ลู่หมินซีรีส์ The Writer 3 / SINK 3.3 (จมรัก)
















































ดวงตาโตสวยมองกลีบดอกลิลลี่ล้อเอนไปตามสายลมแรง เกรงอยู่ว่ากลีบจะช้ำแต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไปตามวิถีธรรมชาติ เขายกมือเสยผมที่กระจัดกระจายลงมาปรกหน้า แล้วลุกขึ้นไปสัมผัสป้ายหิน ไออุ่นจากความร้อนของแดดที่สะสมไว้ยังมากพอที่ส่งต่อไปถึงอุ้งมือ ชายหนุ่มอมยิ้มเอ่ยชื่อที่เป็นชื่อเดียวกับที่สลักอยู่ที่ป้ายเบาๆ


"....พี่ขอโทษที่ปีนี้มาช้านะครับ..."


ถ้อยคำในใจมากมายที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ ลู่หานเงยหน้าขึ้นรอจนความรู้สึกจุกที่คอคลายความอึดอัดลง ก้มมองที่ป้ายหินอีกครั้ง แม้ดวงตาแดงก่ำแต่ริมฝีปากก็คลี่เป็นรอยยิ้มก่อนโบกมือแล้วเดินออกจากสถานที่อันเงียบสงบที่กักเก็บเสียงสะอื้นไห้ของผู้คนมากมายเอาไว้ 










......................................








มินซอกเลี้ยวรถคันเล็กๆเก่าๆที่เป็นมรดกอีกชิ้นของพ่อนอกเหนือไปจากบ้านและร้านเบเกอรี่เข้าไปจอดในที่จอดรถของหมู่บ้านข้างสนามเด็กเล่น มีรถจอดอยู่ไม่กี่คันเป็นของครอบครัวที่ไม่สะดวกจะเอารถไปจอดหน้าบ้านตัวเอง




ชิงช้าที่เคลื่อนไหวไปมาสะดุดสายตาให้หยุดเดินหันไปมอง คนที่นั่งอยู่ตรงชิงช้าเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่อยู่ในสนามเด็กเล่นตอนนี้ มินซอกกระชับหูหิ้วถุงใบใหญ่ในมือ กระพริบตาปริบๆปรับสายตาผ่านความครึ้มของบรรยากาศช่วงใกล้ค่ำ ฟันกระต่ายข่มริมฝีปากในขณะคิดหาเหตุผลแต่ไม่เข้าท่าสักอย่าง พอคิดว่าแค่เจอคนรู้จักจะเข้าไปทักไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไร สองขาก็เปลี่ยนทิศทางทันที




คนตัวเล็กลดความเร็วฝีเท้าลงเมื่อความห่างอยู่ในระยะที่ชวนอึดอัดใจ ในจังหวะที่ตัดสินใจหยุดฝีเท้าคนที่ชิงช้าก็หันมาพอดี เส้นผมเป็นลอนอ่อนๆปรกอยู่ครึ่งหน้า แสงจากท้องฟ้าที่เหลืออยู่ไม่มากแต่ยังชัดพอที่จะเห็นรายละเอียดของใบหน้าที่โผล่พ้นกลุ่มผมออกมา ดวงตาคู่สวยไม่สดใสนัก



จู่ๆก็รู้สึกผิดที่เหมือนละลาบละล้วงเวลาส่วนตัวของคนอื่น แต่มือที่โบกเรียกแล้วชี้ไปที่ชิงช้าตัวข้างๆก็ทำให้เขาพอจะแก้ตัวได้ว่าลู่หานอาจไม่ได้ต้องการอยู่คนเดียวแต่กำลังต้องการเพื่อนต่างหาก



คนมาก่อนเริ่มดันเท้ากับพื้นให้ชิงช้าเคลื่อนที่ มินซอกวางถุงไว้กับพื้นข้างตัวแล้วเริ่มทำแบบเดียวกัน ปล่อยให้สายลมได้ปะทะผิวหน้าและส่งเสียงคลอข้างๆหูอยู่พักใหญ่ ลู่หานจึงวางเท้ากดลงกับพื้นเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของชิงช้า มินซอกเองก็ทำแบบเดียวกัน





"ผมชอบที่นี่มากเลยนะ" ชายหนุ่มหันมาหาคนข้างๆที่หน้าตาออกจะเหรอหราเพราะกำลังทำตัวไม่ถูก แต่ก็พยักหน้ารับรู้และตั้งใจฟัง

"แต่ก่อนนี้ผมชอบมาดื่มกาแฟร้านตรงถนนฝั่งตรงข้าม แล้วก็มาแวะทีนี่ประจำ แต่ไม่เห็นเคยเจอคุณ"

"ก็น้องผมเพิ่งมาอยู่หมู่บ้านนี้ไม่ถึงสามเดือนเลย แต่ก่อนผมไม่เคยมาแถวนี้หรอก...แต่แหมเจอกันตอนดีๆก็ไม่ได้นะ" มินซอกเสียงอ่อย

"ก็ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน คุณในแบบนั้นก็น่ารักจะตาย"

"ตายก็เป็นผีสิ ผีน่ารักตรงไหน"

ลู่หานขำเบาๆกับมุกข้างๆคูๆที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นมุก คนโดนขำบึนปากใส่กลบความรู้สึกลึกๆที่ใจหวิวๆแปลกๆ แต่สุดท้ายก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เลยต้องกลบเกลื่อนอีกชั้นด้วยการชวนคุยต่อ




"ว่าแต่...ทำไมคุณถึงชอบมาสนามเด็กเล่นล่ะ"

"ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบหรอกครับ แต่คนรักผมชอบมาก เขาบอกว่าเด็กๆเวลาอยู่ในสนามเด็กเล่นน่ะเหมือนเทวดานางฟ้าที่น่ารักและมีความสุข เห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย"

เหมือนเดินอยู่ในสวนดอกไม้ลั้นลาอยู่ดีๆก็สะดุดก้อนหินเสียหลักวูบลงไปตรงพื้นต่างระดับ รู้สึกเหมือนหัวใจไม่ได้อยู่ตรงอกซ้ายแล้ว หัวกลมๆหันกลับแล้วก้มมองปลายเท้าตัวเอง รอยช้ำเล็กๆตรงนิ้วก้อยนั่น

