ลู่หมินซีรีส์ The Writer 4/ AI Tale 4.5 (นิทานจักรกล)








ครั้งแรกในรอบหลายวันที่ชายหนุ่มได้นอนบนเตียงตัวเอง ไม่เขียนงานอย่างเคร่งเครียดจนหลับคาโต๊ะในห้องหนังสือ แต่กลับเป็นวันที่เขานอนไม่หลับ 




ท่อนแขนที่วางบนหน้าผากร่วมครึ่งชั่วโมงไถลเสยผมแล้ววาดลงมาวางไว้ข้างตัว สักพักจึงเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง พยายามข่มเปลือกตาให้ปิด และทำจิตให้สงบ แต่เรื่องราวต่างๆที่ได้รับรู้เป็นครั้งแรกจากการพูดคุยกับคุณปู่ของคยองซูเมื่อช่วงเย็นก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิดสะกิดให้ประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าผลค้างเคียงของคาแฟอีน






เจ้าเด็กดื้อเคยไปหาเขาที่โซล เบอร์โทรของเขาจริงๆคุณตาให้ไว้นานแล้วแต่เจ้านั่นกลับโวยวายเรื่องหาเบอร์ตอนที่โทรบอกข่าวการเสียชีวิตของคุณตา และเหตุการณ์แปลกๆที่เกี่ยวข้องกับการตายของคุณแม่กับคุณตาที่น่าจะมากกว่าคำว่าอุบัติเหตุ



















คนที่อยู่ในความคิดของลู่หานทั้งคืนเปิดประตูเข้ามาด้วยกุญแจสำรองที่อยู่ใต้กระถางต้นไม้ เจ้าตัวยกมือทักทายหุ่นยนต์หน้าทีวีแล้วเดินดุ่มๆเข้าครัว หยุดมองร่างสันทัดสมส่วนที่มีแค่บ็อกเซอร์และเสื้อกล้ามย้วยๆสีขาว กำลังง่วนกับการค้นตู้เย็น






"พี่ทำรามยอนให้กินหน่อยดิ"



คนวัยพี่ตั้งตัวตรงแล้วมองตามร่างเล็กที่เดินไปนั่งแหมะที่โต๊ะอาหารกระดิกเท้ารอ



"ทำไมฉันต้องทำด้วย"



"มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องทำหรอก แต่ก็เป็นเรื่องที่คนมีจิตใจดีน่าจะทำได้ด้วยความเต็มใจ"



"แล้วที่เคยบอกว่าฉันใจร้ายล่ะ"



"ผมก็ให้โอกาสพี่กลับตัวนี่ไง ต้มรามยอนซะใส่ไข่กับชีสด้วยนะ" คยองซูดีดนิ้ว กดมุมปากเป็นรอยยิ้ม



ลู่หานยืนนิ่งชั่งใจแล้วหันกลับไปค้นตู้เย็นเอาห่อชีส ผัก กับไข่ไก่สองฟองติดมือเดินมาที่เค้าเตอร์เตา



ระหว่างรอต้มเส้น เขาเดินมานั่งด้านตรงข้ามกับคยองซูยื่มมือมาลูบหัวไร้เส้นผม



"ไม่ไว้ผมซะหน่อยเหรอ"



"ไม่อะ แบบนี้สบายดี"



"ทำตัวให้มันสดใสสมวัยหน่อย"



"มันมีกฎเกณฑ์อะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ว่าวัยไหนควรสดใสวันไหนควรเป็นยังไง"



"ก็เป็นซะแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะหายโสด"



คยองซูหลบตา มองมือที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะ



"อะไร พิรุธนะเรา รึว่าได้แฟนใหม่แล้ว"



"เปล่า"



"แน่ใจ?"



"แน่"



"ไม่เหงารึไง"



"แล้วพี่ล่ะ"



"ก็....ฉันเพิ่งเลิกกับแฟน แล้วก็ยังไม่อยากจะมีใคร"



"ก็นั่นไง เราก็ไม่ต่างกันหร๊อก"






ลู่หานไม่มีอะไรจะเถียง เขาลุกไปเปิดฝาหม้อ เอาซ้อมเกี่ยวเส้นขึ้นมาเช็คความนิ่ม แล้วใส่เครื่องปรุงกับออฟชั่นต่างๆที่เตรียมไว้



"พี่ซื้อชุดใหม่ให้เจ้าหุ่นกระป๋องเหรอ" คยองซูชี้นิ้วไปที่หน้าทีวีโดยไม่ได้หันไปมอง



"อืม"



"แล้ว...."



"เจ้านั่นจัดการเปลี่ยนชุดเองฉันเปล่า" ลู่หานหันหน้าขวับ



"ยังไม่ทันจะถาม" เจ้าตัวกวนพูดขำๆ



คนจิตใจดีเอาหม้อมาวางที่โต๊ะ แล้วส่งถ้วยกับตะเกียบให้อีกฝ่าย เหลือบตามองสองสามรอบก่อนจะถาม



"นาย..เคยเห็น.."



"เคย"



"แล้ว..." ชายหนุ่มยกคิ้ว



"ต่อให้เจ้านั่นดูเหมือนคนแค่ไหนก็ยังไม่ได้มีอะไรต่ออะไรเหมือนคนหรอกพี่"



"ยังไม่มี..หมายความว่าไง"



"....นี่จะคุยหรือจะกิน"









ลู่หานละสายตาจากคู่สนทนามาที่หม้อรามยอน ช้อนเส้นใส่ถ้วยแบ่งแล้วตักน้ำซุบสีส้มที่บ่งบอกถึงรสชาติที่ชวนร้อนลิ้นไปถึงท้อง แม้วว่าจะมีชีสไข่และผักช่วยกลบความเข้มของรสเผ็ดไปบ้างก็ตาม เขาสูดเส้นเข้าปากแล้วยกถ้วยขึ้นจิบน้ำซุบ แล้วกลับมาวางสายตาไว้ที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง อดใจรอจนอีกคนวางถ้วยลง








"นายเคยไปหาฉันที่โซลด้วยเหรอ"



มือที่กำลังยื่นไปคีบเส้นรามยอนอีกรอบชะงักชั่วครู่ เหลือบมองหน้าคนถามแต่ยังไม่ให้คำตอบ 



"เมื่อวานฉันไปเยี่ยมคุณปู่ แต่นายหลับอยู่"



คยองซูคีบเส้นมาไว้ในถ้วยแล้วขยับเลื่อนเก้าอี้จนอกติดโต๊ะ รินน้ำใส่แก้วแล้วดื่มจนเกือบหมด



"ก็..พอดีต้องไปหาเพื่อนอยู่แล้ว เลยว่าจะแวะไปหาพี่แต่...หลงทาง เลยกลับบ้าน"



"ทำไมไม่โทรหาฉันล่ะ นายมีเบอร์ไม่ใช่เหรอ"



"ก็...ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญ"



เด็กหนุ่มเอาหลังมือปาดปากแล้วขยับตัวทำท่าจะลุก แต่ลู่หานห้ามไว้ก่อน ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เขายิ่งร้อนรุ่มใจ



"แล้วเหตุการณ์แปลกๆตอนคุณแม่กับคุณตาฉันเสีย ทำไมนายถึงไม่เล่าให้ฟัง" ลู่หานวางตะเกียบประสานมือไว้บนโต๊ะ



"ลืม"



"ฉันไม่เชื่อ"



"ถ้าตอนนี้พี่รู้แล้ว จะมาคาดคั้นอะไรกับผมอีกล่ะ"



"ฉันไม่ได้คาดคั้น ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมนายต้องปิดบังด้วย"



