ลู่หมินซีรีส์ The Writer 4 / AI Tale 4.4 (นิทานจักรกล)












ลู่หานโยนโทรศัพท์ไถลไปกับพื้นโต๊ะ ไปหยุดคาอยู่ตรงขอบหมิ่นเหม่จะร่วงลงพื้น เขาเอาฝ่ามือถูหน้าจนผิวแดง รู้สึกทั้งล้าทั้งเครียดจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ 




เบื่อหน่ายกับการรอคอยว่าเมื่อไหร่งานเขียนของตัวเองจะทำให้สำนักพิมพ์สักแห่งยอมรับ บางที่เงียบหายบางที่ให้คำชื่นชมแต่ลงท้ายด้วยการปฎิเสธพร้อมเหตุผลแบบรักษาน้ำใจว่าเนื้อเรื่องไม่ใช่แนวของสำนักพิมพ์  










ชายหนุ่มเดินสโหลสะเหลออกมาจากห้องหนังสือหลังจากหมกตัวอยู่ทั้งคืน หันหน้าเข้าครัวตรงไปที่โต๊ะอาหาร มื้อเช้าถูกจัดเตรียมไว้พร้อมเหมือนทุกวันแต่วันนี้ปริมาณน้อยกว่าที่เคย





เขาจัดการอาหารเช้าที่แค่พอช่วยลดความหิวไปบางส่วน แล้วหันมาสำรวจตู้เย็นกับตู้เก็บของที่เหนือซิ้งค์ แทบไม่เหลืออะไรที่จะนำมาทำอาหารมื้อต่อไปได้แล้ว 



















มือที่ตั้งท่าจะเคาะประตูชะงักนิ่งแล้วถูกปล่อยลงข้างตัว แล้วยกขึ้นอีกครั้งเพื่อหมุนลูกบิดเปิดเข้าไป 






ภาพตรงหน้าคือหุ่นยนต์ที่ดูเหมือนคนนั่งเก้าอี้ไม้ที่คุณตาของเขาเป็นคนประกอบขึ้นเอง เป็นภาพแบบเดียวกับที่เห็นในวันแรกที่กลับบ้าน แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง 






'น้องมินซอก' ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด






หลังจากวันที่โดนเขาตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด ทั้งอาทิตย์มินซอกก็เอาแต่หลบหน้าเขามาอยู่ในห้องใต้บันได แต่ยังคงเตรียมอาหารให้เขาทุกมื้อและดูแลความเรียบร้อยในบ้านทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ






ลู่หานเดินเข้าไปจนถึงตัวแล้วแต่มินซอกยังคงมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปที่แปลงดอกไม้ สายตาจดจ่อราวกับจะนับกลีบดอกไม้ทุกกลีบไม่ให้พลาดแม้แต่ดอกเดียว





ชายหนุ่มก้มไปคว้าข้อมือตั้งใจจะดึงให้ลุกขึ้น ความอุ่นของผิวที่เหมือนกับคนทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว 




"มิน...มินซอก"




"....ครับพี่ลู่หาน" มินซอกหมุนคอช้าๆเงยหน้าขึ้นด้วยจังหวะกระตุกนิดๆ สายตาที่ช้อนขึ้นมอง ทำให้ลู่หานเผลอกำข้อมืออีกฝ่ายแน่น




"น้องมินซอกเจ็บครับ"




ลู่หานรีบปล่อยมือ ก้าวถอยหลังแล้วมองมินซอกหัวจรดเท้า ความรู้สึกแบบที่เจอกันวันแรกเริ่มกลับมาอีกครั้ง




"นาย...รู้สึกเจ็บด้วยเหรอ"




"บางครั้งก็เจ็บครับ"




"นี่ฉันล้าสมัยมากหรือคุณแม่เก่งมากกันแน่" ลู่หานพึมพัมแล้วแค่นหัวเราะ พยายามจะทำให้ตัวเองหยุดความคิดประหลาดๆ แต่เจ้าตัวก็นิ่งอยู่นานก่อนจะพูดประโยคที่ตั้งใจไว้แต่แรก




"ออกไปข้างนอกเถอะ"




"แต่ว่า...เดี๋ยวพี่ลู่หานโกรธน้องมินซอกอีก"