บางทีหัวใจอาจจะหล่นไปอยู่ตรงนั้น



ลู่หานมองตามสายตาคนตัวเล็ก แอบสำรวจเท้าทั้งสองข้างที่หนีบเตะคู่เก่งมา

"หายดีแล้วนะ"

มินซอกได้ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอ เขากระแอมอยู่หลายครั้งก่อนจะรีบพูดตัดบท



"ผม...ผมขอโทษที ผมต้องไปก่อนนะ วันนี้วันเกิดมินจุนน่ะ ป่านนี้รอแย่แล้ว"

ลู่หานยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างเล็กก็ลุกลี้ลุกลนคว้าถุงมากอดไว้แนบอกแล้วรีบเดินออกไป แผ่นหลังหายไปในความครึ้มของบรรยากาศอย่างรวดเร็ว











อันนี้ของขวัญของคุณยายกับคุณลุงนะ จุนนี่หม่ำข้าวเสร็จแล้วค่อยแกะดูนะครับ

เด็กน้อยแก้มเยอะที่อายุ6ขวบเต็มในวันนี้ยิ้มกว้างจนเห็นข้าวในปาก มินซอกยิ้มแล้วลูบหัวหลานด้วยความเอ็นดู

"พี่หายเจ็บเท้ารึยังเนี่ย" น้องสาวฝาแฝดสังเกตเห็นความผิดปรกติบางอย่าง

"หายแล้ว"

"ทำไมดู..."

"ไม่ได้เป็นไร ที่ร้านมันยุ่งๆน่ะเลยเหนื่อยหน่อย"

"ทำไมล่ะ คุณลู่หานออกไปแล้วเหรอ"

"...ยัง...ก็..ก็ลูกค้าที่เป็นแฟนคลับพ่อนักเขียนสุดหล่อของเธอเริ่มจะรู้ไง ก็มาที่ร้านกันใหญ่ถ่ายรูปขอลายเซ็นกันวุ่นวาย"

"แหมพี่ ก็ถือซะว่าโปรโมทร้าน และแฟนๆก็คงไม่ได้มากันเยอะแยะวุ่นวายมากขนาดนั้นมั้ง นักเขียนไม่ใช่ไอดอล"

"ก็ฉันไม่คุ้นนี่"

"คุณลุงมิงซ๊กจุนนี่แกะของขวัญได้ยังคับ"

เจ้าของวันเกิดดึงแขนเสื้อคุณลุงแล้วชี้ๆที่ถ้วยข้าวที่ไม่มีข้าวเหลือซักเม็ด

"โอเคครับ ลูกหมูของลุงเก่งมาก"

มินซอกเอาของขวัญทั้งสองกล่องออกมาจากถุง มินจุนทำตาโตมองสลับกล่องของขวัญไปมาแล้วเลือกกล่องใหญ่กว่ามาเปิดก่อน



ทั้งเซ็ตเครื่องเขียนชุดใหญ่และโมเดลหุ่นยนตร์ถูกใจเจ้าของวันเกิดมาก แกะแล้วก็หอบของแนบอยู่กับอกตลอดเวลา

มินซอกเห็นหลานอารมณ์ดีเลยลองหยั่งเชิงพูดเรื่องตัวเองกับน้องสาวพยายามกันมาตลอดแต่ไม่เคยสำเร็จ

"จุนนี่ก็หกขวบแล้วนะ เป็นเด็กโตแล้วเก่งแล้ว ลุงว่าต้องหัดว่ายน้ำได้สบายๆแน่ๆ" มินซอกทำเป็นหันไปพยักหน้ายิ้มๆกับน้องสาว

"ไม่เอาๆ จุนนี่ไม่วายน้ำ โตแค่ไหนก็ไม่ว่าย ไม่ๆๆ" เสียงแหลมดังกว่าปกติพูดรัวๆแล้วรีบลุกจากเก้าอี้หอบของเล่นไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี

พี่น้องหน้าเจื่อนกันไปทั้งคู่ มินซอกรีบเดินมานั่งกับหลาน เปลี่ยนเรื่องคุยให้เจ้าตัวเล็กกลับไปอารมณ์ดีเหมือนเดิม

"วันนี้วันเกิดจุนนี่ แล้วอาทิตย์หน้าวันเกิดใครน้า"

"วันเกิดคุณแม่กับคุณลุงมิงซ๊ก" ถึงจะยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับของเล่นแต่ก็ยอมเหลือบตาขึ้นมองนิดนึงแล้วตอบคำถาม

"เพราะฉะนั้นอาทิตย์หน้าจุนนี่ก็ต้องไปกินข้าวบ้านลุงบ้างนะ"

มินซอกก้มไปหอมแก้มหลาน หัวกลมๆผงกขึ้นลงเร็วๆจนผมกระเพื่อม ปากบึนๆเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งตาแทบปิด เพราะนอกจากจะได้เจอคุณยายแล้วเด็กน้อยรู้ดีว่าจะมีขนมอร่อยๆกินได้เยอะตามต้องการด้วย



"เธอก็ไปด้วยนะ" มินซอกเงยหน้ามามองน้องสาว

ซอลมีหลบตายังไม่กล้ารับปากพี่ชาย

"ไปเถอะ นี่แม่เป็นคนให้ฉันชวนเธอนะ"

"จริงเหรอพี่" หญิงสาวเบ่งตายกคิ้วอ้าปากหวอ ถอดแบบพี่ชายฝาแฝดเวลาได้ยินเรื่องแปลกใจมาแบบไม่ผิดเพี้ยน รีบลุกเดินมานั่งเบียดคนพี่ที่โซฟา

"จริงสิ เห็นแม่เขียนรายการอาหารเตรียมไว้แล้วด้วยมีแต่ของชอบของเธอกับจุนนี่ ฉันต้องเตือนแม่เลยว่าอย่าลืมว่าเป็นวันเกิดฉันเหมือนกัน...แล้วที่แอบไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลน่ะแม่เค้ารู้นะ"

ซอลมีรู้สึกร้อนที่ขอบตาขึ้นมารีบก้มหน้าขยับตัวห่างพี่ชาย มินซอกเลยแกล้งเคาะหัวน้องสาวเบาๆ

"เธอมันยัยต๊อง แม่น่ะรู้ทันลูกอยู่แล้วอย่ามาทำเป็นแผนสูงเลย"



พี่น้องฝาแฝดยิ้มให้กัน น้ำตาเอ่อด้วยกันทั้งคู่แต่ไม่มีใครยอมให้น้ำตาไหลออกมา พวกเขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่พ้นวัยประถมต้นไม่เคยมีใครร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็น เพราะต่างรู้ใจกันดีว่าถ้าคนหนึ่งร้องไห้อีกคนจะร้องตามและทุกข์ใจยิ่งกว่า






..........................................








มินซอกพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่อะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติก็คงหลอกคนช่างสังเกตโดยธรรมชาติได้ยากหน่อย



"คุณไม่สบายรึเปล่า" ลู่หานเดินมาดักหน้าเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเอาแป้งโดว์เข้าตู้พักแป้งแล้วจะเดินออกจากห้องไป

"คุณมีอะไร" ถามกลับห้วนๆสายตามองผ่านไหล่คนถามไปที่ประตู

"ผมถามคุณก่อนนะครับ"

"ผมจะออกไปช่วยยุนกิ"

"นั่นมันหน้าที่ผม" เขาลดเสียงให้เบาลงแต่ขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น

"แต่ผมเป็นเจ้าของร้าน ผมจะทำอะไรก็ได้" สายตาย้ายมาหาคู่สนทนาแค่ชั่วเวลาหนึ่งประโยคคำพูดแล้วย้ายกลับไปที่ประตูอีกครั้ง




ความจริงลู่หานพอจะเดาออกว่าสาเหตุของความไม่ปกติของเจ้านายตัวเล็กมาจากอะไร

เรื่องที่คุยกันที่สนามเด็กเล่นยังค้างคาอยู่แค่บทเกริ่นนำ แต่มินซอกสรุปตอนจบเอาเองไปแล้ว แต่เรื่องราวทั้งหมดมันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่เขาจะมาพูดอธิบายในเวลางานแบบนี้



ชายหนุ่มขยับตัวหลบทาง ร่างเล็กก็พุ่งตัวตรงไปที่ประตูรีบเปิดออกไปเหมือนไม่สามารถเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาที










หลายวันที่ลู่หานต่้องปล่อยให้มินซอกทำอะไรฝืนธรรมชาติตัวเอง จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะทำตามแผนปรับความเข้าใจที่เตรียมไว้เสียที


ชายหนุ่มดันถาดขนมปังชุดสุดท้ายเข้าเตาอบ ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกมาที่เคาท์เตอร์ด้านหน้า



"คุณมินซอกล่ะ"

ยุนกินพับผ้าที่เพิ่งเช็ดกระจกตู้โชว์ขนมวางไว้ข้างซิ้งค์ พิงหลังกับเค้าเตอร์แล้วตอบคำถาม

"พี่มินซอกกลับไปเมื่อกี้ครับ วันนี้วันเกิดพี่เขาเลยต้องรีบกลับไปทานข้าวกับครอบครัวครับ"

"วันเกิด..."

"ใช่ครับ...ซักสี่ทุ่มพี่ลู่หานค่อยโทรไปอวยพรวันเกิดก็ได้ครับ เพราะส่วนใหญ่พี่มินซอกจะนอนห้าทุ่ม แล้วที่บ้านมีเด็กงานวันเกิดในครอบครัวคงไม่ยืดเยื้อจนดึกดื่น"

คำแนะนำที่จริงใจและรอยยิ้มซื่อๆจากเด็กตัวสูงโย่ง ทำให้ลู่หานมีรอยยิ้ม แต่ไอ้ท่าทีขยิบตาน่าหมั่นไส้ที่ตามมาก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชี้หน้าคาดโทษนิดๆทิ้งท้ายไว้










...........................................











บนโต๊ะอาหารของครอบครัวเล็กๆมีกับข้าวไม่กี่อย่างแต่มีของโปรดของแต่ละคนครบ มินจุนตักข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่องไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กช่างพูดเล็ดลอดให้ได้ยินซักแอะ ผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะอาหารลอบมองกันเป็นระยะๆอดไม่ได้ที่จะต้องหันมายิ้มให้กันด้วยความเอ็นดูสมาชิกตัวน้อยของครอบครัว



"คนที่นัดเจอกันเป็นยังไงบ้างล่ะ"

ซอลมีชะงัก หยุดมือที่จะตักกับข้าวตรงหน้าเหลือมองพี่ชายแบบขอความมั่นใจ มินซอกพยักหน้าให้น้องยิ้มๆ คนน้องเลยรีบหันมาตอบคำถาม

"พี่เขาชื่ออีจุนค่ะแม่ อายุ30ทำงานที่บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ หนูเจอพี่เขาหลายครั้งแล้วค่ะ เขามีความเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผลแล้วก็ใจเย็นมาก พ่อแม่พี่เขาก็ดีค่ะหนู่เพิ่งไปเจอมา"

"แล้วเคยเจอมินจุนรึยัง"

"ยังเลยค่ะ เคยแต่คุยกันทางโทรศัพท์แต่ว่านัดกินข้าวเย็นกันไว้วันพรุ่งนี้ค่ะ"

"ค่อยๆดูกันไปนะ ลูกโตแล้วและมีคนสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นต้องคิดให้รอบคอบ จะเอาความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่แบบเมื่อก่อนไม่ได้"

"ค่ะแม่ ยังไงหนูก็ต้องดูก่อนว่าพี่เขาเข้ากับมินจุนได้รึเปล่า"

"งั้นก็ดีแล้ว"



สองพี่น้องหันมายิ้มให้กัน คนเป็นแม่เองถึงไม่ยิ้มแต่ทั้งสีหน้าและสายตาก็บ่งบอกถึงความสบายอกสบายใจแบบที่มินซอกเองไม่ได้เห็นมานานแล้ว



ถึงเวลาที่งานวันเกิดเล็กๆต้องจบลง แต่หลายชายตัวน้อยยังทำท่าไม่อยากจะกลับบ้าน

คุณยายกับคุณลุงต้องทั้งกอดทั้งหอมร่ำลาอยู่นานถึงยอมให้พาไปส่งที่รถ พอเปิดประตูเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วมินจุนก็ทำตาโตเหมือนนึกอะไรได้ มินซอกเลยต้องยั้งมือยังไม่ปิดประตูรถ มือเล็กอูมรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบห่อกระดาษสีสดใสที่พับทบกันไปมาแล้วรัดไว้ด้วยหนังสติ๊กส่งให้คุณลุงตัวเล็ก


