ย เขากับขนมปังต่อให้เห็นกันทุกวันทำกับมือทุกวันก็ยังไม่เบื่อที่จะกินอยู่ดี "ว่างๆมากินข้าวกันอีกนะลูก" เจ้าของบ้านที่ยื้อแขกไว้จนดึกดื่นพูดกับทั้งเพื่อนรักและคนรักของลูกชายด้วยสีหน้าเอ็นดู หนุ่มๆตอบรับแล้วโค้งลา คนเป็นแม่จึงเดินเข้าบ้านไปก่อนปล่อยให้ลูกชายยืนส่งแขก "ขับรถดีๆนะมึง" มินซอกหันไปบอกจงอิน พอเพื่อนยกมือเป็นเชิงรับรู้ก็หันกลับมาหาลู่หานที่รั้งๆรอๆยังไม่ใส่หมวกกันน็อก "กลับดีๆนะ" พูดแล้วก็ต้องรีบหดคอเพราะลู่หานยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "โอ๊ะ...โอ่ว" แบคฮยอนที่ยังไม่เข้าไปในรถส่งเสียงแซวแล้วแกล้งเอามือปิดตาแต่ถ่างนิ้วไว้ มินซอกเดินรี่เข้ามาทำท่าจะเตะ แบคฮยอนรีบขยับก้นหนี "ไอ้หมา ถ้ามึงไม่รีบขึ้นมากูจะให้มึงวิ่งเห่าตามรถแล้วนะ" จงอินเปิดกระจกโผล่หน้ามาตะโกน "กลับก่อนล่ะคุณลู่...เอ้ย ลู่หาน" ลู่หานยกมือ แล้วหันไปยกมือให้คนในรถด้วย จงอินยกมือตอบแล้วโบกมือให้มินซอกก่อนปิดกระจกรถ หลายเดือนที่ผ่านมาพวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว บางทีถ้าลู่หานไม่ย้ายไปเรียนที่ประเทศจีน แก๊งสัตว์โลกขี้เมาอาจจะมีสี่คนมาตั้งนานแล้ว เพราะเจ้ากวางหนุ่มก็คอแข็งใช่เล่นขัดกับหน้าหวานๆนั่น ลู่หานเร่งเครื่องมอเตอร์ไซส์บิ๊กไบค์ไซด์เล็กสีแดงคู่ใจตามท้ายรถจงอินไปแต่ไม่ขึ้นไปขนาบหรือแซงไปก่อน จนถึงทางแยกพอรถจงอินเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ เขาก็วกรถกลับทันที มินซอกที่เพิ่งล็อกประตูรั้วเสร็จต้องไขกุญแจเปิดออกมาอีกครั้ง เพราะเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยดังใกล้เข้ามา เขายืนรอขมวดคิ้วแต่เม้มปากกลั้นยิ้ม เสื้อแจ็คเก็ตยีนส์สีซีด เสื้อยืดสีขาว สกินนี่ยีนส์สีดำ รองเท้าบูทแค่ข้อสีดำ หมวกกันน๊อคแบบครึ่งหน้า ไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่พิเศษอะไรนัก แต่ก็ทำให้นักเขียนหนุ่มดูเหมือนพระเอกนักซิ่งที่หลุดออกมาจากนิยายโรแมนซ์ ดูคาติ สแครมเบลอร์ คนสีแดงค่อยๆชะลอความเร็วลง ตีวงเลี้ยวด้วยความคล่องตัวมาจอดเทียบคนที่ยืนรออยู่ พอเท้ายันพื้นมั่นคงก็ขยับตัวเข้าไปหา กดริมฝีปากตัวเองลงไปที่ปากที่เม้นสนิทดันขึ้นนิดๆให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อรับสัมผัสอย่างเต็มที่ พอปากที่เม้มไว้คลายออก ลู่หานก็เปลี่ยนใจไม่อยากแค่จุ๊บลาแบบที่ทำเป็นประจำ มือที่ไพล่หลังต้องยกขึ้นมากำสาบเสื้อแจ็คเก็ตไว้แน่นทั้งสองข้าง เพราะความหนักหน่วงจากสัมผัสเกินกว่าที่คุ้นเคย ยิ่งการได้อยู่ด้วยกันยิ่งมีแต่ความรู้สึกดีๆ การจากลาก็ยากขึ้นทุกที แม้ว่าจะแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่นาทีก็ตาม ริมฝีปากที่ค่อยๆคลายออก ยังอ้อยอิ่งให้ผิวเนื้อหยุ่นนิ่มสัมผัสกัน แม้จะขยับออกไปแล้วแต่ก็เคลื่อนเข้าไปหาอีก ซ้ำๆอยู่อย่างนั้น "กลับได้แล้วนะ" เสียงเล็กๆดังแค่ระดับกระซิบในจังหวะที่ริมฝีปากขยับออกห่าง...ครั้งที่นับไม่ถ้วน "อืม..ถึงคอนโดแล้วผมโทรหานะ" ลู่หานตอบกลับในจังหวะที่ขยับตัวออก มินซอกคลายมือออกจากสาปเสื้อมาไพล่หลังเหมือนเดิม ยิ้มและพยักหน้าให้กับคนรักที่ยังคงมองไม่วางตา เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนค่อยๆเงียบหายไป เสียงหัวใจถึงดังชัดเจนขึ้นมา กับเสียงบรรยากาศแบบทั่วๆไปอย่างที่ในเวลาสามทุ่มระแวกบ้านคนควรจะมี ถ้าใส่เพลงรักหวานๆลงไปแบบในซีรีส์ คงเป็นฉากที่เรียกเรทติ้งให้กับช่องได้ไม่น้อย ถ้ามีดาวตกพอดี หรือสายลมอ่อนๆจู่ๆก็พัดมาให้ดอกหญ้าเล็กๆหน้าบ้านไหวราวกับร่วมยินดีในความรัก คงเป็นฉากที่น่าประทับใจในนิยาย แต่ความจริงความรักไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ไม่ต้องมีเพลงประกอบและพร็อพเสริมความโรแมนติก เป็นแค่เรื่องของความรู้สึก....คือการให้ไปและรับมาที่ไม่ว่าในตอนนั้นๆใครจะเป็นผู้ให้หรือผู้รับ ก็เป็นคนที่มีความสุข
............................................................. ..................................... ................................. ลู่หมินซีรีส์ตอนsinkจบบริบูรณ์แล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆที่ติดตามและคอมเม้นท์ แม้ว่าแต่ละพาร์ทจะเว้นการอัพห่างเหลือเกิน (ಥ_ಥ)━☆゚.*・.:*・゚゚・* ลู่หมินซีรีส์ยังจะมีตอนต่อไปเรื่อยๆค่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะ (´・` )♡
|
สมาชิกหมายเลข 2090139
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Link |
|||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |