พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
29 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
ความแตกต่างระหว่าง ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนา


สวัสดีครับชาวน้ำเงิน เหลือง

เสียงสะท้อน จากคนไทย คนหนึ่ง เพื่อก่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทย ความแตกต่างระหว่าง ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนา

ไม่ได้อยู่ที่การไม่เคยเสียเอกราชให้ใคร สามารถดูได้จากประเทศ ญี่ปุ่น เยอรมัน แม้จะแพ้สงครามโลก แต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก

ไม่ได้อยู่ที่ ความเก่าแก่ของอารยธรรมของประเทศนั้นๆ สามารถดูได้จากประเทศ อินเดีย อียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรม มานานกว่า 3,000 ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ในขณะที่ประเทศเกิดใหม่ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ ที่เป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีศักยภาพอะไรเลย เมื่อ 100 ปีที่แล้ว แต่วันนี้กลับพัฒนาจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่ร่ำรวยได้

และความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศด้อยพัฒนา ก็ไม่ได้อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศอีกนั่นล่ะ ญี่ปุ่น ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก 80% ของพื้นที่เป็นภูเขา ไม่เหมาะในการทำ เกษตรกรรม แต่ญี่ปุ่นกลับเป็นประเทศที่ส่งออกอาหาร และ สินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก หรือ สวิสเซอร์แลนด์ อากาศหนาวจัดจนใน 1 ปี ทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือนและ ไม่มีการทำไร่โกโก้เลย แต่กลับทำช็อคโกแลตส่งออกรายใหญ่ของโลก และยังนำเอาความซื่อสัตย์ ความตรงเวลา ความมีระเบียบของคน มาใช้ประโยชน์ จนได้รับการยอมรับให้เป็นธนาคารของโลก

สีผิว และ เผ่าพันธุ์ก็ไม่ใช่เหตุผลอีกแหละ เพราะเมื่อแรงงานที่เคยขี้เกียจในประเทศของตนย้ายไปอยู่และหากินในประเทศที่เจริญแล้วกลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันด้วยซ้ำไป

แล้วอะไร ที่ทำให้แตกต่าง

สิ่งที่แตกต่าง คือ ทัศนคติ ที่ฝังรากลึกมานานปี ผ่านระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝัง จากการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักปรัชญา ได้แก่

ใช้จริยธรรมนำทางชีวิต (Ethics as the basic principle)
ความซื่อสัตย์ (Integrity)
ความรักในงาน (Work Loving)
ความรับผิดชอบในหน้าที่ (Responsibility)
จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง ( Will of super action)
การเคารพต่อกฏระเบียบ (Respect to the law and rules)
การเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น (Respect to the rights of other citizens)
การตรงต่อเวลา (Punctuality)
การออมและความสนใจในการลงทุน (Strive for saving and investment)

แต่น่าเสียดายที่ในประเทศด้อยพัฒนา มีคนเพียงจำนวนน้อยที่ใช้หลักปรัชญาเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต ประเทศไทยของเรายังเป็นประเทศด้อยพัฒนา ไม่ใช่เพราะเราขาดทรัพยากร หรือมีภัยธรรมชาติเป็นปัญหา แต่เพราะเราขาดทัศนคติ และแรงผลักดันที่สอดคล้องไปตามหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตที่กล่าวมา

ปรมาจารย์ ขงจื๊อ (551-479 ปีก่อนปีคริสตกาล) สอนไว้ว่า
หากเจ้าวางแผนไว้ 1 ปี .............. จงปลูกข้าว
หากเจ้าวางแผนไว้ 10 ปี ............. จงปลูกต้นไม้
หากเจ้าวางแผนไว้ 100 ปี ............ จงให้ความรู้ แก่บุตรหลาน

เรามาศึกษาการอบรมและพัฒนาแนวคิดของเด็ก ในประเทศญี่ปุ่นดู

จุดสตาร์ตการศึกษาของชนชาติญี่ปุ่น
้เราคงคิดว่า ญี่ปุ่นซึ่งให้ความสำคัญแก่การศึกษา โรงเรียนอนุบาลของเขาคงเป็นฮาร์ดแวร์สุดยอด ล้ำหน้ากว่าจีน หรือไทยซึ่งพยายามสร้างโรงเรียนอนุบาลแบบหรูหรา เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัย แต่เปล่าเลย โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นแสนจะเรียบง่าย โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นไม่ว่าของรัฐหรือของราษฎร์ ล้วนมีห้องเรียนแบบเรียบง่าย นอกจากเปียโน 1 หลัง โทรทัศน์ 1 เครื่อง เครื่องบันทึกแบบกระเป๋าหิ้ว 1 เครื่อง ซึ่งดูไฮเทคหน่อยแล้ว ฮาร์ดแวร์อย่างอื่นเทียบไม่ได้กับในจีน หรือไทยซึ่งต้องมีอุปกรณ์ให้มากกับเด็ก สำหรับของเล่นเด็ก โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นไม่เน้นอุปกรณ์ทันสมัยและของเล่นแพงหรู แต่จะมีเพียงกระดาษแข็ง กล่องบรรจุขนาดต่างๆ หนังสือพิมพ์ เชือกไนล่อน ตะเกียบไม้ และหนังสือเล่มจำนวนมาก ให้เด็กขีดเขียน ก่ายกอง ตัดแปะ ตามใจชอบ ดูออกจะขัดกับเทคโนโลยีทันสมัยของญี่ปุ่น แท้ที่จริงแล้ว นี่คือความฉลาดของนักการศึกษาญี่ปุ่น ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของเด็ก ไม่ปล่อยเด็กเป็นทาสของ “ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป” สร้างสิ่งแวดล้อมให้เกิดพลังการแข่งขันโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่รอบข้าง อันจะทำให้เด็กรับประโยชน์ตลอดชีวิต

กระเป๋ามากมายขนาดหลากหลาย
วันแรกที่ไปรายงานตัว โรงเรียนอนุบาลก็มอบหมายให้คุณแม่เตรียมกระเป๋าใหญ่น้อยหลายใบ มีทั้งกระเป๋าหนังสือ กระเป๋าใส่ไหมพรม กระเป๋าเครื่องครัว กระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าเสื้อผ้าสำรอง กระเป๋าเสื้อผ้าใช้แล้ว กระเป๋ารองเท้า พร้อมทั้งกำหนดขนาดเพื่อให้กระเป๋าใส่ซ้อนกันได้ ปวดกระบาลจริงๆ ไม่ทราบว่าทำไมต้องสลับซับซ้อนขนาดนี้ อนุบาลบางแห่งยังเรียกร้องให้คุณแม่เย็บกระเป๋าเอง
สองปีผ่านไป เราก็คุ้นเคยกับงานสลับซับซ้อน เด็กก็รู้จักการแยกแยะตามประเภท ชาวญี่ปุ่นขยันแยกขยะตามประเภทโดยไม่รู้สึกรำคาญ น่าจะเกี่ยวกับการอบรมตั้งแต่เด็ก

ผู้ใหญ่เดินมือเปล่า ให้เด็กแบกถือกระเป๋าเอง
เป็นภาพที่น่าตื่นใจ ขณะส่งรับเด็กตอนเช้าเย็น เห็นผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย ล้วนเดินมือเปล่า ปล่อยให้เด็กแบกถือกระเป๋าหลายใบด้วยตนเอง แม้จะมีสัมภาระหนักอึ้ง บุปผาเหล่านี้ก็ยังวิ่งฉิวเพราะพลังเต็มร้อย ความรักแสดงจากใจ ไม่ใช่จากมือ มกุฏราชกุมารญี่ปุ่นพร้อมพระชายาส่งพระธิดาเข้าอนุบาล ฝนตกหรือแดดออกก็ให้เด็กถือกระเป๋าเองถอดเปลี่ยนไม่รู้เบื่อ