"ตอนพี่ไม่อยู่ มันมีเรื่ออะไรเยอะแยะไปหมด ผมจะจำได้ยังไงว่าเรื่องไหนบ้างที่ยังไม่ได้เล่า แล้วเอาจริงๆนะ พี่แคร์ด้วยเหรอ เสร็จงานศพคุณป้าก็กลับโซลทันทีแล้วหายเงียบไปแบบนั้น เหมือนไม่ห่วงคุณตาสักนิด  แล้วถ้าพี่รู้ทุกอย่างแล้วยังไง เปลี่ยนแปลงอะไรได้ ยังไงเรื่องมันก็ต้องเป็นแบบที่ต้องเป็นอยู่แล้ว"



ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียงดังคนฟังเองก็ชักคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่



"ถีงมันจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แต่มันก็เป็นสิทธิ์ที่ฉันควรจะต้องรู้เรื่องของญาติพี่น้องตัวเอง...แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่แคร์ รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ห่วงคุณตา"



"ก็แล้วทำไมถึงหายหัวไปเลยล่ะ" คยองซูขึ้นเสียงจนเกือบเป็นการตะคอก เขาเด้งตัวลุกยืนจนเก้าอี้ล้ม แต่สองมือต้องจับขอบโต๊ะพยุงตัวจากอาการมึนหัวที่จู่ๆก็เป็นขึ้นมา



"ฉันก็มีปัญหาของฉัน แล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับที่นายไม่เล่าเรื่องที่ฉันควรจะต้องรู้ทั้งหมดนั่น" ลู่หานลุกบ้าง และเสียงดังไม่แพ้กัน







มินซอกเลิกสนใจสิงสาราสัตว์ในทีวีไปแล้ว จ้องมองคนสองคนที่แสดงท่าทีที่ไม่เคยมีอยู่ในหน่วยความจำ







"แล้วพี่มีปัญหาอยู่คนเดียวรึไงล่ะ คนอื่นเขาสุขสบายกันหมดรึไง" ภาพคนที่อยู่ห่างไปแค่หนึ่งช่วงแขนเริ่มกลายเป็นภาพเบลอๆ มือที่จับขอบโต๊ะไว้เกร็งจนหลังมือขึ้นเส้นเลือดนูน



"แล้วนายเป็นอะไรนักหนาล่ะ ถึงปิดปากเงียบทั้งที่ฉันกลับมาบ้านเป็นเดือนแล้ว แบบนี้จะไม่ให้คิดว่าตั้้งใจปิดบังได้ยังไง" ชายหนุ่มปรี่เข้าหาร่างที่เริ่มโงนเงน รวบคอเสื้อยืดกำไว้แน่น



"พี่ลู่หานอย่าครับ...พี่ลู่หานแกล้งคุณคยองซูทำไม" มินซอกลุกขึ้นยืน ได้แต่ส่งเสียงห้ามแต่ไม่กล้าเดินเข้าไป



ดวงตากลมโตโหลลึกเริ่มลอย เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายขึ้นตามกรอบหน้าอย่างรวดเร็ว ท่อนขาเปลี้ยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ในที่สุดสติสัมปะชัญญะค่อยๆหยุดทำงาน แล้วดับวูบไป 





"..................."



"คยองซู...คยองซู"




ลู่หานเขย่าตัวคนในอ้อมกอดเรียกชื่อซ้ำๆอย่างร้อนรน 



"คยองซู...."



"อืม..."



มีเสียงครางในลำคอตอบรับ ชายหนุ่มหลับตาถอนหายใจอย่างโล่งอก ค่อยๆประคองร่างอ่อนปวกเปียกให้นั่งลง



"ไหวมั๊ย"



คยองซูพยักหน้าแต่ลู่หานเช็คให้แน่ใจด้วยการใช้หลังมือแตะที่แก้มและหน้าผาก



"นายตัวร้อนนี่"



"ผม...ไม่เป็นไร แค่นอนน้อยไปหน่อย" ตอบด้วยเสียงแหบแห้งพลางขยับตัวหนีมืออีกฝ่าย



"ฉันขอโทษนะ"



