|
||||
ลู่หมินซีรีส์ The Writer 3 / SINK 3.3 (จมรัก) ดวงตาโตสวยมองกลีบดอกลิลลี่ล้อเอนไปตามสายลมแรง เกรงอยู่ว่ากลีบจะช้ำแต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไปตามวิถีธรรมชาติ เขายกมือเสยผมที่กระจัดกระจายลงมาปรกหน้า แล้วลุกขึ้นไปสัมผัสป้ายหิน ไออุ่นจากความร้อนของแดดที่สะสมไว้ยังมากพอที่ส่งต่อไปถึงอุ้งมือ ชายหนุ่มอมยิ้มเอ่ยชื่อที่เป็นชื่อเดียวกับที่สลักอยู่ที่ป้ายเบาๆ "....พี่ขอโทษที่ปีนี้มาช้านะครับ..." ถ้อยคำในใจมากมายที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ ลู่หานเงยหน้าขึ้นรอจนความรู้สึกจุกที่คอคลายความอึดอัดลง ก้มมองที่ป้ายหินอีกครั้ง แม้ดวงตาแดงก่ำแต่ริมฝีปากก็คลี่เป็นรอยยิ้มก่อนโบกมือแล้วเดินออกจากสถานที่อันเงียบสงบที่กักเก็บเสียงสะอื้นไห้ของผู้คนมากมายเอาไว้
...................................... มินซอกเลี้ยวรถคันเล็กๆเก่าๆที่เป็นมรดกอีกชิ้นของพ่อนอกเหนือไปจากบ้านและร้านเบเกอรี่เข้าไปจอดในที่จอดรถของหมู่บ้านข้างสนามเด็กเล่น มีรถจอดอยู่ไม่กี่คันเป็นของครอบครัวที่ไม่สะดวกจะเอารถไปจอดหน้าบ้านตัวเอง
ชิงช้าที่เคลื่อนไหวไปมาสะดุดสายตาให้หยุดเดินหันไปมอง คนที่นั่งอยู่ตรงชิงช้าเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่อยู่ในสนามเด็กเล่นตอนนี้ มินซอกกระชับหูหิ้วถุงใบใหญ่ในมือ กระพริบตาปริบๆปรับสายตาผ่านความครึ้มของบรรยากาศช่วงใกล้ค่ำ ฟันกระต่ายข่มริมฝีปากในขณะคิดหาเหตุผลแต่ไม่เข้าท่าสักอย่าง พอคิดว่าแค่เจอคนรู้จักจะเข้าไปทักไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไร สองขาก็เปลี่ยนทิศทางทันที
คนตัวเล็กลดความเร็วฝีเท้าลงเมื่อความห่างอยู่ในระยะที่ชวนอึดอัดใจ ในจังหวะที่ตัดสินใจหยุดฝีเท้าคนที่ชิงช้าก็หันมาพอดี เส้นผมเป็นลอนอ่อนๆปรกอยู่ครึ่งหน้า แสงจากท้องฟ้าที่เหลืออยู่ไม่มากแต่ยังชัดพอที่จะเห็นรายละเอียดของใบหน้าที่โผล่พ้นกลุ่มผมออกมา ดวงตาคู่สวยไม่สดใสนัก
จู่ๆก็รู้สึกผิดที่เหมือนละลาบละล้วงเวลาส่วนตัวของคนอื่น แต่มือที่โบกเรียกแล้วชี้ไปที่ชิงช้าตัวข้างๆก็ทำให้เขาพอจะแก้ตัวได้ว่าลู่หานอาจไม่ได้ต้องการอยู่คนเดียวแต่กำลังต้องการเพื่อนต่างหาก
คนมาก่อนเริ่มดันเท้ากับพื้นให้ชิงช้าเคลื่อนที่ มินซอกวางถุงไว้กับพื้นข้างตัวแล้วเริ่มทำแบบเดียวกัน ปล่อยให้สายลมได้ปะทะผิวหน้าและส่งเสียงคลอข้างๆหูอยู่พักใหญ่ ลู่หานจึงวางเท้ากดลงกับพื้นเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของชิงช้า มินซอกเองก็ทำแบบเดียวกัน
"ผมชอบที่นี่มากเลยนะ" ชายหนุ่มหันมาหาคนข้างๆที่หน้าตาออกจะเหรอหราเพราะกำลังทำตัวไม่ถูก แต่ก็พยักหน้ารับรู้และตั้งใจฟัง "แต่ก่อนนี้ผมชอบมาดื่มกาแฟร้านตรงถนนฝั่งตรงข้าม แล้วก็มาแวะทีนี่ประจำ แต่ไม่เห็นเคยเจอคุณ" "ก็น้องผมเพิ่งมาอยู่หมู่บ้านนี้ไม่ถึงสามเดือนเลย แต่ก่อนผมไม่เคยมาแถวนี้หรอก...แต่แหมเจอกันตอนดีๆก็ไม่ได้นะ" มินซอกเสียงอ่อย "ก็ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน คุณในแบบนั้นก็น่ารักจะตาย" "ตายก็เป็นผีสิ ผีน่ารักตรงไหน" ลู่หานขำเบาๆกับมุกข้างๆคูๆที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นมุก คนโดนขำบึนปากใส่กลบความรู้สึกลึกๆที่ใจหวิวๆแปลกๆ แต่สุดท้ายก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เลยต้องกลบเกลื่อนอีกชั้นด้วยการชวนคุยต่อ "ว่าแต่...ทำไมคุณถึงชอบมาสนามเด็กเล่นล่ะ" "ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบหรอกครับ แต่คนรักผมชอบมาก เขาบอกว่าเด็กๆเวลาอยู่ในสนามเด็กเล่นน่ะเหมือนเทวดานางฟ้าที่น่ารักและมีความสุข เห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย" เหมือนเดินอยู่ในสวนดอกไม้ลั้นลาอยู่ดีๆก็สะดุดก้อนหินเสียหลักวูบลงไปตรงพื้นต่างระดับ รู้สึกเหมือนหัวใจไม่ได้อยู่ตรงอกซ้ายแล้ว หัวกลมๆหันกลับแล้วก้มมองปลายเท้าตัวเอง รอยช้ำเล็กๆตรงนิ้วก้อยนั่น บางทีหัวใจอาจจะหล่นไปอยู่ตรงนั้น ลู่หานมองตามสายตาคนตัวเล็ก แอบสำรวจเท้าทั้งสองข้างที่หนีบเตะคู่เก่งมา "หายดีแล้วนะ" มินซอกได้ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอ เขากระแอมอยู่หลายครั้งก่อนจะรีบพูดตัดบท "ผม...