รู้จักช่วยตนเอง
โรงเรียนอนุบาลมีเครื่องแบบเปลี่ยนตามฤดูกาล คลอดทั้งปีต้องใส่เสื้อสวมหัว สวมหมวก เมื่อไปถึงโรงเรียน ก็ถอดเสื้อสวมหัว เปลี่ยนเป็นเสื้อเล่น รองเท้าเปลี่ยนเป็นรองเท้าบาเลต์สีขาว ถ้าเล่นกีฬาก็เปลี่ยนรองเท้าอีกแบบ หลังจากนอนพักกลางวัน ตื่นขึ้นมาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ละวันเด็กๆต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายครั้ง โดยคุณแม่ยืนดูห่างๆไม่เคยยื่นมือช่วย ขั้นตอนเหล่านี้ เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักดำเนินชีวิตด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ ให้ฝึกทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บคู่มือ ติดสติกเก้อร์ แขวนผ้าเช็ดหน้าเป็นต้น บ่มนิสัยการทำงานเป็นระเบียบ อาหารชุดอนุบาลออกแบบสร้างสรรค์ ขอเพิ่มได้แต่ไม่กินทิ้งกินขว้าง

สร้างภูมิคุ้มกันโรค
หน้าหนาวให้ใส่กางเกงขาสั้น เด็กอนุบาลญี่ปุ่นต้องใส่กางเกงขาสั้นในช่วงฤดูหนาว (แน่นอนต้องล้มป่วยภายใน 2-3 วันแรก) เมื่อคุยกับคุณแม่ชาวญี่ปุ่นกลับได้คำตอบที่น่าทึ่ง “ใช่แล้ว ส่งเด็กเข้าอนุบาลก็เพื่อให้ล้มป่วย” เมื่อเห็นเด็กๆ แข็งแรงยังกะนักกีฬากรูเข้ามา “สวัสดี” กับฉัน ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ควรโอ๋เด็กมากนัก ก่อนนอนตอนเที่ยงทำความสะอาดร่างกาย กินข้าวเที่ยงและเข้าห้องเรียนให้เปลือยท่อนบน เด็กๆในอนุบาลญี่ปุ่นฝึกร่างกายให้ทนกับความหนาวแบบนี้ทุกวันในฤดูหนาว พ่อแม่ไม่ให้เด็กใส่เสื้ออบอุ่น จุดประสงค์เพื่อให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง จิตใจทรหด

เล่นกีฬาเมื่ออายุ 0 ขวบ
อนุบาลใช้ชื่อดอกไม้ตั้งชื่อชั้นเรียน ลูกฉันเคยอยู่ชั้นดอกเก๊กฮวย เดี๋ยวนี้อยู่ชั้นดอกไวโอเลต สำหรับเด็กอายุ 0 ขวบ จะอยู่ชั้นดอกท้อ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า“もも” ซึ่งคล้ายกับภาษาจีน “毛毛” ที่ใช้เรียกเด็กทารก จะเห็นว่า “คันจิ” ในญึ่ปุ่นก็มาจาก “ฮันจึ” ในจีนนั่นเอง “เหมาเหมา” เหล่านี้แม้จะอายุไม่ถึงขวบ ก็ต้องร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น แข่งกีฬา งานแสดงเป็นต้น เห็น“เหมาเหมา”เหล่านี้แข่งกันคลานคืบหน้าทั้งน้ำตา ออกจะน่าสงสาร เด็กอนุบาลต้องเปลือยท่อนบนวิ่งมาราธอน เด็กเหล่านี้อายุยังไม่ครบ 4 ปีเต็ม แต่ให้วิ่งมาราธอนจนถึงเส้นชัย
อนุบาลชั้นเด็กกลาง เริ่มมีชั่วโมง jumping สัปดาห์ละครั้ง พอถึงชั้นเด็กโต ก็จะมีการแข่งขันฟุตบอล ฝึกซ้อมจนลำตัวฟกช้ำดำเขียว