มินซอกรับมายิ้มๆ ย่อตัวนั่งยองๆข้างหลานแล้วค่อยๆแกะห่อกระดาษแบบแอ๊คติ้งให้ตื่นเต้นเกินจริงไปมาก มินจุนหัวเราะขำเอามือปิดปากตื่นเต้นตามคุณลุงไปด้วย



ในห่อกระดาษไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเขา มีเข็มกลัดโลหะรูปหัวใจสีแดงขอบสีทองอยู่ในนั้น มินซอกหยิบขึ้นมาแล้วมองหน้าหลานด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในใจ

"จุนนี่ชอบมากๆเลยไม่ใช่เหรอครับ"

"จุนนี่ชอบมากๆคับ แต่ว่าจุนนี่อยากให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณลุง คุณลุงจะได้เอาไปให้ขวัญใจของคุณลุงคับ"

"ขวัญใจของลุง...."

"ก็คุณลุงที่หล่อๆแล้วก็ใจดีอุ้มคุณลุงมิงซ๊กส่งบ้านไงคับ"



มินซอกกอดหลานลูบหลังเบาๆ ทั้งรู้สึกมีความสุขที่หลานเป็นเด็กน่ารักรู้จักใส่ใจความรู้สึกคนอื่น และทั้งเจ็บอยู่ลึกๆเพราะหวั่นใจว่าอาจไม่มีโอกาสทำตามที่หลานต้องการ






..............................









ลู่หานถึงกับขำตัวเองที่นิ้วมือสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ทันทีที่เวลาสี่ทุ่มแบบไม่ขาดไม่เกินสักวินาที 

แต่พอต้องรอสายสีหน้าก็กลับมาเรียบนิ่งหัวคิ้วกดลงเป็นรอยย่นนิดๆ

นานจนชายหนุ่มเริ่มกังวล แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตอบรับความอดทน



"สวัสดีครับ"

"สุขสันต์วันเกิดนะครับ"

"......"

"พอดียุนกิบอกน่ะครับว่าวันนี้วันเกิดคุณ"

"....ขอบคุณนะ"

"มีความสุขมากๆนะครับ"

"ครับ...ขอบคุณ...."

ประโยคสนทนาที่สั้นห้วนทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นทุกที ลู่หานเลยต้องรีบเข้าประเด็นสำคัญก่อนบรรยากาศจะแย่ไปกว่านี้

"คือ...พรุ่งนี้สวนสนุกมีพาเหรดตัวการ์ตูนวันสุดท้ายมีโพโรโระด้วย ถ้าคุณว่างผมอยากจะชวน..."

"คงไม่ได้หรอก ผม....นัดกับแม่ไว้แล้ว"

"อ้อ...ครับ ไม่เป็นไร ถ้างั้นผมไม่กวนคุณแล้ว หลับฝันดี แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะครับ"

"อืม...ผมน่ะ ไม่ได้ชอบโพโรโระขนาดนั้นหรอกนะ...แต่ยังไงก็ขอบคุณ เจอกันวันอังคารนะ สวัสดีครับ"




วางสาย ถอนหายใจ ทิ้งตัวลงกับเตียงราวกับนัดคิวกันไว้



"คิดเอาเองแล้วก็งอนเอง แล้วจะง้อด้วยอะไรดีล่ะเนี่ย โพโรโระก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้นนี่"

ลู่หานยิ้มบางๆให้กับความรู้สึกที่เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นตามง้องอนคนที่ชอบ แต่ลึกๆก็เสียดายแผนปรับความเข้าใจที่คิดมาอย่างดีกลับโดนเมินเสียได้

กำลังจะตั้งท่าคิดหาแผนใหม่ก็มีสายเข้าขัดจังหวะความคิดพอดี เขามองหน้าจอแล้วพลิกตัวมานอนคว่ำรับสายคนคุ้นเคยที่ห่างหายกันไปเสียนาน




มินซอกถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน ไม่อยากลุกไปอาบน้ำหรือทำอะไรทั้งนั้น เขาพลิกตัวนอนคว่ำชันข้อศอกคว้าโทรศัพท์โทรหาคนเดิมๆที่รับฟังเขาได้ทุกเรื่อง



"สุขสันต์วันเกิดเว้ย"

"ถ้ากูไม่โทรหา มึงจะสนใจโทรมาอวยพรวันเกิดกูมั๊ย"

"แล้วไอ้หมาล่ะ"

"มันส่งข้อความมาตั้งแต่บ่ายแล้ว ขนาดมันไปสัมนาต่างจังหวัดนะ"

"เออกูมันเลว"

"ใช่มึงมันเลวมาก"

"ไม่มาก เพราะกูกะว่าจะไปแฮปมึงด้วยตัวเอง แต่พอไปที่ร้านยุนกิบอกมึงกลับบ้านไปแล้วเพราะนัดกินข้วกับครอบครัว กูเลยคิดว่าปล่อยให้มึงมีความสุขตามประสากับครอบครัวก่อนค่อยโทรหา แล้วพอดีพ่อกูให้ช่วยทำบัญชีจนดึก นี่เพิ่งเสร็จแล้วมึงดันโทรมาก่อน"

"แก้ตัวยาวเลยนะมึง"

"ก็กูรู้ว่าเพื่อนกูสมองช้า กูเลยต้องพยายามอธิบายให้ครอบคลุม"

"แต่กูรู้นะว่าอันนี้มึงหลอกด่ากู"

"งั้นแสดงว่าปีนี้อายุสมองเพิ่มขึ้นตามอายุขัยด้วย รู้แบบนี้กูก็ดีใจ"

"กูย้ำอีกทีว่ามึงเลวมาก" มินซอกเน้นเสียงที่สองคำหลังอย่างจงใจ

"กูย้ำอีกทีว่าไม่มาก เพราะกูมีบัตรวีไอพีที่สวนสนุกพรุ่งนี้ มึงจะได้สิทธิ์นั่งรถในขบวนพาเหรดกับโพโรโระพ่อมึง"

มินซอกกลั้นยิ้ม พยายามเก๊กเสียงเข้มไม่ให้เพื่อนได้ใจ

"เรื่องแค่นี้ทำมาเป็น..."