ผมขอโทษที ผมต้องไปก่อนนะ วันนี้วันเกิดมินจุนน่ะ ป่านนี้รอแย่แล้ว" ลู่หานยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างเล็กก็ลุกลี้ลุกลนคว้าถุงมากอดไว้แนบอกแล้วรีบเดินออกไป แผ่นหลังหายไปในความครึ้มของบรรยากาศอย่างรวดเร็ว
อันนี้ของขวัญของคุณยายกับคุณลุงนะ จุนนี่หม่ำข้าวเสร็จแล้วค่อยแกะดูนะครับ เด็กน้อยแก้มเยอะที่อายุ6ขวบเต็มในวันนี้ยิ้มกว้างจนเห็นข้าวในปาก มินซอกยิ้มแล้วลูบหัวหลานด้วยความเอ็นดู "พี่หายเจ็บเท้ารึยังเนี่ย" น้องสาวฝาแฝดสังเกตเห็นความผิดปรกติบางอย่าง "หายแล้ว" "ทำไมดู..." "ไม่ได้เป็นไร ที่ร้านมันยุ่งๆน่ะเลยเหนื่อยหน่อย" "ทำไมล่ะ คุณลู่หานออกไปแล้วเหรอ" "...ยัง...ก็..ก็ลูกค้าที่เป็นแฟนคลับพ่อนักเขียนสุดหล่อของเธอเริ่มจะรู้ไง ก็มาที่ร้านกันใหญ่ถ่ายรูปขอลายเซ็นกันวุ่นวาย" "แหมพี่ ก็ถือซะว่าโปรโมทร้าน และแฟนๆก็คงไม่ได้มากันเยอะแยะวุ่นวายมากขนาดนั้นมั้ง นักเขียนไม่ใช่ไอดอล" "ก็ฉันไม่คุ้นนี่" "คุณลุงมิงซ๊กจุนนี่แกะของขวัญได้ยังคับ" เจ้าของวันเกิดดึงแขนเสื้อคุณลุงแล้วชี้ๆที่ถ้วยข้าวที่ไม่มีข้าวเหลือซักเม็ด "โอเคครับ ลูกหมูของลุงเก่งมาก" มินซอกเอาของขวัญทั้งสองกล่องออกมาจากถุง มินจุนทำตาโตมองสลับกล่องของขวัญไปมาแล้วเลือกกล่องใหญ่กว่ามาเปิดก่อน ทั้งเซ็ตเครื่องเขียนชุดใหญ่และโมเดลหุ่นยนตร์ถูกใจเจ้าของวันเกิดมาก แกะแล้วก็หอบของแนบอยู่กับอกตลอดเวลา มินซอกเห็นหลานอารมณ์ดีเลยลองหยั่งเชิงพูดเรื่องตัวเองกับน้องสาวพยายามกันมาตลอดแต่ไม่เคยสำเร็จ "จุนนี่ก็หกขวบแล้วนะ เป็นเด็กโตแล้วเก่งแล้ว ลุงว่าต้องหัดว่ายน้ำได้สบายๆแน่ๆ" มินซอกทำเป็นหันไปพยักหน้ายิ้มๆกับน้องสาว "ไม่เอาๆ จุนนี่ไม่วายน้ำ โตแค่ไหนก็ไม่ว่าย ไม่ๆๆ" เสียงแหลมดังกว่าปกติพูดรัวๆแล้วรีบลุกจากเก้าอี้หอบของเล่นไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี พี่น้องหน้าเจื่อนกันไปทั้งคู่ มินซอกรีบเดินมานั่งกับหลาน เปลี่ยนเรื่องคุยให้เจ้าตัวเล็กกลับไปอารมณ์ดีเหมือนเดิม "วันนี้วันเกิดจุนนี่ แล้วอาทิตย์หน้าวันเกิดใครน้า" "วันเกิดคุณแม่กับคุณลุงมิงซ๊ก" ถึงจะยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับของเล่นแต่ก็ยอมเหลือบตาขึ้นมองนิดนึงแล้วตอบคำถาม "เพราะฉะนั้นอาทิตย์หน้าจุนนี่ก็ต้องไปกินข้าวบ้านลุงบ้างนะ" มินซอกก้มไปหอมแก้มหลาน หัวกลมๆผงกขึ้นลงเร็วๆจนผมกระเพื่อม ปากบึนๆเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งตาแทบปิด เพราะนอกจากจะได้เจอคุณยายแล้วเด็กน้อยรู้ดีว่าจะมีขนมอร่อยๆกินได้เยอะตามต้องการด้วย "เธอก็ไปด้วยนะ" มินซอกเงยหน้ามามองน้องสาว ซอลมีหลบตายังไม่กล้ารับปากพี่ชาย "ไปเถอะ นี่แม่เป็นคนให้ฉันชวนเธอนะ" "จริงเหรอพี่" หญิงสาวเบ่งตายกคิ้วอ้าปากหวอ ถอดแบบพี่ชายฝาแฝดเวลาได้ยินเรื่องแปลกใจมาแบบไม่ผิดเพี้ยน รีบลุกเดินมานั่งเบียดคนพี่ที่โซฟา "จริงสิ เห็นแม่เขียนรายการอาหารเตรียมไว้แล้วด้วยมีแต่ของชอบของเธอกับจุนนี่ ฉันต้องเตือนแม่เลยว่าอย่าลืมว่าเป็นวันเกิดฉันเหมือนกัน...