เด็กญึ่ปุ่นโดยทั่วไปจะเริ่มโตชูร่างเมื่ออายุ 13-14 ปี ก่อนหน้านั้นจะเตี้ยกว่าเด็กจีนมาก ตอนพาลูกมาญี่ปุ่นใหม่ๆ ลูกทำขายหน้าเขามาก เพราะตัวโย่งเสียเปล่า แต่วิ่งสู้เด็กญี่ปุ่นไม่ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง จัดกลุ่มไปไต่เขากัน ลูกเรารั้งท้ายไม่ว่า ขาลงยังต้องให้เด็กญี่ปุ่นตัวเตี้ย 2 คนช่วยหิ้วปีกลงมา อันที่จริงก็โทษเด็กไม่ได้ เพราะเด็กจีนไม่เคยฝึกให้ไต่เขาตอนอายุ 3 ขวบเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

การศึกษาเพื่อสอนให้เด็กรู้จัก “ยิ้ม” และ “ขอบคุณ”
อนุบาลดูเหมือนไม่เน้นการสอนความรู้ เด็ๆไม่มีตำรา มีแต่สมุดวาดเขียนเดือนละเล่ม ตารางเรียนไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ พยัญชนะ ภาษาอังกฤษหรือวิชาดนตรี ถามว่าสอนอะไร ได้คำตอบที่คาดไม่ถึงคือ “สอนเด็กให้รู้จักยิ้มหยีๆ” ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน “ยิ้ม”ถือว่าสำคัญยิ่ง เด็กผู้หญิงที่ยิ้มเป็นถือว่าสวยที่สุด
นอกจากนี้ยังสอนอะไร – “สอนให้รู้จักขอบคุณ” สรุปคือ การศึกษาในญี่ปุ่นเน้นแตกต่างกับจีนอย่างมาก อย่างไรก็ตาม 3 ปีในอนุบาล พบว่าเด็กมีความ ก้าวหน้าในด้านดนตรี วิจิตรศิลป์ การอ่านเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากรูปแบบการศึกษาองค์รวม

กิจกรรมและเทศกาลมีตลอดปีนับครั้งไม่ถ้วน
คุณแม่ต้องกาเครื่องหมายบนปฏิทินมากมาย เพื่อเตือนให้ทำปิ่นโต เพราะตลอดปีมีรายการปิกนิก ไต่เขา เที่ยวทะเลสาบ ชมสวนสัตว์และสวนพฤกษชาตินับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมมากมายก่ายกอง เช่น ทำขนมโก๋ในเทศกาล แข่งกีฬา งานแสดงเพื่อชุมชน ออกค่ายพักแรม จัดนิทรรศการ นมัสการที่วัดวาอารามต่างๆ ประเพณีดั้งเดิมที่จีนสะบัดทิ้ง แต่ญี่ปุ่นยังคงรักษาไว้ อนุบาลญี่ปุ่นมีการฉลองเทศกาลทั้งของตนเองและของจีน เช่น เทศกาลเด็กผู้หญิง เทศกาลเด็กผู้ชาย ตามประเพณีญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังฉลองเทศกาลกินผัก 7 อย่างในวันที่ 7 หลังตรุษจีน (เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ให้กินผักหลายอย่างหลังเปิบเนื้อหมูเป็ดไก่มาหลายวัน) และเทศกาลวันที่ 7 เดือน 7 ซึ่งเป็นวันหนุ่มเลี้ยงควายนัดพบสาวทอผ้า (วันวาเลนไทน์จีน) ลูกกลับบ้านถามฉันว่า วันนี้ครูถามว่าในจีนฉลองเทศกาลเหล่านี้อย่างไร ฉันตอบไม่ได้ ขายหน้าเขาจัง แม้แต่แม่ก็ไม่รู้เรื่อง