"มึงจะกรี๊ดก็ได้ ไม่เสียฟอร์มหรอก มึงไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว"

"ก็ไม่ใช่เด็กสามขวบสี่เดือนจะให้กรี๊ดเพราะเรื่องแค่นี้...พรุ่งนี้มารับกูด้วย"

"สิบโมงตรง อย่าลืมใส่แพมเพิสด้วยกูขี้เกียจพามึงไปฉี่"

"งั้นมึงก็ชงนมใส่ขวดเตรียมมาให้กูด้วยเลยดิ"

"ตามนั้น"



สุดท้ายมินซอกเลยไม่ได้พูดเรื่องที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยก็มีแรงลุกไปอาบน้ำ

ชีวิตยังมีหวังเพราะพรุ่งนี้จะได้เจอโพโรโระ







.........................











มินซอกขอจับมือกับมาสคอตตัวการ์ตูนตัวโปรดก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มาสคอตโอบไหล่เขา เขาเลยโอบเอวตอบ ใจเต้นแรงและอยากจะกรี๊ดดังๆแต่ทำได้แค่ยิ้มโชว์ฟันหน้าครบแถมเหงือกให้ด้วย 


รถเริ่มเคลื่อพร้อมเสียงเพลงบรรเลงคึกคักจากวงดุริยางด์หน้าขบวน รถคันอื่นๆที่มีลูกค้าของสวนสนุกนั่งกับมาสคอตเป็นเด็กที่ยังไม่เข้าเรียนนั่งกับผู้ปกครองหรือเด็กนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งนั้น ทุกคนโบกมืออย่างมีความสุข แต่คนที่มีความสุขเกินหน้าคนอื่นคือชายหนุ่มวัยทำงานชื่อคิมมินซอก 


จงอินรู้สึกเหมือนพ่อพาลูกวัยอนุบาลมาเที่ยว เขาโบกมือตอบมืออูมๆที่ดูจากตรงนี้เหมือนอุ้งมือแมวกวักหยอยๆในอากาศ พอพ้นสายตาเพื่อนไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขำกับตัวเองแล้วรีบเดินไปรอรับลูกชายที่จุดพักขบวนจุดแรก



ผ่านไปสิบห้านาทีขบวนพาเหรดก็ใกล้จะถึงจุดพักแรกซึ่งจะมีลูกค้าที่มีบัตรวีไอพีคนอื่นๆขึ้นมาเปลี่ยนได้นั่งข้างๆมาสคอตบ้าง มินซอกสะกิดโพโรโระขอจับมือและกอด ร่างเล็กแทบจมหายไปกับอกที่ทำจากผ้าหนานุ่ม เขากอดนานจนโพโรโระต้องลูบหัวแล้วตบไหล่เบาๆเป็นเชิงเตือนเพราะรถจอดและเขาต้องลงแล้ว 


มินซอกคลายอ้อมกอดออกเขินๆ ในจังหวะที่จะลุกยืนแล้วมองหาเพื่อนไปด้วย สายตาก็จับภาพใครอีกคนได้ เขายืนนิ่งมองภาพชายหนุ่มที่ตัวเองปฏิเสธที่จะมาที่นี่ด้วยเมื่อคืนเดินโอบไหล่หญิงสาวรูปร่างหน้าตาน่ารักหายไปกับกลุ่มคนตรงปราสาทเจ้าชายอสูร



"มินซอก มินซอก..." จงอินพยายามตะโกนเรียนเพื่อนที่ยืนตาลอยอยู่ ในขณะที่เด็กที่เป็นคิวถัดไปก็ชะเง้อคอรอ จนมาสคอตต้องสะกิดเรียกสติ มินซอกถึงรู้ตัวรีบลงรถไปหาเพื่อน



"มึงเป็นอะไรเนี่ย"

"ป่าว...กูเหมือนเห็นคนรู้จัก"

"ใครอะ"

"ไม่ใช่ใครหรอก กูมองผิด"

"งั้นไปหาไรกินเหอะ กูหิวแล้ว"

มินซอกพยักหน้า จงอินมองกวาดสายตาสำรวจสีหน้าแบบที่ไม่ให้อีกคนสังเกตเห็น เขารู้ว่าเพื่อนโกหกแต่จะคาดคั้นเอาความจริงก็อาจจะทำให้วันนี้พังไม่เป็นท่า เขาอยากจะให้วันนี้เป็นวันแห่งความสุขเรื่องอื่นคงต้องพักไว้ก่อน






ทั้งบ้านผีสิง ทั้งเครื่องเล่นหวาดเสียวต่างๆ ทำให้มินซอกเหมือนจะลืมเรื่องทุกข์ในใจไปชั่วขณะ เขาหัวเราะร่ามีความสุขตลอดเวลา แต่คนที่ทุกข์หนักขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นคนที่หวังว่าวันนี้จะมีความสุขแบบสุดๆ 


พอลงมาจากรถไฟเหาะ จงอินรู้สึกว่าโลกนี้มันโหดร้ายสำหรับหมีรักสงบอย่างเขาเกินไปแล้ว มินซอกที่พยายามจูงเพื่อนไปที่เครื่องเล่นดรอปทาวเวอร์แต่โดนดึงแขนกลับ เขาหันมามองหน้าเพื่อนงงๆ


"มึงหยุดร่าเริงก่อน ไม่งั้นกูจะตายให้มึงดูตรงนี้แหละ" จงอินแทบไม่มีเสียงจะพูด เขาลูบหน้าลูบตาตัวเองแล้วกุมท้อง เริ่มรู้สึกว่าอาหารที่ย่อยแล้วกำลังย้อยกลับขึ้นมาทางเดิม

"มึงเป็นอะไร อย่าเพิ่งตายนะเว้ย" มินซอกถลาเข้าไปประคองเพื่อน เอาแขนยาวๆมาพาดไหล่ตัวเองไว้ จงอินรีบชี้ไปที่ม้านั่งใต้ร่มไม้แถวนั้น

ความสูงที่ต่างกันอยู่มากสภาพการประคองจึงถูลู่ถูกังจนเกือบจะล้มไปทั้งคู่ พอทิ้งตัวลงกับม้านั่งได้ก็หอบแฮ่ก