แล้วที่แอบไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลน่ะแม่เค้ารู้นะ" ซอลมีรู้สึกร้อนที่ขอบตาขึ้นมารีบก้มหน้าขยับตัวห่างพี่ชาย มินซอกเลยแกล้งเคาะหัวน้องสาวเบาๆ "เธอมันยัยต๊อง แม่น่ะรู้ทันลูกอยู่แล้วอย่ามาทำเป็นแผนสูงเลย" พี่น้องฝาแฝดยิ้มให้กัน น้ำตาเอ่อด้วยกันทั้งคู่แต่ไม่มีใครยอมให้น้ำตาไหลออกมา พวกเขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่พ้นวัยประถมต้นไม่เคยมีใครร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็น เพราะต่างรู้ใจกันดีว่าถ้าคนหนึ่งร้องไห้อีกคนจะร้องตามและทุกข์ใจยิ่งกว่า .......................................... มินซอกพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่อะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติก็คงหลอกคนช่างสังเกตโดยธรรมชาติได้ยากหน่อย "คุณไม่สบายรึเปล่า" ลู่หานเดินมาดักหน้าเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเอาแป้งโดว์เข้าตู้พักแป้งแล้วจะเดินออกจากห้องไป "คุณมีอะไร" ถามกลับห้วนๆสายตามองผ่านไหล่คนถามไปที่ประตู "ผมถามคุณก่อนนะครับ" "ผมจะออกไปช่วยยุนกิ" "นั่นมันหน้าที่ผม" เขาลดเสียงให้เบาลงแต่ขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น "แต่ผมเป็นเจ้าของร้าน ผมจะทำอะไรก็ได้" สายตาย้ายมาหาคู่สนทนาแค่ชั่วเวลาหนึ่งประโยคคำพูดแล้วย้ายกลับไปที่ประตูอีกครั้ง ความจริงลู่หานพอจะเดาออกว่าสาเหตุของความไม่ปกติของเจ้านายตัวเล็กมาจากอะไร เรื่องที่คุยกันที่สนามเด็กเล่นยังค้างคาอยู่แค่บทเกริ่นนำ แต่มินซอกสรุปตอนจบเอาเองไปแล้ว แต่เรื่องราวทั้งหมดมันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่เขาจะมาพูดอธิบายในเวลางานแบบนี้ ชายหนุ่มขยับตัวหลบทาง ร่างเล็กก็พุ่งตัวตรงไปที่ประตูรีบเปิดออกไปเหมือนไม่สามารถเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาที หลายวันที่ลู่หานต่้องปล่อยให้มินซอกทำอะไรฝืนธรรมชาติตัวเอง จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะทำตามแผนปรับความเข้าใจที่เตรียมไว้เสียที ชายหนุ่มดันถาดขนมปังชุดสุดท้ายเข้าเตาอบ ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกมาที่เคาท์เตอร์ด้านหน้า "คุณมินซอกล่ะ" ยุนกินพับผ้าที่เพิ่งเช็ดกระจกตู้โชว์ขนมวางไว้ข้างซิ้งค์ พิงหลังกับเค้าเตอร์แล้วตอบคำถาม "พี่มินซอกกลับไปเมื่อกี้ครับ วันนี้วันเกิดพี่เขาเลยต้องรีบกลับไปทานข้าวกับครอบครัวครับ" "วันเกิด..." "ใช่ครับ...ซักสี่ทุ่มพี่ลู่หานค่อยโทรไปอวยพรวันเกิดก็ได้ครับ เพราะส่วนใหญ่พี่มินซอกจะนอนห้าทุ่ม แล้วที่บ้านมีเด็กงานวันเกิดในครอบครัวคงไม่ยืดเยื้อจนดึกดื่น" คำแนะนำที่จริงใจและรอยยิ้มซื่อๆจากเด็กตัวสูงโย่ง ทำให้ลู่หานมีรอยยิ้ม แต่ไอ้ท่าทีขยิบตาน่าหมั่นไส้ที่ตามมาก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชี้หน้าคาดโทษนิดๆทิ้งท้ายไว้ ........................................... บนโต๊ะอาหารของครอบครัวเล็กๆมีกับข้าวไม่กี่อย่างแต่มีของโปรดของแต่ละคนครบ มินจุนตักข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่องไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กช่างพูดเล็ดลอดให้ได้ยินซักแอะ ผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะอาหารลอบมองกันเป็นระยะๆอดไม่ได้ที่จะต้องหันมายิ้มให้กันด้วยความเอ็นดูสมาชิกตัวน้อยของครอบครัว "คนที่นัดเจอกันเป็นยังไงบ้างล่ะ" ซอลมีชะงัก หยุดมือที่จะตักกับข้าวตรงหน้าเหลือมองพี่ชายแบบขอความมั่นใจ มินซอกพยักหน้าให้น้องยิ้มๆ คนน้องเลยรีบหันมาตอบคำถาม "พี่เขาชื่ออีจุนค่ะแม่ อายุ30ทำงานที่บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ หนูเจอพี่เขาหลายครั้งแล้วค่ะ เขามีความเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผลแล้วก็ใจเย็นมาก พ่อแม่พี่เขาก็ดีค่ะหนู่เพิ่งไปเจอมา" "แล้วเคยเจอมินจุนรึยัง" "ยังเลยค่ะ เคยแต่คุยกันทางโทรศัพท์แต่ว่านัดกินข้าวเย็นกันไว้วันพรุ่งนี้ค่ะ" "ค่อยๆดูกันไปนะ ลูกโตแล้วและมีคนสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นต้องคิดให้รอบคอบ จะเอาความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่แบบเมื่อก่อนไม่ได้" "ค่ะแม่ ยังไงหนูก็ต้องดูก่อนว่าพี่เขาเข้ากับมินจุนได้รึเปล่า" "งั้นก็ดีแล้ว" สองพี่น้องหันมายิ้มให้กัน