อิทธิพลของศาสนาพุทธ
อนุบาลญี่ปุ่นจะตั้งอยู่รอบวัด นอกจากนั้น เจ้าอาวาสยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการอนุบาลด้วย ลักษณะนี้มีอยู่ทั่วไปทั้งในชนบทและเมืองใหญ่เช่นโตเกียว เด็กๆ ก็ชอบไปเล่นซ่อนหาในสุสานบริเวณวัด กล่าวได้ว่าวิ่งไปมาระหว่างเส้นตายและเส้นเป็น ทุกเดือนเด็กต้องไปฟังเทศน์ในวัด 1 ครั้ง และไหว้พระในวันสำคัญ ก่อนจบการศึกษา เด็กต้องไปถวายดอกไม้และบนบานในวัด

เข้าใจความเป็นมาของชีวิต
ก่อนถึงวันเกิดเด็ก ครูจะติดต่อกับพ่อแม่เด็ก ถามที่มาของชื่อเด็กและขอยืมรูปถ่ายตั้งแต่แรกเกิดเพื่อจัดแสดงในชั้นเรียน และขอให้คุณแม่เขียนข้อความเล่าเรื่องตอนเด็กเกิดใหม่ เพื่อนำไปอ่านหน้าห้อง กิจกรรมเหล่านี้ต่างจากในจีนซึ่งผู้ปกครองมักจะจัดงานเลี้ยงฉลองและซื้อของขวัญวันเกิดให้เด็ก สำหรับญี่ปุ่นเขามีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ความเป็นมาของชีวิต ตระหนักถึงความยากลำบากตั้งแต่เกิดจนเติบโต รู้จักยินดีและขอบคุณในชีวิต ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เมื่อรู้จักให้เกียรติแก่ชีวิตตั้งแต่เด็ก โตขึ้นจะไม่ค่อยมีพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง

วัยเด็กที่เต็มไปด้วยจินตนาการ
รถรับส่งเด็กอนุบาลประดับด้วยรูปการ์ตูนในสัญลักษณ์ญี่ปุ่น ย่อมจูงใจเด็กอยากไปโรงเรียนทุกวัน (สำหรับในอเมริกา รถรับส่งเด็กนักเรียนประการแรกต้องเสริม
โครงเหล็กให้แข็งแกร่งเป็นพิเศษในทุกด้าน หน้าต่างกระจกกันกระสุน แต่ละคันมีมูลค่าหลายแสนเหรียญ โตโยต้าคัมรีรุ่นระดับกลางในอเมริกาขายเพียง 2 หมื่นเหรียญ ประการที่ 2 รถโรงเรียนเป็นรถอภิสิทธิ์สูงสุด แม้แต่ขบวนรถประธานาธิบดี ยังต้องหยุดให้ทางแก่รถโรงเรียน การแซงรถโรงเรียนบนท้อง
ถนนถือว่าผิดกฎหมาย เมื่อรถโรงเรียนหยุดรับส่งนักเรียน รถที่ตามหลังต้องหยุดหมด แม้แต่รถตำรวจยังต้องหยุดตาม หากบังอาจแซงรถโรงเรียน ก็จงเตรียมตัวขึ้นศาลสถานเดียว)

เรียนรู้บทบาททางเพศ
เพศศึกษาเริ่มจากการทำความสะอาดอวัยวะ เด็กต้องเรียนรู้วิธีใช้ห้องสุขาที่ถูกต้องทันทีที่เข้าอนุบาล เพศศึกษาเริ่มจากการชำระร่างกาย เช่นการใช้กระดาษเช็ดก้นต้องเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังสำหรับเด็กหญิง ห้ามเช็ดสวนทางเพื่อป้องกันอวัยวะเพศอักเสบ เด็กชายห้ามใช้มือสกปรกจับจู๋ พี่เลี้ยงจะเตือนผู้ปกครองหมั่นเปลี่ยนชุดชั้นในซึ่งถ้าสกปรกอาจทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมในภายหลัง นอกจากนี้ ครูจะอาศัยวิชาว่ายน้ำชั่วโมงแรกเป็นโอกาสสอนให้เด็กเข้าใจว่าตนเองเป็นหญิงหรือชาย รู้จักความแตกต่างของเพศ รู้จักให้เกียรติแก่ร่างกายฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีความสำคัญสำหรับการสร้างจิตสำนึกทางเพศที่ดีงาม