"มึงนอนพักก่อน หน้าซีดกว่าผีซาดาโกะแล้ว" มินซอกขยับตัวไปจนสุดที่นั่งแล้วจับไหล่เพื่อนให้เอนตัวลงนอนที่ตัก

"กู...กูไม่เป็นไร นอนพักหน่อยก็หาย"

"ทำไมไม่บอกว่ากลัว กูเห็นมึงแหกปากก็นึกว่าสนุก"

"ไม่มีใครสนุกเกินมึงหรอก กูจะตายตั้งแต่บ้านผีสิงแล้ว"

มินซอกหน้าละห้อยรู้สึกผิดที่ตัวเองสนุกอยู่คนเดียว แต่เพื่อนหมดสภาพแบบนี้



มือเล็กเกลี่ยไรผมชื้นเหงื่อให้พ้นกรอบหน้า แล้วเอาโบชัวร์ในมือพัดพอให้อีกคนได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น

จงอินขยับตัวให้นอนถนัดๆเอียงหน้าเข้าหาลำตัวพยาบาลจำเป็น ยกขาชันเข่าไว้ข้างหนึ่งอีกข้างเหยียดลอดที่พักแขนเลยออกไปนอกม้านั่ง



ขนาดของร่างกายกับม้านั่งดูไม่น่าจะนอนได้สบายนัก แต่ชายหนุ่มหลับตาพักเดียวหน้าซีดๆก็กลับมาดูสดใสขึ้น ลมหายใจหอบเหนื่อยค่อยๆลดจังหวะลง

มินซอกมองใบหน้าหล่อคมในมุมกลับด้านและเห็นแค่ด้านข้าง แต่เพื่อนรักก็ยังดูหล่อมากอยู่ดี นึกไปถึงวันที่จงอินเป็นเหมือนอัศวินขี้ม้าขาวมาช่วยเขาไว้ไม่ให้โดนรุมซ้อมก็ได้แต่ยิ้ม จงอินเป็นเด็กกิจกรรมทั้งหล่อทั้งรวยถึงจะดูไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครนอกจากเรื่องงาน แต่ก็โดดเด่นกว่าใครในโรงเรียน ยังงงอยู่เหมือนกันที่มาสนิทกับเด็กโลว์โฟรไฟล์อย่างเขากับแบคฮยอนได้ แล้วยังรักกันเหนียวแน่นมาถึงวันนี้ด้วย



นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมือก็ยังพัดไม่หยุด จู่ๆคนในห้วงความคิดก็ลืมตาขึ้นมา มินซอกถึงกับสะดุ้ง อีกคนเลยเอาอุ้งมือรองใต้คางแล้วออกแรงบีบแก้มนุ่มจนยุบปากยู่แล้วจับส่ายไปมา

"โอ้ยๆๆ อ้ายหมีค...ควา...ควาย ป่อยยยยกูวววว" โวยเพื่อนพลางสูดน้ำลายเพราะบังคับปากตัวเองไม่ได้ อาศัยโบรชัวร์ในมือเป็นอาวุธตีรัวๆมัวไปหมด

"จ้องซะหน้ากูจืดหมดแล้ว" ว่าพลางปล่อยมือแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่ง

"กูไม่ได้เลียหน้ามึงนะจะได้จืด"

"ถึงอยากเลียกูก็ไม่ให้ ถ้าดูดกูอนุญาต" ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้นแถมเอานิ้วชี้ๆลงเบื้องล่าง

"ไอ้หื่น"

"กูหมายถึงหัวแม่ตีน"

"ไอ้ถ่อย" มินซอกตีไหล่เพื่อนแล้วลุกขึ้นยืนมองซ้ายมองขวา

"มึงจะไปไหน"

"เย็นแล้ว กลับเหอะ"

"ไรวะ"

"ก็มึงปอดแหกเล่นอะไรก็ไม่ได้ซักกะอย่าง"

"กูจะเล่นม้าหมุน"

"โอ้ย เอาคฑานางฟ้าด้วยมั๊ยล่ะ" ประชดเพื่อนแล้วแกล้งทำเป็นจับกระโปรงย่อตัวถอนสายบัว คงลืมไปว่าเมื่อตอนสายใครกลั้นกรี๊ดโพโรโระแทบตาย

จงอินไม่ฟังเสียง ดึงแขนเพื่อนกึ่งลากกึ่งพาเดินไปที่ม้าหมุนขนาดใหญ่ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก



มินซอกยืนต่อแถวด้วยอาการกอดอกหย่อนขาแบบเซ็งๆ ส่วนจงอินดูระรื่นมากเขาเลยไม่อยากพูดอะไรอีก คนตัวเล็กขยับตัวออกจากแถวเช็คจำนวนคนคร่าวๆเพราะแถวยาวพอควร ส่วนใหญ่เป็นเด็กกับผู้ปกครองหรือไม่ก็คู่รัก เขาไล่สายตาจากหัวแถวมาเรื่อยๆจนถึงคิวก่อนหน้าตัวเองไม่กี่คน แล้วสายตาก็หยุดอยู่แค่นั้น สองขาขยับถอยแบบไม่รู้ตัวจนแผ่นหลังชนกับร่างสูงใหญ่ของเพื่อน แต่ก็ยังพยายามดันตัวถอย

จงอินเอาแขนรวบเอวไว้ให้หยุดยืนนิ่งๆ แล้วโน้มตัวก้มดูหน้าคนที่เหมือนสติจะไม่อยู่กับตัว



"มินซอก.."