คนเป็นแม่เองถึงไม่ยิ้มแต่ทั้งสีหน้าและสายตาก็บ่งบอกถึงความสบายอกสบายใจแบบที่มินซอกเองไม่ได้เห็นมานานแล้ว ถึงเวลาที่งานวันเกิดเล็กๆต้องจบลง แต่หลายชายตัวน้อยยังทำท่าไม่อยากจะกลับบ้าน คุณยายกับคุณลุงต้องทั้งกอดทั้งหอมร่ำลาอยู่นานถึงยอมให้พาไปส่งที่รถ พอเปิดประตูเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วมินจุนก็ทำตาโตเหมือนนึกอะไรได้ มินซอกเลยต้องยั้งมือยังไม่ปิดประตูรถ มือเล็กอูมรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบห่อกระดาษสีสดใสที่พับทบกันไปมาแล้วรัดไว้ด้วยหนังสติ๊กส่งให้คุณลุงตัวเล็ก มินซอกรับมายิ้มๆ ย่อตัวนั่งยองๆข้างหลานแล้วค่อยๆแกะห่อกระดาษแบบแอ๊คติ้งให้ตื่นเต้นเกินจริงไปมาก มินจุนหัวเราะขำเอามือปิดปากตื่นเต้นตามคุณลุงไปด้วย ในห่อกระดาษไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเขา มีเข็มกลัดโลหะรูปหัวใจสีแดงขอบสีทองอยู่ในนั้น มินซอกหยิบขึ้นมาแล้วมองหน้าหลานด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในใจ "จุนนี่ชอบมากๆเลยไม่ใช่เหรอครับ" "จุนนี่ชอบมากๆคับ แต่ว่าจุนนี่อยากให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณลุง คุณลุงจะได้เอาไปให้ขวัญใจของคุณลุงคับ" "ขวัญใจของลุง...." "ก็คุณลุงที่หล่อๆแล้วก็ใจดีอุ้มคุณลุงมิงซ๊กส่งบ้านไงคับ" มินซอกกอดหลานลูบหลังเบาๆ ทั้งรู้สึกมีความสุขที่หลานเป็นเด็กน่ารักรู้จักใส่ใจความรู้สึกคนอื่น และทั้งเจ็บอยู่ลึกๆเพราะหวั่นใจว่าอาจไม่มีโอกาสทำตามที่หลานต้องการ .............................. ลู่หานถึงกับขำตัวเองที่นิ้วมือสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ทันทีที่เวลาสี่ทุ่มแบบไม่ขาดไม่เกินสักวินาที แต่พอต้องรอสายสีหน้าก็กลับมาเรียบนิ่งหัวคิ้วกดลงเป็นรอยย่นนิดๆ นานจนชายหนุ่มเริ่มกังวล แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตอบรับความอดทน "สวัสดีครับ" "สุขสันต์วันเกิดนะครับ" "......" "พอดียุนกิบอกน่ะครับว่าวันนี้วันเกิดคุณ" "....ขอบคุณนะ" "มีความสุขมากๆนะครับ" "ครับ...ขอบคุณ...." ประโยคสนทนาที่สั้นห้วนทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นทุกที ลู่หานเลยต้องรีบเข้าประเด็นสำคัญก่อนบรรยากาศจะแย่ไปกว่านี้ "คือ...พรุ่งนี้สวนสนุกมีพาเหรดตัวการ์ตูนวันสุดท้ายมีโพโรโระด้วย ถ้าคุณว่างผมอยากจะชวน..." "คงไม่ได้หรอก ผม....นัดกับแม่ไว้แล้ว" "อ้อ...ครับ ไม่เป็นไร ถ้างั้นผมไม่กวนคุณแล้ว หลับฝันดี แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะครับ" "อืม...ผมน่ะ ไม่ได้ชอบโพโรโระขนาดนั้นหรอกนะ...แต่ยังไงก็ขอบคุณ เจอกันวันอังคารนะ สวัสดีครับ" วางสาย ถอนหายใจ ทิ้งตัวลงกับเตียงราวกับนัดคิวกันไว้
"คิดเอาเองแล้วก็งอนเอง แล้วจะง้อด้วยอะไรดีล่ะเนี่ย โพโรโระก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้นนี่"
ลู่หานยิ้มบางๆให้กับความรู้สึกที่เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นตามง้องอนคนที่ชอบ แต่ลึกๆก็เสียดายแผนปรับความเข้าใจที่คิดมาอย่างดีกลับโดนเมินเสียได้ กำลังจะตั้งท่าคิดหาแผนใหม่ก็มีสายเข้าขัดจังหวะความคิดพอดี เขามองหน้าจอแล้วพลิกตัวมานอนคว่ำรับสายคนคุ้นเคยที่ห่างหายกันไปเสียนาน มินซอกถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน ไม่อยากลุกไปอาบน้ำหรือทำอะไรทั้งนั้น เขาพลิกตัวนอนคว่ำชันข้อศอกคว้าโทรศัพท์โทรหาคนเดิมๆที่รับฟังเขาได้ทุกเรื่อง "สุขสันต์วันเกิดเว้ย" "ถ้ากูไม่โทรหา มึงจะสนใจโทรมาอวยพรวันเกิดกูมั๊ย" "แล้วไอ้หมาล่ะ" "มันส่งข้อความมาตั้งแต่บ่ายแล้ว ขนาดมันไปสัมนาต่างจังหวัดนะ" "เออกูมันเลว" "ใช่มึงมันเลวมาก" "ไม่มาก เพราะกูกะว่าจะไปแฮปมึงด้วยตัวเอง แต่พอไปที่ร้านยุนกิบอกมึงกลับบ้านไปแล้วเพราะนัดกินข้วกับครอบครัว