เด็กหนุ่มส่ายหัวแล้วทำท่าจะลุกขึ้น แต่ก็เซจนลู่หานต้องรีบประคองไว้



"นั่งพักให้หายก่อนเถอะ"



"ผมจะกลับบ้าน"



"งั้นฉันไปส่ง"



"ผมเอาจักรยานมา"



"ไว้นี่แหละ อย่าดื้อ ฉันจะขับรถไปส่ง"



คยองซูพยักหน้ายอม แต่เบี่ยงตัวแล้วปัดมือลู่หานออก




"กลับล่ะนะมินซอก" 



"เดี๋ยวฉันมานะ ไปส่งคองซูแป๊บเดียว"



มินซอกหน้าเสียมองคนนั้นทีคนนี้ที แต่ไม่กล้างอแงเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องจำเป็นและตัวเองไม่ควรสร้างปัญหาให้ลู่หานต้องกังวลมากขึ้นไปอีก










เสียงเครื่องยนต์ที่ค่อยๆเบาลง มินซอกยิ่งกอดตุ๊กตาหมีแน่นขึ้้น จนทุกอย่างเงียบสงบ ร่างเล็กก็เอนตัวลงนอนซุกกอดหมีขนฟูจนแทบจมหายไปกับอก




"หนึ่ง สอง สาม....สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า.........

















"คุณแม่อย่าไปนานๆนะครับ น้องมินซอกกลัว"



"คุณแม่ขับรถน่ะแค่แป๊บเดียวเอง ทำเรื่องให้คุณตาออกจากโรงพยาบาลเสร็จแล้วก็พาคุณตากลับบ้าน น้องมินซอกก็จะได้เจอคุณตาไงลูก"



"แต่......" มือที่จับแขนคุณแม่ไว้ยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวงและขยับตัวให้ชิดผู้เป็นแม่มากขึ้นไปอีก



"เอางี้ น้องมินซอกนับเลขไปเรื่อยๆนะครับ พอคุณแม่กลับน้องมินซอกนับได้เท่าไหร่เอาเลขแต่ละตัวมาบวกกันแล้วหารสองแบบที่คุณแม่สอนเมื่อวาน แล้วคุณแม่จะหอมแก้มน้องมินซอกเท่ากับผลลัพธ์ที่ได้เลย" ผู้เป็นแม่ลูบหัวแล้วเชยคางให้ลูกชายปัญญาประดิษฐ์มองตาเพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกและมั่นใจในคำสัญญา




ดวงตาโตทรงรีที่มีแววตระหนกชัดเจนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง ปากอิ่มยู่คลายออกแล้วเหยียดเป็นรอยยิ้มบางๆ 



"สัญญานะครับ"



"คุณแม่สัญญาครับ" 




















"....................สองร้อยสิบเอ็ด สองร้อยสิบสอง......สองร้อย........"




เสียงนับเลขถูกแทรกด้วยเสียงเคาะประตูหนักๆเป็นจังหวะรัวๆ มินซอกผลุดลุกขึ้นนั่งกอดตุ๊กตาหมีไว้แน่น หันมองไปทางต้นเสียง 



"พี่มอร์นิ่ง น้องมินซอกกลัว"



"ลู่หานคะ....ลู่หาน"



ชื่อของพี่ชายทำให้มินซอกคลายกังวลลงบ้าง แต่น้ำเสียงที่จับความรู้สึกด้านลบได้ค่อนข้างชัดเจนทำให้มินซอกยังไม่กล้าขยับตัวไปไหน



เสียงด้านนอกเงียบลงไปเพียงอึดใจเดียว ประตูก็ถูกผลักเปิดออกจนสุด พอคนหลังประตูปรากฎให้เห็นเต็มๆตาปัญญาประดิษฐ์จึงเริ่มเก็บข้อมูลและประมวลผล 



'คนแปลกหน้า' คือค่าที่ตีความออกมาเป็นภาษามนุษย์



"อ้าวมีคนอยู่เหรอ แล้วลู่หานล่ะ"