"ฉัน...ไม่ได้โกรธ ฉันแค่หงุดหงิด แต่ยิ่งนายตั้งใจหลบหน้าฉันแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิด แล้วมันจะค่อยๆกลายเป็นความหงุดหงิด แล้วฉันอาจจะโกรธนายขึ้นมาจริงๆก็ได้"






มินซอกจ้องมองดวงตาโตสวย ข้อมูลใหม่ทำให้ต้องใช้เวลาในการประมวลผลพอสมควร 





ลู่หานไม่ชอบการโดนอ่านความรู้สึกแบบนี้ เขาหลบตาแล้วรีบดึงข้อมือให้มินซอกลุกตามมา



















จอทีวีปรากฏเป็นภาพเหตุการณ์ต่างๆเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จนมาหยุดที่ภาพครอบครัวหมีขาวที่ขั้วโลกเหนือ มินซอกที่นั่งจมอยู่กับตุ๊กตาหมีที่โซฟาก็ขยับตัวนั่งหลังตรง มุมปากกดลงเป็นรอยยิ้มจนแก้มนูนขึ้นมา





ลู่หานส่ายหัวยิ้มๆรู้สึกเหมือนมีเด็กเล็กๆในบ้านมากกว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีล้ำสมัยที่เขาตามไม่ทัน....จนบางทีรู้สึกกลัว





"ฉันจะออกไปซื้อของหน่อยนะ"





"น้องมินซอกขอ..."




"อยากให้ฉันโกรธอีกเหรอ"





"น้องมินซอกไม่อยากให้พี่ลู่หานโกรธ แต่น้องมินซอกก็ไม่อยากอยู่คนเดียว"





"นายน่ะไม่ใช่คนด้วยซ้ำ จะกลัวอะไร"





ถึงจะไม่ได้พูดเพราะความหงุดหงิด แต่พอพูดไปแล้วก็รู้สึกว่ามันออกจะฟังดูใจร้ายไปสักหน่อย 





"เดี๋ยวฉันโทรบอกให้คยองซูมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ทิ้งให้อยู่คนเดียวหรอก" 





ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง สีหน้าน้อยอกน้อยใจแบบเด็กๆทำให้เขาเกือบจะหลุดปากว่าจะซื้อขนมมาฝากด้วยซ้ำ 






เขาเอาโทรศัพท์หนีบไว้ระหว่างหัวไหล่กับแก้มพลางมองไปรอบๆ มีแสงแดดรำไรผ่านกระจกหน้าต่างส่องมาที่กระถางต้นไม้ตรงมุมห้อง อีกด้านที่ไกลจากที่เขายืนอยู่หน้าต่างอีกสองบานเปิดแค่แง้มๆไว้ ด้านนอกไม่มีลม และในบ้านมีแค่พัดลมตัวเล็กที่หมุนส่ายอยู่ด้วยเบอร์เบาสุด 





ลู่หานขมวดคิ้วเพราะความเย็นยะเยือกแปลกๆแบบในห้องใต้บันได เป็นความเย็นแบบวูบผ่านผิวจนขนแขนลุกต้องเอามือทั้งสองข้างลูบไปมา





เสียงรับสายห้วนๆดังขึ้นขัดจังหวะพอดี ลู่หานเดินไปคุยไปขึ้นไปที่ห้องนอนหากระเป๋าเงินกับกุญแจรถไปด้วย





"นายว่างมั๊ย"




"มีอะไร"




"ฉันจะไปซื้อของ ไม่มีอะไรจะกินแล้ว"




"อืม เดี๋ยวไป"





คยองซูวางสายอย่างรวดเร็วเหมือนเเคย ลู่หานเองก็ชินแล้วแต่ขัดใจตรงที่เขารู้สึกเป็นห่วงเพราะน้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยดี แค่อยากจะถามว่าไม่สบายรึเปล่าก็โดนตัดสายไปก่อน












'เดี๋ยว' ของคยองซูก็ไวตามความหมายของคำจริงๆ ร่างที่ปรากฏให้เห็นในรอบเกือบสองอาทิตย์ทำให้ลู่หานค่อนข้างตกใจ น้ำเสียงที่เหมือนแค่คนเป็นไข้หวัดแต่พอเจอตัวแล้วดูแย่กว่านั้น





"ไม่สบายรึเปล่า"




"นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้ว พี่จะไปไหนก็ไปเหอะผมว่างทั้งวัน" 