เจ้าของชื่อรับรู้ หมุนตัวหันมาก้มหน้างุด หัวอิงอยู่กับอกเพื่อน

"มึงเล่นคนเดียวได้มั๊ย"

จงอินลองไล่สายตามองคนในแถวบ้างไม่กี่วินาทีก็สะดุดกับคู่ชายหญิงที่ยืนคิวไม่ไกลกันนัก

"ไม่เป็นไร งั้นกลับบ้านกัน" ชายหนุ่มก้มลงมาพูดเบาๆ

มินซอกพยักหน้าทั้งที่ยังก้มหัวอยู่ แล้วรีบดินปลีกออกจากแถวจงอินหมุนตัวจะเดินตามแต่หันไปมองอีกครั้ง ฝ่ายชายเหมือนกำลังจะเงยหน้าจากการพูดคุยกับหญิงสาว เขาเลยรีบหันกลับเดินตามมินซอกไป












คนหนึ่งขับรถอีกคนหนึ่งทำเป็นหลับ แล้วจู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก คนที่แกล้งหลับเลยขยับตัวนั่งตรงๆจัดสายเข็มขัดนิรภัย แล้วหันมองวิวข้างทางผ่านกระจกและร่องรอยจากน้ำฝนที่แข่งกันตกกระทบทิ้งรอยไว้จนภาพภายนอกแทบมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร เห็นก็แต่แสงไฟจากรถ จากร้าน จากถนน เป็นจุดสีต่างๆ จนรถหยุดการเคลื่นไหวจึงเห็นแต่สีแดงเป็นดวงๆเต็มไปหมด



"มึงเลยอดนั่งม้าหมุนเลย"

"กูก็ไม่ได้อยากนั่งขนาดนั้น"

"กูขอโทษ"

ถ้ากูอยากนั่งจริงๆกูซื้อไปไว้ในสวนหลังบ้านก็ได้"

"กูหมายถึง...กูขอโทษที่เป็นแบบนี้"

"มึงไม่ได้ผิดอะไร ไม่ต้องขอโทษ" ดวงตาคมสีดำสนิทยังคงวางอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเพื่อนตัวเล็ก เหมือนรอให้หันมา รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเริ่มเจ็บแปลบๆอยู่ข้างใน



เสียงแตรรถถี่ๆจากคันหลังดังแทรกบรรยากาศขมุกขมัว จงอินรีบออกรถทั้งที่ยังไม่ได้โฟกัสทางข้างหน้า เพราะคิดว่าคงจะเผลอไปจนสัญญาณไฟเปลี่ยนสีนานแล้ว

แต่ความจริงมันแค่เสี้ยววินาที และเป็นเสี้ยววินาทีที่รถอีกด้านคิดว่าจะสามารถเร่งความเร็วฝ่าสัญญาณไฟไปได้ทัน



เร็วไปกับช้าไปแต่มาปะทะกันพอดี



ทำให้เกิดเสียงวัสดุเหล็กกล้ากระแทกกันดังแทรกเสียงน้ำฝนขึ้นมา









..............................











เปลือกตาสั่นจากอาการเกร็งอยู่นานจนในที่สุดก็ค่อยๆยกขึ้นมาได้ เพดานห้องกับแสงสลัวๆเป็นสิ่งแรกที่รับรู้ ต่อมาก็เป็นความรู้สึกเจ็บช่วงลำตัวเวลาหายใจ มุมปากที่ปวดตุบๆ หัวที่รู้สึกหนักกว่าปกติแม้ว่าจะถูกวางไว้นิ่งๆที่หมอน สมองประมวลผลว่าตัวเองยังอยู่ี่ที่โรงพยาบาลแต่ไม่ใช่จุดเดิมที่ลืมตาขึ้นครั้งแรก



ชายหนุ่มเอียงหน้าช้าๆแล้วกดคางลง สายตาหยุดอยู่ตรงต้นแขน เห็นแต่กลุ่มผมสีดำสนิทกับปลายจมูกเล็กมนที่ยื่นออกมา




ลำตัวที่แนบอยู่กับท่อนแขนของเขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวตรงอกที่เป็นจังหวะขึ้นลงช้าๆสม่ำเสมอ แต่มันกลับทำให้ในอกของเขาเองสร้างจังหวะที่เร็วขึ้นแล้วก็แปลกที่กลับทำให้ความเจ็บปวดคลายลงได้

แขนข้างที่มีสายน้ำเกลือยกขึ้นๆแล้ววางมือลงตรงกลุ่มผมนุ่มยุ่งเหยิง สักพักร่างเล็กก็ขยับตัว เสียงแหบแห้งจีงเอ่ยปราม




"นอนเถอะ...ไม่เป็นไร"

"เจ็บมากมั๊ย"

จงอินได้ยินเสียงเล็กๆตอบอู้อี้และเห็นปลายจมูกมนขยับนิดๆตามจังหวะการพูด

"เจ็บฉิบหายเลย" ตอบไปแบบนั้นแต่มุมปากที่ปวดตุบๆกลับยกขึ้นนิดๆ

"ขอโทษนะ"

"กูขับรถไม่ดีเอง มึงจะขอโทษทำไม"

"ก็กูทำให้มึงเป็นห่วงเลยไม่มีสมาธิขับรถ"

"หลงตัวเองล่ะมึง ลูกแมวตัวเดียวกูจะห่วงอะไรนักหนา"

ร่างเล็กขยับตัวชิดเข้ามา แนบแก้มไว้ที่อกกว้างที่มีเสื้อลายตราสัญลักษณ์โรงพยาบางคลุมอยู่ ก่ายหัวเข่าไว้กับต้นขาแกร่ง ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับไปเพราะรู้ดีว่าที่เขาพูดน่ะถูกแล้ว แค่เพื่อนรักไม่อยากยอมรับเพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกผิด




"มึงไม่เป็นไรใช่มั๊ย"

"ไม่ต้องห่วงกูหรอก มึงเจ็บกว่าตั้งเยอะ"

"กูไม่ได้หมายถึงร่างกายมึง"

"....กูก็ไม่รู้...กูไม่ควรอยากมีใครในชีวิตเลยว่ะ อยู่กับพวกมึง กับเหล้า กับขนมปังก็ดียู่แล้ว"

"อย่าคิดแบบนั้น มึงจำใส่สมองก้อนเท่าขี้แมวของมึงไว้เลยนะ มึงเป็นคนที่สมควรจะถูกรักที่สุดในโลกคนหนึ่งเท่าที่กูเคยรู้จัก"

"ขี้แมวใหญ่แค่ไหนอะ"

"ก็แล้วแต่พันธุ์ แต่เล็กกว่าขี้หมีกับขี้หมา"

"มึงหมายถึง..ถึงกูจะโง่แต่ก็น่ารักใช่ป่าว"

"ที่อย่างงี้เสือกฉลาด" มือใหญ่กำเป็นมะเหงกเคาะที่หัวกลมๆเบาๆ

"ขอบคุณที่ชม หน้าตาดีแล้วยังปากดีด้วย"