มินซอกลุกขึ้นยืนแนบหลังชิดฝาผนัง ตามองไปทางห้องใต้บันได



"น้องคะ พี่ถามว่าลู่หานอยู่รึเปล่า" ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสั้นเหนือเข่าเดินลงส้นเท้าที่สวมส้นสูงเข้าไปถึงรอยต่อของพื้นต่างระดับ พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบและส่ายหน้าเป็นคำตอบ จึงก้าวขึ้นไปอยู่บนพื้นระดับเดียวกัน 




"พี่เป็นแฟนลู่หานนะคะ พี่อยากรู้ว่าลู่หานเขาอยู่ไหน"



"น้องมินซอกไม่รู้จักคุณ...คุณ...คุณเป็นคนแปลกหน้า"



เสียงตอบตะกุกตะกักกระตุ้นอารมณ์ให้ยิ่งขุ่นมัว หญิงสาวกอดอกแน่นแต่แล้วก็เปลี่ยนมาเอามือเสยผมช้าๆพลางถอนหายใจ



"มันก็จริงที่พี่สาวคนนี้เป็นแค่คนแปลกหน้าแล้วในตอนนี้ เพราะลู่หานเขาเลิกกับพี่แล้ว เราไม่มีอะไรเกี่วข้องกันอีก ถึงแม้ว่าพี่สาวจะยังรักพี่ลู่หานของน้องมากๆ"






แววตาและน้ำเสียงที่จู่ๆเปลี่ยนไปไม่แข็งกร้าวแบบตอนแรก ทำให้มินซอกเอียงคอ กระพริบตาถี่ๆเพื่อเร่งให้ระบบพยายามค้นข้อมูลเชิงลึกอย่างเร็วที่สุด แต่ฐานข้อมูลที่น้อยเกินไปทำให้การประมวลผลไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน




หญิงสาวมองใบหน้างงงันและดวงตาที่เหมือนไม่ได้โฟกัสอะไรเลย แล้วยิ้มออกมา




"ถ้าลู่หานไม่อยู่ พี่สาวก็ขอตัวกลับละกัน แต่อยากจะขอให้น้องมินซอกช่วยอะไรซักอย่าง"



"....ช่วย..อะไรครับ"



"น้องมินซอกอย่าบอกพี่ลู่หานว่าพี่สาวมาหานะคะ คือพี่ไม่อยากให้ลู่หานเขาไม่สบายใจ น้องมินซอกเองก็ไม่อยากให้พี่ลู่หานไม่สบายใจใช่มั๊ย"



รอจนอีกฝ่ายพยักหน้ารับหญิงสาวจึงสำทับต่อทันที



"สัญญากับพี่สาวได้มั๊ยคะ"



"ครับ น้องมินซอกสัญญาจะไม่บอกว่าพี่สาวมาหาพี่ลู่หานครับ"



"น้องมินซอกเป็นเด็กดีมากเลย ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะคะ อย่าลืมสัญญาของเรานะ"



มือเรียวที่มีเล็บยาวแหลมสีม่วงเปลือกมังคุดยื่นมาลูบหัวด้วยความเอ็นดูที่สร้างขึ้นอย่างแนบเนียน มินซอกหดคอนิดๆเพราะความไม่คุ้นชิน ก่อนจะโค้งลารอจนได้ยินเสียงปิดประตูถึงยกตัวตัวขึ้นยืนตรง




















รถยนต์สัญชาติเกาหลีคันกระทัดรัดจอดนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้ ห่างจากบ้านของเด็กหนุ่มที่เป็นผู้โดยสารไม่ถึงร้อยเมตร 






"นายได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดรึเปล่า"



"อืม"



"นายคิดว่ายังไง"



"ภาพมันก็ดูเหมือนคุณป้าโดนคนผลักออกไปกลางถนนจริงๆ แต่ในเมื่อตรงนั้นมีคุณป้าอยู่คนเดียว ผมเอง....ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร"



"แล้วที่คุณตาฉันหัวใจวายจากอาการตกใจสุดขีดล่ะ นายคิดว่าไง"