ลู่หานมองตาโหลลึกกับหน้าเซียวๆแล้วไม่อยากจะเชื่อ อยากจะถามอะไรอีกซักหน่อยอีกฝ่ายก็โบกมือให้รีบไปแล้วเดินไปนั่งแหมะพิงโซฟาหน้าทีวีอยู่กับหุ่นยนต์ที่ตัวพอๆกันไม่สนใจเขาอีก




















พ่อบ้านจำเป็นจ่ายของเสร็จอย่างรวดเร็ว เหลือบมองของที่กองอยู่เบาะหลังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก นอกจากของกินก็มีเสื้อผ้าขนาดเล็กกว่าเขาหนึ่งไซส์หลายชุด กับเกมเจงก้าที่ไม่เคยคิดจะเล่นรวมอยู่ด้วย











พอเขาก้าวเข้าบ้านคยองซูก็แทบจะเดินสวนออกไปทันที เจ้าของบ้านได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง





"ไว้จะแวะไปเยี่ยมคุณปู่นะ" ชายหนุ่มตะโกนไล่หลัง





คยองซูยกมือรับรู้โดยไม่หันมามอง ลู่หานนึกถึงไก่ทอดที่ซื้อมาเผื่อก็ได้แต่ยกคิ้ว ถอนใจใส่อากาศแล้วปิดประตู


















.................................................................










ร่างเล็กที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงซูบจนเห็นกระดูกไหปลาร้าชัดเจน ดวงตากลมโตโหลลึกจับจ้องอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะไม้เก่ามีรอยผุและคราบสกปรกอยู่หลายแห่ง 





สายตาอ่อนล้าเพ่งมองราวกับจะสแกนทะลุเนื้อไม้เข้าไปภายใน สิ่งที่เก็บรวมอยู่กับหนังสือเรียนสมัยมัธยมและรูปถ่ายที่แค่ใส่ซองพลาสติกรวมๆกันไว้  คือหนังสือเล่มขนาดผ่ามือทำจากหนังเก่าคร่ำคร่าที่ระบุไม่ได้ว่าคือหนังอะไร และทุกครั้งที่ได้สัมผัสก็ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆที่อธิบายได้ยาก เหมือนจู่ๆอากาศรอบตัวก็เบาบางหายใจได้ไม่เต็มปอด และอุณหภูมิลดลงกระทันหัน







ตั้งแต่เขาได้รับหนังสือเล่มนี้จากคุณตาของลู่หานมาในฐานะผู้ดูแลแทน เขาเปิดอ่านตัวหนังสือภายในที่เกิดจากการเจาะแผ่นหนังเป็นรูเล็กๆเรียงรายกันอยู่เป็นบรรทัดห่างๆ และมีเพียงสี่หน้าไม่กี่ครั้ง แต่จำได้ขึ้นใจทุกประโยค








เพราะเนื้อหาที่ดูเป็นสิ่งงมงายแบบนิยายแฟนตาซีกึ่งสยองขวัญทำให้คยองซูจำได้ไม่ลืม และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ดูเหมือนงมงายกลับกลายเป็นจริงต่อหน้าต่อตาเขาหลายครั้ง เหลือเพียงหน้าสุดท้ายที่รอการพิสูจน์ก็มีทีท่าว่าจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า












"ตาต้องขอโทษที่ทำอะไรแบบนี้ ทำให้เธอพลอยลำบากไปด้วย"




"ไม่เป็นไรเลยครับคุณตา อย่างน้อยเวลาที่ยังเหลืออยู่นี้ผมได้ทำอะไรที่มีประโยชน์และตอบแทนคุณตาบ้าง ผมดีใจมากครับ"




"เป็นเด็กดีแท้ๆ ทำไมพระเจ้าถึงใจร้ายนัก อายุก็แค่นี้"













คยองซูพลิกตัวนอนหงาย พยายามสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆผ่อนคลายกล้ามเนื้อจากอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการรักษาตัว แต่สุดท้ายก็ต้องรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ โก่งคออาเจียรออกมาเป็นรอบที่สามของวัน 





เขาล้างหน้าล้างตามองหน้าตัวเองในกระจกแบบผ่านๆแล้วเดินมาเปิดซองยา วางเม็ดยาสีสันต่างกันรวมไว้ที่อุ้งมือใส่ปากในคราวเดียว