การฝึกซ้อมกันภัยแผ่นดินไหว
ในญี่ปุ่นมักผูกติดกับอัคคีภัย เพราะอารามส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้ เด็กจะสวมหมวกกันสะเทือนซึ่งทนไฟและหนักมาก ฝึกให้รู้จักวิ่งหนีอย่างชาญฉลาด หลบหลีกท่อแก๊สและท่อน้ำ มุ่งไปหาที่โล่งแจ้ง

พิธีมอบวุฒิบัตรเหมือนมหาวิทยาลัย
ทุกขั้นตอนทำแบบพิถีพิถัน ไม่นึกเลยว่านำมาใช้กับเด็กอายุเพียง ๖ ขวบ ซึ่งจะเริ่มเข้าโรงเรียนประถมศึกษา ใช่แล้ว มารยาทในพิธีการต้องเริ่มฝึกสอนแต่เล็ก
ในจีน (ในไทยก็คงเช่นเดียวกัน) สอนเด็กอนุบาลโดยเน้นที่การพัฒนาระดับสติปัญญา แต่เมื่อเด็กโตขึ้นเข้าสู่สังคม แม้แต่สอบสัมภาษณ์ก็ยังต้องให้พ่อแม่ไปให้กำลังใจ รินน้ำสักแก้วก็ไม่เป็น จัดระเบียบเก้าอี้ไม่เป็น ปิดสวิทไฟเมื่อเลิกใช้งานไม่เป็น ทนงานกดดันไม่ไหว คิดแต่เปลี่ยนงานบ่อยไม่มีความอดทน ตาสูงแต่ ฝีมือไปไม่ถึง....“ในอนาคต การแข่งขันทางธุรกิจหรือระดับชาติก็ดี ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างผู้นำกับผู้นำอีกแล้ว แต่เป็นการแข่งขันระหว่างทีมงาน ระหว่างชนชาติ ระหว่างวัฒนธรรมหนึ่งกับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง”
โรงเรียนอีตันแห่งอังกฤษอบรมเด็กให้เป็นคนกระตือรือร้น มุ่งมั่นและอุทิศตน
อธิการบดีมหาวิทยาลัยแยลกล่าวว่า การศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เพื่อหางานทำ แต่เพื่อรู้จักชีวิต
วิทยาลัยลูซันแห่งสวิสยืนหยัดการผลิตบุคลากร(ธุรกิจบริการ)ให้มีไหวพริบรู้ทัน ไม่ใช่บุคลากรไฮเทค

สำหรับประเทศไทย สอนให้เป็นนกแก้ว และเก่งแบบศรีธนชัย

จากใจ คณะผู้จัดทำ


Create Date : 29 กันยายน 2554
Last Update : 29 กันยายน 2554 13:35:16 น. 7 comments
Counter : 1569 Pageviews.

 
ได้สาระดีแท้ ทำอย่างไรหนอเมืองไทยถึงจะเข้าใจตัวเองซะที เฮ้อ!! เซ็ง!!


โดย: 4308 IP: 124.122.63.25 วันที่: 29 กันยายน 2554 เวลา:22:48:30 น.  

 
4308อย่าเพิ่งเซ็ง อ่านแล้วได้แนวทางดีนะ น่าจะตั้งอนุบาลอย่างนี้สักแห่ง เผื่อรุ่นหลานเรา(เพราะรุ่นลูกไม่ทันแล้ว)จะได้เป็นรุ่นประเทศ(ไทย)ที่พัฒนาแล้วไง


โดย: เล็ก7ก IP: 110.169.237.127 วันที่: 30 กันยายน 2554 เวลา:9:35:58 น.  