"คุณตาเสียในบ้าน แล้วในบ้านจะมีอะไรที่ทำให้ตกใจขนาดนั้นได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"



ลู่หานถอนหายใจ ปรับเก้าอี้เอนหลังแล้วกอดอกเอามือถูคางที่เต็มไปด้วยตอหนวดไปมา




"นาย...เคยรู้สึกแปลกๆบางครั้งมั๊ย เวลาอยู่กับมินซอก"



"แปลกๆยังไง"



"บางทีอากาศรอบตัวมันก็หนาวขึ้นมาอะไรแบบนั้นน่ะ...."



คยองซูยังไม่ตอบอะไร เบือนหน้าไปมองวิวที่คุ้นเคยข้างทาง



".....แล้วบางครั้งฉันก็เหมือนจะเห็นแววตาที่ไม่เหมือนกับหุ่นยนต์ เหมือนมีความรู้สึกที่สื่อสารได้แบบคน ไม่รู้สิเหมือนฉันเคยเห็นน้ำตาเอ่ออยู่ในนั้นด้วยซ้ำ"



"ผมก็แค่รู้สึกว่าเจ้าหุ่นกระป๋องนั่นเหมือนคนมากๆ ยังอดทึ่งไม่ได้ว่าคุณป้าเก่งมากจริงๆ"



"นั่นสิ งานของคุณแม่เป็นความลับของรัฐบาล ฉันไม่เคยรับรู้เลยว่าที่ศูนย์ทดลองคุณแม่ทำอะไรบ้างและเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์มันไปไกลขนาดไหนแล้ว"



คนป่วยไอขึ้นมาชุดใหญ่ ลู่หานจึงขยับตัวปรับเก้าอี้เตรียมพร้อม



"กลับกันดีกว่า นายจะได้นอนพัก" 



มือที่ใช้ปิดปากกำแน่นแล้วเอาซุกไว้ข้างตัว รู้สึกได้ถึงคราบน้ำข้นๆกลางอุ้งมือ เจ้าตัวพยายามกลืนน้ำคาวๆในปากลงคอ แล้วบังคับลมหายใจให้เข้าออกเป็นจังหวะที่ปกติที่สุด












.............................................









ทันทีที่ได้ยินเสียงลูกบิด มินซอกก็ลุกวิ่งไปที่ประตู พอพี่ชายก้าวเท้าเข้าบ้านร่างเล็กก็โผเข้ากอด



"โอ๊ะ.."



ลู่หานไม่ทันตั้งตัวแต่ก็รีบรวบเอวน้องไว้ มืออีกข้างต้องคว้าขอบประตูไว้ช่วยทรงตัว



"มีอะไรรึเปล่า"



"คิดถึงครับ"



"นี่ ฉันไปแค่ครึ่งชัวโมงเองนะ" 



"น้องมินซอกนับเลขได้ตั้งสองพันสองร้อยยี่สิบ"



เสียงที่ฟังไม่ค่อยชัดเพราะเจ้าตัวซุกหน้าอยู่กับอกเขา ทำให้ลู่หานขมวดคิ้ว



"นายว่าไงนะ" ถามพลางจับเอวด้วยมือทั้งสองข้างดันตัวน้องชายออก แล้วจูงมานั่งที่เบาะหน้าทีวี



"ตอนพี่ลู่หานไม่อยู่น้องมินซอกนับเลขได้ตั้งสองพันสองร้อยยี่สิบ...." มินซอกเว้นจังหวะพูดแล้วค่อยๆชูนิ้วที่ละสองนั้ว "สองบวกสองบวกสองเป็นหก แล้วหารด้วยสองก็เป็นสาม"



มินซอกยื่นมือที่ชูนิ้วโป้งนิ้วชี้นิ้วกลางไว้ยื่นมาใกล้หน้าพี่ชาย ลู่หานยิ้มงงๆรวบนิ้วเล็กๆสีชมพูไว้ในกำมือหลวมๆ เบี่ยงออกไม่ให้บังสายตาที่มองเจ้าของมือ