อาการคลื่นไส้จากการทำคีโมครั้งสุดท้ายยังไม่หายไปง่ายๆ เขาไม่มีผลข้างเคียงอื่นอย่างผมร่วงแบบผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นกัน แต่เมื่อตัดสินใจโกนผมตั้งแต่วันที่เข้ารับการรักษาก็รู้สึกไม่อยากไว้ผมยาวอีก 






เด็กหนุ่มอยากจะทำอะไรได้ตามใจแบบตัวเอกในหนังในละครที่ป่วยหนักหมดทางรักษาเขาทำกัน แต่ตัวเองกลับทำได้แค่โกนผม






จะตระเวนไปเที่ยวตามที่ที่อยากไปก็เป็นห่วงคุณปู่ จะซื้อของตามใจชอบก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น 





แม้แต่การจะบอกรัก คนที่ตัวเองหลงรักมาตลอดก็ยังทำไม่ได้





ริมฝีปากอิ่มค่อนข้างหนาเหยียดออกราวกับจะยิ้มเยาะโชคชะตาของตัวเอง แต่สายตาที่มักไม่แสดงอารมณ์กลับเต็มไปด้วยความหน่มเศร้าและมีน้ำตาเอ่อคลอ  





คยองซูไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา คลายรอยยิ้มลงเป็นใบหน้าที่สงบนิ่ง 







ก็เเพราะอย่างน้อยในชีวิตที่ไม่สามารถทำเพื่อตัวเองได้เลย แต่เขาก็มีโอกาสได้ทำเพื่อคนอื่น






มันก็น่าจะพูดได้ว่าเขาเองก็มีชีวิตที่ดีใช้ได้ คงไม่ถึงกับน่าอายถ้าพ่อที่รออยู่บนสวรรค์ถามถึงเรื่องตอนที่ยังมีชีวิตอยู่




















......................................................










มินซอกใส่ชุดใหม่ที่ลู่หานซื้อมาให้ตั้งแต่วันที่ได้รับมา แล้วก็ง่วนอยู่กับการเรียงแท่งไม้เป็นบล็อกสี่เหลี่ยมสูง ดึงแท่งไม้ออกเอาไปต่อให้สูงขึ้นเรื่อยๆ พอล้มครืนลงมาก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักเอามือที่แขนเสื้อคลุมมิดปิดปาก แล้วก็เก็บท่อนไม้ที่กระจัดกระจายกลับมาเรียงต่อเป็นบล็อกสูงเพื่อจจะดึงทีละแท่งเอาไปวางด้านบนสุดวนอยู่แบบนั้น 








ลู่หานเหลือบมองแล้วพ่นลมหายใจแบบขำๆ เวลาไม่งอแงก็ดูน่ารักดีแล้วบรรยากาศของบ้านก็รู้สึกสบายๆปลอดโปร่งไม่เย็นวูบวาบแปลกๆด้วย ลู่หานหยิบโค้กกระป๋องจากตู้เย็นแล้วเดินเลยทางเข้าห้องหนังสือไปทรุดตัวลงนั่งร่วมวงกับหุ่นยนต์และตุ๊กตาหมี





"นายเล่นไอ้กองไม้นี่มาสามวันแล้วนะ สนุกมากเลยเหรอ"





อีกฝ่ายพยักหน้าจนหน้าม้าเพยิบเป็นคำตอบ สายตายังจดจ่ออยู่กับแท่งไม้ที่ตั้งใจจะดึงออก





"คิดถึงคุณแม่มั๊ย"





ร่างที่นั่งคุกเข่าเพราะความลุ้นหย่อนก้นกลับลงที่เบาะ แล้วตอบชัดถ้อยชัดคำ





"น้องมินซอกคิดถึงคุณแม่มากๆ แล้วก็คิดถึงคุณตามากๆด้วยครับ"





"นายรู้เรื่องความคิดถึงได้ยังไง ความคิดถึงมันเกิดจากความผูกพันธ์ การผ่านช่วงเวลาต่างๆในชีวิตมาด้วยกัน หุ่นยนต์ไม่น่าจะเข้าใจความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ได้"






พอเห็นอีกฝ่ายเอียงคอกระพริบตาปริบๆลู่หานเลยตัดบท





"เออๆคำถามคงซับซ้อนไป แต่คุณแม่ฉันเก่งจริงๆนะ นายรู้ตัวรึเปล่าว่านายเหมือนคนมากแค่ไหน"