"มึงเคยนอนๆอยู่แล้วโดนหมีกินหัวม่ะ"

จงอินแกล้งยีหัวเพื่อนแรงๆจนขวดน้ำเกลือแกว่งแล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ มินซอกเงียบไป จงอินเองก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่ลูบหัวอยู่อย่างนั้น

มีเสียงถอนหายใจเบาๆนำมาก่อนแล้วตามด้วยเสียงเล็กๆอู้อี้เพราะแก้มที่แนบอยู่กับอกจนปากยู่

"ลู่หานบอกว่ามีคนรัก อาจจะเป็นคนนี้...แบบนี้กูอกหักใช่มั๊ย"

"มึงเจ็บมั๊ยล่ะ"

"เจ็บฉิบหายเลย"

"ถ้างั้นก็คงใช่"

"เขายังไม่รู้เลยมั้ง....ว่ากูชอบเขา"

จงอินได้แต่ถอนหายใจ ทั้งที่อยากบอกเหลือเกินว่ามองจากดาวพลูโตยังรู้ แล้วเจ้าตัวจะไม่รู้ได้ยังไง

แต่เขาเองก็ออกจะแปลกใจที่ได้รู้ว่าลู่หานมีคนรักแล้ว เมื่อนึกถึงท่าทีที่มีต่อเพื่อนรักตัวเล็กของเขา

หลายเรื่องที่ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัว แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ก่อน

"นอนเถอะ..เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้น"

"มึงก็ต้องดีขึ้นด้วยนะ"

"อืม" คนเจ็บวางมือค้างไว้ที่หัวกลมๆที่ย้ายขึ้นมาอยู่ชิดปลายคางของเขาจนได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ ไม่นานนักก็เหลือแค่เสียงเข็มนาฬิกาที่ผนังปลายเตียงดังเป็นจังหวะซ้ำๆตลอดค่ำคืนที่การเยียวยาไม่ได้เกิดจากยาเพียงอย่างเดียว









มินซอกรอจนหมอเข้ามาเช็คอาการคนเจ็บช่วงสาย เมื่อมั่นใจว่าเพื่อนรักไม่มีอะไรน่าห่วงจริงๆและโดยจงอินไล่อยู่หลายครั้งถึงได้ยอมกลับบ้าน




สายที่ไม่ได้รับเป็นสิบจากคนเดียวกัน ถึงรู้ว่าคงเลี่ยงได้ไม่นานแต่อย่างน้อยขอเลี่ยงไปอีกซักชั่วโมงก็ยังดี











"ลูก..." ผู้เป็นแม่เดินตรงเข้ามากอดลูกชายทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา

"จะกลับทำไมไม่โทรบอกแม่ล่ะ จะได้ให้น้องขับรถไปรับ"

ลูกชายไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มๆยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เจ็บตัวขนาดนั้น

"แล้วจงอินล่ะลูก เป็นไงบ้าง"

มินซอกจับมือแม่จูงให้มานั่งที่โซฟาก่อนจะอธิบายอาการของเพื่อนให้ฟัง



"หมอบอกอวัยวะภายในไม่เป็นไรครับ มีแค่รอยฟกช้ำภายนอกแต่อยากให้นอนโรงพยาบาลอีกซักสองสามวันเพราะร่างกายด้านซ้ายโดนกระแทกค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ"

"ค่อยเบาใจหน่อย..แล้วนี่ลูกกินข้าวรึยัง"

"เดี๋ยวลูกขอนอนซักงีบก่อนดีกว่า"

ผู้เป็นแม่เห็นหน้าหน้าตาท่าทางซึมๆของลูกเลยไม่อยากขัดใจ มีรอยช้ำเล็กๆแถวคางและหน้าผากเห็นเพียงแค่นี้ก็ใจไม่ดีแล้ว มือซูบลูบแก้มที่บวมนิดๆอย่างทนุถนอมก่อนจะพยักหน้าแล้วปล่อยให้ลูกชายได้ขึ้นไปนอนพักบนห้อง





ร่างเล็กค่อยๆเอนตัวลงกับที่นอน มือก็ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากาง เกง ตัดสินใจโทรกลับสายที่ไม่ได้รับเพราะไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่



"เป็นยังไงบ้างครับ"

"คุณก็เห็นผมที่โรงพยาบาลแล้วนี่ว่าไม่ได้เป็นอะไร"

"แล้วคุณจงอินล่ะครับ"

"ต้องอยู่โรงพยาบาลก่อน แต่หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง...วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยก็ได้นะ"

"ไม่เป็นไรครับ"

"พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปแต่เช้าจะได้จ่ายเงินเดือนคุณด้วย ทำงานวันสุดท้ายแล้วนี่"

"ผมอยู่ต่อก่อนได้ คุณควรจะพักให้หายดีก่อน"

"ก็ผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร"

น้ำเสียงเริ่มห้วนและจริงจังมากขึ้นแต่เหมือนอีกฝ่ายก็เตรียมใจไว้แล้ว เขารับมืออย่างใจเย็นและรุกกลับไปด้วย

"แล้วที่น้ำเสียงย่ำแย่ขนาดนี้เป็นเพราะอะไรครับ"

"..."

"เพราะอะไรครับ"

"...มัน...เรื่องของผม"

"เรื่องของคุณที่เกี่ยวกับผม...ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะรู้"

"..."

"..."










........................................



............................





สวัสดีค่ะ

ไม่อยากบ่นเรื่องความป่วงของโน้ตบุ้คเลย

เก็บไว้เป็นความเจ็บปวดส่วนบุคคลที่โดนกลั่นแกล้งโดยเทคโนโลยีเสมอมาละกัน T_____T


เข้าเรื่อง...

อยากได้จงอิน .....พูดได้แค่นี้ 

หวังว่าตอนหน้าลู่หานจะคัมแบคแบบฟูลเทิร์นเดินเข้าเส้นชัยแบบหล่อๆคูลๆให้สมกับที่เป็นพระเอกนะคะพี่  (=^~^=)"




Create Date : 24 พฤษภาคม 2560
Last Update : 1 สิงหาคม 2560 11:39:04 น.
Counter : 478 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2090139
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
พฤษภาคม 2560

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
31