"แล้วยังไง ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย"



"เวลาคุณแม่ไม่อยู่ คุณแม่ให้น้องมินซอกนับเลขไปเรื่อยๆ แล้วเอาแต่ละหลักบวกกันแล้วหารด้วยสอง ได้เท่าไหร่คุณแม่จะหอมจุ๊บๆน้องมินซอกเท่านั้นครับ"



ลู่หานขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ทำเสียงขำๆอยู่ในคอ 



แต่อีกฝ่ายกลับหน้าตาจริงจังดึงนิ้วที่โดนรวบออก เอานิ้วชี้จิ้มแก้มทั้งสองข้างและหน้าผากแล้วอธิบายให้พี่ชายฟังไปด้วย



"พี่ลู่หานต้องหอมจุ๊บๆน้องมินซอกที่แก้มหนึ่ง แก้มสอง แล้วก็หน้าผากสามครับ"



ตอนนี้ลู่หานไม่ได้ขมวดคิ้วงง หรือขำกับท่าทีแปลกๆ หรือรู้สึกอะไรทั้งนั้น เหมือนสมองมันหยุดทำงานไปชั่วครู่ 



แต่มินซอกไม่ยอมง่ายๆ อมลมไว้จนเต็มแก้มแล้วกอดอกรอ



ลู่หานกระแอม หลบตาจากแก้มใสที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ พอตั้งสติได้ว่ามินซอกเป็นหุ่นยนต์และถึงเป็นคนก็เป็นน้องชายของเขา อาการเกร็งๆเขินๆก็คลายลงบ้างแต่.....หัวใจไม่ยอมเต้นช้าลงเลย








ริมฝีปากที่ค่อยๆกดลงไปที่ผิวนุ่มจนยุบลงตามน้ำหนัก ทำให้ดวงตาโตทรงรีหยีเป็นเส้นตรงเพราะอาการกลั้นยิ้ม 





เมื่อสองแก้มและหน้าผากได้สัมผัสกับริมฝีปากพี่ชายแล้ว เจ้าตัวก็ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันหน้าครบทุกซี่ แล้วก็หันไปกดรีโมทเปิดทีวีไล่หาช่องที่ตัวเองอยากจะดู ไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองมีข้อมมูลใหม่ที่ต้องเก็บไว้ใช้ประมวลผล 


เพราะตอนนี้พี่ชายหน้าแดงไปถึงหูแล้วก็นั่งนิ่งเหมือนหุ่นยนต์มากกว่าตัวหุ่นยนต์เองซะอีก













....................................................













"ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะเป็นหุ่นยนต์จริงๆ" หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจแม้ว่ารถจะติดไฟแดงอยู่ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว



"ผมเห็นที่โบสถ์ครั้งแรกก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ถ้าไม่เคยเห็นรูปในไฟล์ที่แอบเอาออกจากห้องทดลองก่อนที่ห้องนั้นจะโดนทำลายทิ้ง"



"แบบนี้คุณต้องเรียกค่าเหนื่อยหนักๆเลยนะ"



"คุณไม่ต้องห่วง คนอย่างคุณหว่องน่ะยอมจ่ายอยู่แล้วถ้าได้ของดีที่มีชิ้นเดียวในโลกแบบนี้ หึ"




ต้นสายกับปลายสายหัวเราะขึ้้นพร้อมกันก่อนจะลากันด้วยเสียงส่งจูบ




















................................................................




....................................




...................











อ่านแล้วอึดอัดมั๊ยอะ 
เหมือนมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เฉลยซะที
แต่ตอนนี้อย่างน้อยพี่น้องเค้าก้รักกันดีนะ
หยักหอมแจ้มๆฟูน้อนมั่ง อิจตาลุง (´∩`。)

































Create Date : 04 เมษายน 2561
Last Update : 4 พฤษภาคม 2561 21:42:53 น.
Counter : 326 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2090139
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
เมษายน 2561

1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30