"รู้ครับ"





"เหมือนจนน่าขนลุกเลยล่ะ"





"พี่ลู่หานกลัวน้องมินซอกเหรอครับ"





"ไม่...คือ...ฉันแค่เปรียบเทียบ"






หลังมือที่เส้นเลือดปูดชัดยกขึ้นแนบแก้มอิ่ม กดน้ำหนักสลับกับผ่อนแรงรับสัมผัสหยุ่นนิ่ม ความอุ่นราวได้สัมผัสผิวเนื้อคนนั้นเขายังไม่สามารถทำใจให้คุ้นชินได้ แต่มันก็ไม่แย่แบบครั้งก่อนๆ 





"คุณแม่บอกว่า น้องมินซอกเหมือนพิน็อกคิโอ้" พูดพลางจับมือที่แนบแก้มเอามากุมไว้





"นั่นมันนิทาน" ลู่หานสวนทันควัน





"จริงๆนะครับ คุณแม่บอกว่าถ้าน้องมินซอกเป็นเด็กดีซักวันน้องมินซอกจะกลายเป็นคนปกติได้เหมือนพิน็อกคิโอ้ แล้วที่ตรงนี้...." มือที่อุ่นเหมือนคนจับมืออีกคนแบออกแล้วเอามาแนบไว้ที่อกซ้าย 





"....ก็จะมีเสียงตุ้บ ตุ้บ เพราะหัวใจเต้น"






"โอเคๆฉันขี้เกียจเถียง ถ้าคุณแม่โปรแกรมให้นายเชื่อแบบนั้น ฉันคงเปลี่ยนความคิดนายไม่ได้" ลู่หานดึงมือออก เอนตัวลงนอนตะแคงวางศอกไว้กับเบาะนั่ง เลี่ยงสายตามองไปที่ทีวีที่ไม่ได้เปิด





"คุณตาบอกว่าพี่ลู่หานทำอาหารอร่อย  คุณตาชอบกินอาหารที่พี่ลู่หานทำทุกอย่าง แค่ไข่เจียวยังอร่อยเลย แม้แต่คุณแม่ก็สู้ไม่ได้ คุณตาบอกวันหนึ่งน้องมินซอกจะสามารถกินอาหารที่พี่ลู่หานทำได้ แล้วก็จะมีความสุขมากๆแบบคุณตา "






ตรงคอที่มันตีบตันขึ้นมาทำให้ลู่หานต้องรีบยันตัวขึ้นนั่ง แล้วยกกระป๋องโค้กขึ้นซดติดๆกันหลายอึก 






"อืมๆ พูดมากจังนายนี่ เล่นไปเถอะ ฉันจะกลับไปทำงานล่ะ"






ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนวางฝ่ามือที่หัวกลมๆยีผมเส้นเล็กละเอียดเบาๆ 






"พรุ่งนี้ฉันจะพาไปบ้านคยองซูนะ แล้วก็ไปเยี่ยมคุณแม่กับคุณตาด้วย"






"น้องมินซอกจะได้เจอคุณแม่กับคุณตาด้วยเหรอครับ" 







ดวงตาที่เบิกกว้างอย่างมีความหวังทำให้ลู่หานต้องทรุดตัวลงนั่งอีกรอบ ไม่อยากจะพูดอะไรที่ทำให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายจางไปแต่ก็ต้องทำ






"ฉันหมายถึง คืองี้นะ...คุณแม่กับคุณตาตายไปแล้วนายจะเจอท่านทั้งสองคนอีกไม่ได้ คนตายแล้วก็ต้องเอาร่างกายไปเผาเหลือแต่เถ้ากระดูก"





"คุณคยองซูก็เคยบอกครับ" มินซอกตอบเสียงอ่อย





"อืม นั่นแหละ การไปเยี่ยมคือไปที่เก็บเถ้ากระดูกของพวกท่านไว้...นายเข้าใจใช่มั๊ย"






มินซอกพยักหน้า แล้วหันกลับมาสนใจท่อนไม้เล็กๆตรงหน้าอีกครั้ง ลู่หานมองอยู่สักพักถึงเดินกลับเข้าห้องไป เขาดูออกว่ามินซอกแค่ทำเป็นเข้าใจเท่านั้น 





มันก็ดีที่ระบบของมินซอกเอื้อต่อการพัฒนาด้านพฤติกรรมและการปรับตัว แต่หากเพื่อผลลัพธ์ที่จะทำให้คนอื่นสบายใจ เขาไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นเรื่องดีเสียทั้งหมด























.............................................................................