กูเลยคิดว่าปล่อยให้มึงมีความสุขตามประสากับครอบครัวก่อนค่อยโทรหา แล้วพอดีพ่อกูให้ช่วยทำบัญชีจนดึก นี่เพิ่งเสร็จแล้วมึงดันโทรมาก่อน" "แก้ตัวยาวเลยนะมึง" "ก็กูรู้ว่าเพื่อนกูสมองช้า กูเลยต้องพยายามอธิบายให้ครอบคลุม" "แต่กูรู้นะว่าอันนี้มึงหลอกด่ากู" "งั้นแสดงว่าปีนี้อายุสมองเพิ่มขึ้นตามอายุขัยด้วย รู้แบบนี้กูก็ดีใจ" "กูย้ำอีกทีว่ามึงเลวมาก" มินซอกเน้นเสียงที่สองคำหลังอย่างจงใจ "กูย้ำอีกทีว่าไม่มาก เพราะกูมีบัตรวีไอพีที่สวนสนุกพรุ่งนี้ มึงจะได้สิทธิ์นั่งรถในขบวนพาเหรดกับโพโรโระพ่อมึง" มินซอกกลั้นยิ้ม พยายามเก๊กเสียงเข้มไม่ให้เพื่อนได้ใจ "เรื่องแค่นี้ทำมาเป็น..." "มึงจะกรี๊ดก็ได้ ไม่เสียฟอร์มหรอก มึงไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว" "ก็ไม่ใช่เด็กสามขวบสี่เดือนจะให้กรี๊ดเพราะเรื่องแค่นี้...พรุ่งนี้มารับกูด้วย" "สิบโมงตรง อย่าลืมใส่แพมเพิสด้วยกูขี้เกียจพามึงไปฉี่" "งั้นมึงก็ชงนมใส่ขวดเตรียมมาให้กูด้วยเลยดิ" "ตามนั้น" สุดท้ายมินซอกเลยไม่ได้พูดเรื่องที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยก็มีแรงลุกไปอาบน้ำ ชีวิตยังมีหวังเพราะพรุ่งนี้จะได้เจอโพโรโระ ......................... มินซอกขอจับมือกับมาสคอตตัวการ์ตูนตัวโปรดก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มาสคอตโอบไหล่เขา เขาเลยโอบเอวตอบ ใจเต้นแรงและอยากจะกรี๊ดดังๆแต่ทำได้แค่ยิ้มโชว์ฟันหน้าครบแถมเหงือกให้ด้วย รถเริ่มเคลื่อพร้อมเสียงเพลงบรรเลงคึกคักจากวงดุริยางด์หน้าขบวน รถคันอื่นๆที่มีลูกค้าของสวนสนุกนั่งกับมาสคอตเป็นเด็กที่ยังไม่เข้าเรียนนั่งกับผู้ปกครองหรือเด็กนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งนั้น ทุกคนโบกมืออย่างมีความสุข แต่คนที่มีความสุขเกินหน้าคนอื่นคือชายหนุ่มวัยทำงานชื่อคิมมินซอก จงอินรู้สึกเหมือนพ่อพาลูกวัยอนุบาลมาเที่ยว เขาโบกมือตอบมืออูมๆที่ดูจากตรงนี้เหมือนอุ้งมือแมวกวักหยอยๆในอากาศ พอพ้นสายตาเพื่อนไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขำกับตัวเองแล้วรีบเดินไปรอรับลูกชายที่จุดพักขบวนจุดแรก ผ่านไปสิบห้านาทีขบวนพาเหรดก็ใกล้จะถึงจุดพักแรกซึ่งจะมีลูกค้าที่มีบัตรวีไอพีคนอื่นๆขึ้นมาเปลี่ยนได้นั่งข้างๆมาสคอตบ้าง มินซอกสะกิดโพโรโระขอจับมือและกอด ร่างเล็กแทบจมหายไปกับอกที่ทำจากผ้าหนานุ่ม เขากอดนานจนโพโรโระต้องลูบหัวแล้วตบไหล่เบาๆเป็นเชิงเตือนเพราะรถจอดและเขาต้องลงแล้ว มินซอกคลายอ้อมกอดออกเขินๆ ในจังหวะที่จะลุกยืนแล้วมองหาเพื่อนไปด้วย สายตาก็จับภาพใครอีกคนได้ เขายืนนิ่งมองภาพชายหนุ่มที่ตัวเองปฏิเสธที่จะมาที่นี่ด้วยเมื่อคืนเดินโอบไหล่หญิงสาวรูปร่างหน้าตาน่ารักหายไปกับกลุ่มคนตรงปราสาทเจ้าชายอสูร "มินซอก มินซอก..." จงอินพยายามตะโกนเรียนเพื่อนที่ยืนตาลอยอยู่ ในขณะที่เด็กที่เป็นคิวถัดไปก็ชะเง้อคอรอ จนมาสคอตต้องสะกิดเรียกสติ มินซอกถึงรู้ตัวรีบลงรถไปหาเพื่อน "มึงเป็นอะไรเนี่ย" "ป่าว...กูเหมือนเห็นคนรู้จัก" "ใครอะ" "ไม่ใช่ใครหรอก กูมองผิด" "งั้นไปหาไรกินเหอะ กูหิวแล้ว" มินซอกพยักหน้า จงอินมองกวาดสายตาสำรวจสีหน้าแบบที่ไม่ให้อีกคนสังเกตเห็น เขารู้ว่าเพื่อนโกหกแต่จะคาดคั้นเอาความจริงก็อาจจะทำให้วันนี้พังไม่เป็นท่า เขาอยากจะให้วันนี้เป็นวันแห่งความสุขเรื่องอื่นคงต้องพักไว้ก่อน ทั้งบ้านผีสิง ทั้งเครื่องเล่นหวาดเสียวต่างๆ ทำให้มินซอกเหมือนจะลืมเรื่องทุกข์ในใจไปชั่วขณะ เขาหัวเราะร่ามีความสุขตลอดเวลา แต่คนที่ทุกข์หนักขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นคนที่หวังว่าวันนี้จะมีความสุขแบบสุดๆ พอลงมาจากรถไฟเหาะ จงอินรู้สึกว่าโลกนี้มันโหดร้ายสำหรับหมีรักสงบอย่างเขาเกินไปแล้ว มินซอกที่พยายามจูงเพื่อนไปที่เครื่องเล่นดรอปทาวเวอร์แต่โดนดึงแขนกลับ เขาหันมามองหน้าเพื่อนงงๆ "มึงหยุดร่าเริงก่อน