 
ขอบคุณ K.เล็ก7ก เห็นด้วยกับการแสดงความคิด แต่ไม่รู้ว่าคน กทม เขาจะเอาด้วยไม๊ เท่าที่รทราบร.รแบบนี้มีที่ทางตอนเหนือของไทยแล้วเคยดูทาง ทีวี จำชื่อร.รไม่ได้ครูใหญ่เป็นผู้เสียสละจริงๆ ไม่ทราบว่าจำกันได้รึเปล่า ถ้าเดาไม่ผิด
เล็กต้องเคยมางานเลี้ยงรุ่นด้วยใช่มะ


โดย: 4308 IP: 124.121.73.61 วันที่: 2 ตุลาคม 2554 เวลา:8:57:24 น.  

 
ญี่ปุ่นเค้าปลูกฝังเด็กให้มีความอดทนตั้งแต่แบเบาะแล้วเคยไปญี่ปุ่นเห็นเด็กประมาณ2-3ขวบหกล้มมีฝรั่งจะเข้าไปช่วยแต่พ่อแม่เด็กญี่ปุ่นทำมือแบบว่าอย่ายุ่งปล่อยเค้าลุกขึ้นมาเองเค้าสอนเด็กให้รู้จักยืนหยัดและสู้ด้วยตัวเองก่อนเสมอจึงไม่แปลกเลยว่าคนญี่ปุ่นมีความอดทนสูงทุกสถานการและมีระเบียบวินัยดีมากคนที่เคยไปเที่ยวมาแล้วจะสัมผัสได้ทุกคนครับ(อยากไปอีกนะเนี้ย)


โดย: สุพจน์(up) IP: 124.120.189.142 วันที่: 13 ตุลาคม 2554 เวลา:21:03:57 น.  

 
แวะมาเยี่ยมชมครับ


โดย: BoonsermLover วันที่: 15 ตุลาคม 2554 เวลา:13:49:22 น.  

 
seo แวะมาดู blog ของเพื่อนๆครับ Directory


โดย: nooblue88 วันที่: 8 ธันวาคม 2554 เวลา:22:40:38 น.  

 
เห็นด้วยกับความแตกต่าง ประเทศด้อยพัฒนาที่น่าอยู่ก็มีเช่น ลาว ภูฎาน ขึ้นอยู่กับจิตใจ ความสุขความพอเพียงที่พ่อหลวงของเราท่านได้สอนพวกเราไว้และการได้นำมาประยุกต์ใช้ ใช่ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะดีไปเสียหมดมันอยู่ที่มุมมองของตัวท่านเองต่างหาก


โดย: 4116 IP: 124.121.123.84 วันที่: 19 มกราคม 2555 เวลา:10:53:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สหคุณ 2521
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วัน เวลา ผ่านพ้นมาจนถึงวัยให้คิดถึงอดีตที่มีทั้งรอยยิ้มคราบน้ำตา เสียงคุณครูและเสียงใส ๆ อีกมากมาย
ความคิดได้หยุดลงในขณะที่ปัจจุบันพวกเรายังมีความรับผิดชอบต่อภาระ หน้าที่ ตลอดจนครอบครัว ทำให้การพบปะเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตามไม่อาจกีดกั้นความรู้สึกคิดถึงกันในวัยเยาว์ อยากให้ที่ตรงนี้เป็นเหมือนโรงเรียนของพวกเราในอดีตที่จะมาพบเจอกัน และพูดคุยกัน หวังอย่างยิ่งจะเป็นสถานที่ทำลายกำแพงการกีดกั้นในการพบปะของพวกเราทุกคน ไม่มีความรวย ความจน มีแต่คำว่า เพื่อนเราในเยาว์วัย
ตอนนี้เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารได้อีกหนึ่งช่องทางที่ http://www.facebook.com/?sk=ff&ap=1 หรือเข้าไปที่ http://www.facebook.com แล้วพิมพ์หา saha2521@gmail.com ช่วยกันมาเยี่ยมเยอะ ๆ นะ
Friends' blogs
[Add สหคุณ 2521's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.