เสียงที่เอ่ยถามนั่นนี่ตลอดทางตอนขามาเงียบไปหลังกลับออกมาจากโบสถ์ ลู่หานเหลือบมองเบาะข้างๆแล้วนึกอยากให้เรื่องพิน็อกคิโอ้เป็นจริงขึ้นมา อย่างน้อยในตอนนี้เขาจะได้จอดรถแวะร้านไอศครีมหรือขนมเค้ก แล้วบอกให้มินซอกกินได้ตามใจ คงจะช่วยให้แววตาเศร้าๆสดใสขึ้นมาได้








"พี่ลู่หานครับ"





"ว่าไง"





"พี่ลู่หานจะไปอยู่บนสวรรค์มั๊ยครับ"





"ฉันเป็นคนนะ วันนึงก็ต้องตาย"





"ตอนพี่ลู่หานตายแล้วอยู่กับน้องมินซอกไม่ได้เหรอครับ"





"คนตายร่างกายก็เน่าเปื่อยย่อยสลายไปไม่ใช่แค่นอนหลับตาเฉยๆ ยังไงก็ต้องเผาต้องทำพิธีเพื่อส่งให้ดวงวิญญาณได้ไปอยู่ที่ใหม่อย่างสงบ"





"ถ้าทุกคนไปอยู่บนสวรรค์กันหมด แล้วน้องมินซอกกับพี่มอร์นิ่งจะอยู่กับใครล่ะครับ"





"พี่มอร์นิ่ง....อ๋อเจ้านี่น่ะเหรอ" ลู่หานเอากำปั้นแย็บๆที่แขนตุ๊กตาหมีเบาๆ







เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มคิดเรื่องความตายของตัวเองอย่างจริงจังจนรู้สึกกลัว มันไม่ใช่ความหวาดกลัวที่เกิดจากความไม่รู้ชัดเรื่องชีวิตหลังความตาย 






แต่เกิดจากความเป็นห่วง....สิ่งไม่มีชีวิตที่คิดถึงเป็น เจ็บปวดได้ จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ถ้าไม่มีเขา






ลู่หานนึกถึงคนที่กำลังจะขับรถไปหาแล้วผ่อนลมหายใจ




"คงต้องพึงเจ้าเด็กหัวดื้ออีกตามเคย"














รถติดไฟแดงอีกครั้ง ลู่หานละสายตาจากถนนหันมองใบหน้าที่ซุกลงกับซอกคอของตุ๊กตาหมีที่เจ้าตัวกอดเอาไว้ เส้นผมลงมาปรกตาจนมิด และจมูกเล็กๆก็จมลงไปกับขนนุ่มนิ่มเห็นแต่แก้มที่นูนเต่งเป็นก้อนกลม






ชายหนุ่มนึกถึงเด็กในรูปที่ความจริงก็คือพี่ชายต่างพ่อของเขา ถ้าเขามีพี่ชายชีวิตจะต่างไปจากเดิมในรูปแบบไหนกัน บางทีเขาอาจจะไม่ได้เกิดมาด้วยซ้ำถ้าคุณแม่อยากมีลูกแค่คนเดียว 






แต่ในตอนนี้คุณแม่กลับทิ้งน้องชายไว้ให้ แล้วยังไม่ใช่น้องชายแบบที่พี่ชายทั่วไปเขามีกันอีก 






น้องชายที่ไม่มีชีวิต และไม่มีความผูกพันธ์ทางสายเลือด












แต่กลับทำให้เขารู้สึกห่วงใยและอยากปกป้อง























...........................................



..........................



............














สวัสดีค่ะ

หายไปนานเลย 
แต่ก็หวังว่าจะสนุกอ่านได้เพลินๆนะคะ 
ขอบคุนทุกคนมากๆเลยที่ติดตามและขอบคุณทุกเม้นท์ด้วยค่ะ
มันคือความสุขก้อนใหญ่มากๆสำหรับเรา เป็นเพาเวอร์แบงค์ของชีวิต (´ ꒳ ` ✿)







Create Date : 30 มกราคม 2561
Last Update : 13 มีนาคม 2561 19:44:51 น.
Counter : 344 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2090139
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
มกราคม 2561

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
31