ไม่งั้นกูจะตายให้มึงดูตรงนี้แหละ" จงอินแทบไม่มีเสียงจะพูด เขาลูบหน้าลูบตาตัวเองแล้วกุมท้อง เริ่มรู้สึกว่าอาหารที่ย่อยแล้วกำลังย้อยกลับขึ้นมาทางเดิม "มึงเป็นอะไร อย่าเพิ่งตายนะเว้ย" มินซอกถลาเข้าไปประคองเพื่อน เอาแขนยาวๆมาพาดไหล่ตัวเองไว้ จงอินรีบชี้ไปที่ม้านั่งใต้ร่มไม้แถวนั้น ความสูงที่ต่างกันอยู่มากสภาพการประคองจึงถูลู่ถูกังจนเกือบจะล้มไปทั้งคู่ พอทิ้งตัวลงกับม้านั่งได้ก็หอบแฮ่ก "มึงนอนพักก่อน หน้าซีดกว่าผีซาดาโกะแล้ว" มินซอกขยับตัวไปจนสุดที่นั่งแล้วจับไหล่เพื่อนให้เอนตัวลงนอนที่ตัก "กู...กูไม่เป็นไร นอนพักหน่อยก็หาย" "ทำไมไม่บอกว่ากลัว กูเห็นมึงแหกปากก็นึกว่าสนุก" "ไม่มีใครสนุกเกินมึงหรอก กูจะตายตั้งแต่บ้านผีสิงแล้ว" มินซอกหน้าละห้อยรู้สึกผิดที่ตัวเองสนุกอยู่คนเดียว แต่เพื่อนหมดสภาพแบบนี้ มือเล็กเกลี่ยไรผมชื้นเหงื่อให้พ้นกรอบหน้า แล้วเอาโบชัวร์ในมือพัดพอให้อีกคนได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น จงอินขยับตัวให้นอนถนัดๆเอียงหน้าเข้าหาลำตัวพยาบาลจำเป็น ยกขาชันเข่าไว้ข้างหนึ่งอีกข้างเหยียดลอดที่พักแขนเลยออกไปนอกม้านั่ง ขนาดของร่างกายกับม้านั่งดูไม่น่าจะนอนได้สบายนัก แต่ชายหนุ่มหลับตาพักเดียวหน้าซีดๆก็กลับมาดูสดใสขึ้น ลมหายใจหอบเหนื่อยค่อยๆลดจังหวะลง มินซอกมองใบหน้าหล่อคมในมุมกลับด้านและเห็นแค่ด้านข้าง แต่เพื่อนรักก็ยังดูหล่อมากอยู่ดี นึกไปถึงวันที่จงอินเป็นเหมือนอัศวินขี้ม้าขาวมาช่วยเขาไว้ไม่ให้โดนรุมซ้อมก็ได้แต่ยิ้ม จงอินเป็นเด็กกิจกรรมทั้งหล่อทั้งรวยถึงจะดูไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครนอกจากเรื่องงาน แต่ก็โดดเด่นกว่าใครในโรงเรียน ยังงงอยู่เหมือนกันที่มาสนิทกับเด็กโลว์โฟรไฟล์อย่างเขากับแบคฮยอนได้ แล้วยังรักกันเหนียวแน่นมาถึงวันนี้ด้วย นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมือก็ยังพัดไม่หยุด จู่ๆคนในห้วงความคิดก็ลืมตาขึ้นมา มินซอกถึงกับสะดุ้ง อีกคนเลยเอาอุ้งมือรองใต้คางแล้วออกแรงบีบแก้มนุ่มจนยุบปากยู่แล้วจับส่ายไปมา "โอ้ยๆๆ อ้ายหมีค...ควา...ควาย ป่อยยยยกูวววว" โวยเพื่อนพลางสูดน้ำลายเพราะบังคับปากตัวเองไม่ได้ อาศัยโบรชัวร์ในมือเป็นอาวุธตีรัวๆมัวไปหมด "จ้องซะหน้ากูจืดหมดแล้ว" ว่าพลางปล่อยมือแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่ง "กูไม่ได้เลียหน้ามึงนะจะได้จืด" "ถึงอยากเลียกูก็ไม่ให้ ถ้าดูดกูอนุญาต" ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้นแถมเอานิ้วชี้ๆลงเบื้องล่าง "ไอ้หื่น" "กูหมายถึงหัวแม่ตีน" "ไอ้ถ่อย" มินซอกตีไหล่เพื่อนแล้วลุกขึ้นยืนมองซ้ายมองขวา "มึงจะไปไหน" "เย็นแล้ว กลับเหอะ" "ไรวะ" "ก็มึงปอดแหกเล่นอะไรก็ไม่ได้ซักกะอย่าง" "กูจะเล่นม้าหมุน" "โอ้ย เอาคฑานางฟ้าด้วยมั๊ยล่ะ" ประชดเพื่อนแล้วแกล้งทำเป็นจับกระโปรงย่อตัวถอนสายบัว คงลืมไปว่าเมื่อตอนสายใครกลั้นกรี๊ดโพโรโระแทบตาย จงอินไม่ฟังเสียง ดึงแขนเพื่อนกึ่งลากกึ่งพาเดินไปที่ม้าหมุนขนาดใหญ่ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก มินซอกยืนต่อแถวด้วยอาการกอดอกหย่อนขาแบบเซ็งๆ ส่วนจงอินดูระรื่นมากเขาเลยไม่อยากพูดอะไรอีก คนตัวเล็กขยับตัวออกจากแถวเช็คจำนวนคนคร่าวๆเพราะแถวยาวพอควร ส่วนใหญ่เป็นเด็กกับผู้ปกครองหรือไม่ก็คู่รัก เขาไล่สายตาจากหัวแถวมาเรื่อยๆจนถึงคิวก่อนหน้าตัวเองไม่กี่คน แล้วสายตาก็หยุดอยู่แค่นั้น สองขาขยับถอยแบบไม่รู้ตัวจนแผ่นหลังชนกับร่างสูงใหญ่ของเพื่อน แต่ก็ยังพยายามดันตัวถอย จงอินเอาแขนรวบเอวไว้ให้หยุดยืนนิ่งๆ แล้วโน้มตัวก้มดูหน้าคนที่เหมือนสติจะไม่อยู่กับตัว "มินซอก.." เจ้าของชื่อรับรู้ หมุนตัวหันมาก้มหน้างุด หัวอิงอยู่กับอกเพื่อน "มึงเล่นคนเดียวได้มั๊ย" จงอินลองไล่สายตามองคนในแถวบ้างไม่กี่วินาทีก็สะดุดกับคู่ชายหญิงที่ยืนคิวไม่ไกลกันนัก "ไม่เป็นไร งั้นกลับบ้านกัน" ชายหนุ่มก้มลงมาพูดเบาๆ มินซอกพยักหน้าทั้งที่ยังก้มหัวอยู่ แล้วรีบดินปลีกออกจากแถวจงอินหมุนตัวจะเดินตามแต่หันไปมองอีกครั้ง ฝ่ายชายเหมือนกำลังจะเงยหน้าจากการพูดคุยกับหญิงสาว เขาเลยรีบหันกลับเดินตามมินซอกไป "มึงเลยอดนั่งม้าหมุนเลย" "กูก็ไม่ได้อยากนั่งขนาดนั้น" "กูขอโทษ" ถ้ากูอยากนั่งจริงๆกูซื้อไปไว้ในสวนหลังบ้านก็ได้" "กูหมายถึง...กูขอโทษที่เป็นแบบนี้" "มึงไม่ได้ผิดอะไร ไม่ต้องขอโทษ" ดวงตาคมสีดำสนิทยังคงวางอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเพื่อนตัวเล็ก เหมือนรอให้หันมา รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเริ่มเจ็บแปลบๆอยู่ข้างใน เสียงแตรรถถี่ๆจากคันหลังดังแทรกบรรยากาศขมุกขมัว จงอินรีบออกรถทั้งที่ยังไม่ได้โฟกัสทางข้างหน้า เพราะคิดว่าคงจะเผลอไปจนสัญญาณไฟเปลี่ยนสีนานแล้ว แต่ความจริงมันแค่เสี้ยววินาที และเป็นเสี้ยววินาทีที่รถอีกด้านคิดว่าจะสามารถเร่งความเร็วฝ่าสัญญาณไฟไปได้ทัน เร็วไปกับช้าไปแต่มาปะทะกันพอดี ทำให้เกิดเสียงวัสดุเหล็กกล้ากระแทกกันดังแทรกเสียงน้ำฝนขึ้นมา .............................. เปลือกตาสั่นจากอาการเกร็งอยู่นานจนในที่สุดก็ค่อยๆยกขึ้นมาได้ เพดานห้องกับแสงสลัวๆเป็นสิ่งแรกที่รับรู้ ต่อมาก็เป็นความรู้สึกเจ็บช่วงลำตัวเวลาหายใจ มุมปากที่ปวดตุบๆ หัวที่รู้สึกหนักกว่าปกติแม้ว่าจะถูกวางไว้นิ่งๆที่หมอน สมองประมวลผลว่าตัวเองยังอยู่ี่ที่โรงพยาบาลแต่ไม่ใช่จุดเดิมที่ลืมตาขึ้นครั้งแรก
ชายหนุ่มเอียงหน้าช้าๆแล้วกดคางลง สายตาหยุดอยู่ตรงต้นแขน เห็นแต่กลุ่มผมสีดำสนิทกับปลายจมูกเล็กมนที่ยื่นออกมา ลำตัวที่แนบอยู่กับท่อนแขนของเขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวตรงอกที่เป็นจังหวะขึ้นลงช้าๆสม่ำเสมอ แต่มันกลับทำให้ในอกของเขาเองสร้างจังหวะที่เร็วขึ้นแล้วก็แปลกที่กลับทำให้ความเจ็บปวดคลายลงได้ แขนข้างที่มีสายน้ำเกลือยกขึ้นๆแล้ววางมือลงตรงกลุ่มผมนุ่มยุ่งเหยิง สักพักร่างเล็กก็ขยับตัว เสียงแหบแห้งจีงเอ่ยปราม "นอนเถอะ...ไม่เป็นไร" "เจ็บมากมั๊ย" จงอินได้ยินเสียงเล็กๆตอบอู้อี้และเห็นปลายจมูกมนขยับนิดๆตามจังหวะการพูด "เจ็บฉิบหายเลย" ตอบไปแบบนั้นแต่มุมปากที่ปวดตุบๆกลับยกขึ้นนิดๆ "ขอโทษนะ" "กูขับรถไม่ดีเอง มึงจะขอโทษทำไม" "ก็กูทำให้มึงเป็นห่วงเลยไม่มีสมาธิขับรถ" "หลงตัวเองล่ะมึง ลูกแมวตัวเดียวกูจะห่วงอะไรนักหนา" ร่างเล็กขยับตัวชิดเข้ามา แนบแก้มไว้ที่อกกว้างที่มีเสื้อลายตราสัญลักษณ์โรงพยาบางคลุมอยู่ ก่ายหัวเข่าไว้กับต้นขาแกร่ง ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับไปเพราะรู้ดีว่าที่เขาพูดน่ะถูกแล้ว แค่เพื่อนรักไม่อยากยอมรับเพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกผิด "มึงไม่เป็นไรใช่มั๊ย" "ไม่ต้องห่วงกูหรอก มึงเจ็บกว่าตั้งเยอะ" "กูไม่ได้หมายถึงร่างกายมึง" "....กูก็ไม่รู้...กูไม่ควรอยากมีใครในชีวิตเลยว่ะ อยู่กับพวกมึง กับเหล้า กับขนมปังก็ดียู่แล้ว" "อย่าคิดแบบนั้น มึงจำใส่สมองก้อนเท่าขี้แมวของมึงไว้เลยนะ มึงเป็นคนที่สมควรจะถูกรักที่สุดในโลกคนหนึ่งเท่าที่กูเคยรู้จัก" "ขี้แมวใหญ่แค่ไหนอะ" "ก็แล้วแต่พันธุ์ แต่เล็กกว่าขี้หมีกับขี้หมา" "มึงหมายถึง..ถึงกูจะโง่แต่ก็น่ารักใช่ป่าว" "ที่อย่างงี้เสือกฉลาด" มือใหญ่กำเป็นมะเหงกเคาะที่หัวกลมๆเบาๆ "ขอบคุณที่ชม หน้าตาดีแล้วยังปากดีด้วย" "มึงเคยนอนๆอยู่แล้วโดนหมีกินหัวม่ะ" จงอินแกล้งยีหัวเพื่อนแรงๆจนขวดน้ำเกลือแกว่งแล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ มินซอกเงียบไป จงอินเองก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่ลูบหัวอยู่อย่างนั้น มีเสียงถอนหายใจเบาๆนำมาก่อนแล้วตามด้วยเสียงเล็กๆอู้อี้เพราะแก้มที่แนบอยู่กับอกจนปากยู่ "ลู่หานบอกว่ามีคนรัก อาจจะเป็นคนนี้...แบบนี้กูอกหักใช่มั๊ย" "มึงเจ็บมั๊ยล่ะ" "เจ็บฉิบหายเลย" "ถ้างั้นก็คงใช่" "เขายังไม่รู้เลยมั้ง....ว่ากูชอบเขา" จงอินได้แต่ถอนหายใจ ทั้งที่อยากบอกเหลือเกินว่ามองจากดาวพลูโตยังรู้ แล้วเจ้าตัวจะไม่รู้ได้ยังไง แต่เขาเองก็ออกจะแปลกใจที่ได้รู้ว่าลู่หานมีคนรักแล้ว เมื่อนึกถึงท่าทีที่มีต่อเพื่อนรักตัวเล็กของเขา หลายเรื่องที่ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัว แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ก่อน "นอนเถอะ..เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้น" "มึงก็ต้องดีขึ้นด้วยนะ" "อืม" คนเจ็บวางมือค้างไว้ที่หัวกลมๆที่ย้ายขึ้นมาอยู่ชิดปลายคางของเขาจนได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ ไม่นานนักก็เหลือแค่เสียงเข็มนาฬิกาที่ผนังปลายเตียงดังเป็นจังหวะซ้ำๆตลอดค่ำคืนที่การเยียวยาไม่ได้เกิดจากยาเพียงอย่างเดียว มินซอกรอจนหมอเข้ามาเช็คอาการคนเจ็บช่วงสาย เมื่อมั่นใจว่าเพื่อนรักไม่มีอะไรน่าห่วงจริงๆและโดยจงอินไล่อยู่หลายครั้งถึงได้ยอมกลับบ้าน สายที่ไม่ได้รับเป็นสิบจากคนเดียวกัน ถึงรู้ว่าคงเลี่ยงได้ไม่นานแต่อย่างน้อยขอเลี่ยงไปอีกซักชั่วโมงก็ยังดี "ลูก..." ผู้เป็นแม่เดินตรงเข้ามากอดลูกชายทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา "จะกลับทำไมไม่โทรบอกแม่ล่ะ จะได้ให้น้องขับรถไปรับ" ลูกชายไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มๆยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เจ็บตัวขนาดนั้น "แล้วจงอินล่ะลูก เป็นไงบ้าง" มินซอกจับมือแม่จูงให้มานั่งที่โซฟาก่อนจะอธิบายอาการของเพื่อนให้ฟัง "หมอบอกอวัยวะภายในไม่เป็นไรครับ มีแค่รอยฟกช้ำภายนอกแต่อยากให้นอนโรงพยาบาลอีกซักสองสามวันเพราะร่างกายด้านซ้ายโดนกระแทกค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ" "ค่อยเบาใจหน่อย..แล้วนี่ลูกกินข้าวรึยัง" "เดี๋ยวลูกขอนอนซักงีบก่อนดีกว่า" ผู้เป็นแม่เห็นหน้าหน้าตาท่าทางซึมๆของลูกเลยไม่อยากขัดใจ มีรอยช้ำเล็กๆแถวคางและหน้าผากเห็นเพียงแค่นี้ก็ใจไม่ดีแล้ว มือซูบลูบแก้มที่บวมนิดๆอย่างทนุถนอมก่อนจะพยักหน้าแล้วปล่อยให้ลูกชายได้ขึ้นไปนอนพักบนห้อง ร่างเล็กค่อยๆเอนตัวลงกับที่นอน มือก็ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากาง เกง ตัดสินใจโทรกลับสายที่ไม่ได้รับเพราะไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่ "เป็นยังไงบ้างครับ" "คุณก็เห็นผมที่โรงพยาบาลแล้วนี่ว่าไม่ได้เป็นอะไร" "แล้วคุณจงอินล่ะครับ" "ต้องอยู่โรงพยาบาลก่อน แต่หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง...วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยก็ได้นะ" "ไม่เป็นไรครับ" "พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปแต่เช้าจะได้จ่ายเงินเดือนคุณด้วย ทำงานวันสุดท้ายแล้วนี่" "ผมอยู่ต่อก่อนได้ คุณควรจะพักให้หายดีก่อน" "ก็ผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร" น้ำเสียงเริ่มห้วนและจริงจังมากขึ้นแต่เหมือนอีกฝ่ายก็เตรียมใจไว้แล้ว เขารับมืออย่างใจเย็นและรุกกลับไปด้วย "แล้วที่น้ำเสียงย่ำแย่ขนาดนี้เป็นเพราะอะไรครับ" "..." "เพราะอะไรครับ" "...มัน...เรื่องของผม" "เรื่องของคุณที่เกี่ยวกับผม...ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะรู้" "..." "..." ........................................ ............................ สวัสดีค่ะ ไม่อยากบ่นเรื่องความป่วงของโน้ตบุ้คเลย เก็บไว้เป็นความเจ็บปวดส่วนบุคคลที่โดนกลั่นแกล้งโดยเทคโนโลยีเสมอมาละกัน T_____T เข้าเรื่อง... อยากได้จงอิน .....พูดได้แค่นี้ หวังว่าตอนหน้าลู่หานจะคัมแบคแบบฟูลเทิร์นเดินเข้าเส้นชัยแบบหล่อๆคูลๆให้สมกับที่เป็นพระเอกนะคะพี่ (=^~^=)"
|
สมาชิกหมายเลข 2090139
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |