|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
โลกของใจ
แม้ว่าโลกภายนอกจะดูสับสนวุ่นวาย ปรวนแปร ไม่แน่นอน หลอกลวง เหลวไหล ไร้สาระ ขนาดไหน แต่โลกของใจที่อยู่ภายในตัวเอง กลับเป็นโลกที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ความคิดที่ดูแปลก ๆ นี้ สำหรับคนที่วัน ๆ ปล่อยจิตปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสโลก ก็ย่อมที่จะไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่เมื่อใดที่เราให้เวลากับจิตใจของตัวเองมากขึ้นแล้วล่ะก็ ไม่นานเลยเราจะรู้ว่า ตัวเราเองเหมือนมีโลกอยู่ 2 โลกดำเนินไปควบคู่กัน เกี่ยวเนื่องกันอย่างมีระบบระเบียบ
แม้โลกสัมผัสและโลกจิตใจจะมีความจริงที่ตรงกันบ้างก็ตาม แต่ที่ค่อนข้างแปลก คือ ความจริงในโลกสัมผัสหลาย ๆ ครั้งที่ทำให้เรามองเห็นความเท็จในโลกจิตใจ ความเท็จในโลกสัมผัสก็อาจทำให้เราเห็นความจริงในโลกจิตใจก็ได้เช่นกัน
โลกของใจที่ตั้งไว้ไม่ดี ทั้งหมดย่อมเป็นเท็จมากกว่าความเท็จในโลกสัมผัส แต่โลกของใจที่ตั้งไว้ดีแล้ว โดยมากเป็นจริงมากกว่าความจริงในโลกสัมผัส แต่การที่จะเป็นความจริงทั้งสองโลกนั้น เป็นไปได้ยาก เพราะย่อมถูกจำกัดด้วยฐานะที่จะเป็นไปได้หลาย ๆ อย่าง ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยมากมายในการนั้น
ในขณะที่โลกภายนอกดำเนินไป โลกภายในสำหรับบางคนเหมือนหยุดอยู่กับที่ หรือกำลังดำเนินไปอย่างช้า ๆ บางครั้งเหมือนจะหาความสัมพันธ์กันไม่ได้กับโลกภายนอก เพราะไม่อยู่ในความเข้าใจของใคร ๆ เลย
จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป
จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป
สองประโยคนี้เป็นประโยคที่แสดงให้รู้ว่า คติของคนเราย่อมถูกกำหนดด้วยความเศร้าหมองหรือผ่องใสของจิตใจ หาใช่ร่างกายไม่ แม้ว่าร่างกายจะดูแปดเปื้อนเศร้าหมองด้วยสิ่งต่าง ๆ ก็ตาม หากจิตใจไม่ได้เศร้าหมองไปตามก็ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ทั้งนี้แม้ยังมีชีวิตอยู่ การที่เรารักษาใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ก็ย่อมสามารถยังชีวิตให้มีสุขได้ในวันข้างหน้านั่นเอง
แต่กายกับใจก็มีความสัมพันธ์กันชนิดแยกกันไม่ขาด การกระทำใด ๆ ทางกายย่อมมีผลต่อใจไม่มากก็น้อย การกระทำทางใจก็เช่นกัน มีผลต่อกายด้วยเสมอ ถ้าเราหวังผลที่จะให้ใจดีขึ้นแล้ว พึงกระทำกายให้ดีขึ้น ถ้าหวังผลให้กายดีขึ้นแล้ว ก็พึงกระทำใจให้ดีขึ้น และจะยิ่งดีถ้าทำให้ดีได้ทั้งสองอย่าง
ไม่ว่าผู้คนจะด่าทอ ดูหมิ่นเหยียดหยาม สาบแช่ง สักปานใด บุคคลผู้มีใจผ่องใสอยู่เป็นนิจ ก็ย่อมมั่นใจในการกระทำของตนเอง เพราะการกระทำที่เป็นไปในทางเสื่อม ย่อมไม่สามารถทำให้ใจผ่องใสได้ แต่การที่ใจเขายังคงผ่องใสได้อยู่ จึงต้องมีเหตุผลที่สมควรพอจึงจะเป็นไปได้เช่นนั้น ทั้งนี้ผู้ที่ร้อนอกร้อนใจกลับจะกลายเป็นผู้ที่มาคอยตำหนิเสียด้วยซ้ำ
แม้โลกภายนอกจะดูตกต่ำ แต่โลกภายในกลับสว่างไสว สงบเย็น เบิกบาน มีสิ่งแปลกใหม่มาให้ดูอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ว่างจากภารกิจภายนอก แม้สิ่งที่พบเจอจะไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจหรือมีความหมายอะไรนัก แต่มันก็พอจะเป็นข้อทดสอบได้ว่า ในแต่ละวัน ผลการกระทำเป็นเช่นไร ถ้าแม้แต่ใจตัวเองยังแย่ลงแล้ว ก็คงยังไม่ต้องหวังว่าจะช่วยดูแลใจคนอื่นได้
แม้เวลาที่อยู่ในโลกภายในจะมีเพียงน้อยนิด แถมยังต้องเบียดใช้เวลาของความคิดในกิจวัตรประจำวันอยู่เสมอ เพราะหามีเวลาอย่างแท้จริงไม่ แต่สิ่งเล็กน้อยสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ เป็นแหล่งกำลังใจที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจหาได้จากโลกภายนอก แม้การพักผ่อนทางกายจะจำเป็น แต่ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ที่พักผ่อนทางกายมาเพียงพอแค่ไหน บางทีก็ไม่มีกำลังใจที่จะทำการใด ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่สำหรับโลกภายใน ที่ผู้ใดสามารถเข้าถึงการพักผ่อนทางใจได้เพียงชั่วครู่ แม้ว่าจะอ่อนล้าไปสักแค่ไหน แต่กลับมีกำลังใจที่จะทำงานได้มากขึ้นอีกอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ไม่ว่ากำลังใจจากภายในจะมีมากสักเพียงใด ถ้ายังเป็นในลักษณะต้องพยายามรักษาไว้ มันก็เป็นได้แค่กำลังใจเฉพาะตัวเท่านั้น หากเรามัวแต่ไปใส่ใจคนอื่น กำลังจากภายในก็มีอันต้องหมดไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะความที่พยายามจะเพิ่มกำลังใจให้ผู้อื่น โดยเฉพาะถ้าผู้ที่เราคอยให้กำลังใจนั้น เขาเอาแต่ตอกย้ำให้ใจของตัวเองอยู่ในสภาพที่หมดกำลังใจอยู่เสมอ
หรืออย่างเด็กน้อยที่ร้องไห้จะเอาดวงจันทร์ เพราะความไม่รู้เดียงสา ถ้าเด็กน้อยยังคงตอกย้ำความหวังเช่นนี้ ไม่ว่ากำลังใจจากตัวเด็กเองหรือจากผู้ที่คอยปลอบก็ตาม ย่อมต้องมีแต่หมดไปเรื่อย ๆ จนบางครั้งรู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเลยทีเดียว เพราะนำใจไปหวังไว้กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ใช้กำลังใจไปเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ความอยากได้ที่ไม่มีหวัง ช่างเป็นทุกข์นัก แต่ความอยากได้ที่สมหวังตลอดก็มีแต่อยากไม่เคยสิ้นสุด ไม่เคยหยุดพัก เหมือนต้องวิ่งหาตลอดไปยิ่งดูทุกข์กว่า
ความเกลียดชังด้วยความไม่พอใจในสิ่งที่ตนได้รับ ก็ทุกข์แสนสาหัส แต่ความเกลียดชังในสิ่งที่ไม่พอใจแล้วสิ่งนั้นก็ถูกทำลายไป ก็มีแต่จะเกลียดชังทำลายล้างกันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดจบ วิ่งไปเพื่อทำลาย นึกแล้วสุดแสนของแสนสาหัส
ความโง่ ความไม่รู้เรื่องราวอะไรบางอย่างที่ควรจะรู้ ทำให้รู้สึกขัดใจ เป็นทุกข์นัก แต่ความไม่รู้ที่หาทางออกด้วยการถือตัวเองว่ารู้กลัวเสียหน้า กลับยิ่งทุกข์หนัก เพราะการยึดถือไว้แบบนี้ ยิ่งทำให้ห่างไกลจากความรู้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดจบ จนสุดท้ายอาจจะกลายเป็นผู้รู้ผิดไปเสียทุกเรื่อง
ดูแล้วมนุษย์เราช่างมีทุกข์นัก ไม่มีใครเลยที่จะพ้นจากอาการเหล่านี้ต่างกันแต่มากน้อยหนักเบาห่างถี่เท่านั้น สำหรับผู้ที่ทนต่อความทุกข์เหล่านี้ไม่ให้เบียดเบียนทำร้ายจิตใจรักษาตนอยู่ได้ก็คงพอจะดีอยู่ แต่ปรากฏว่าคนมากมายไม่ได้เป็นอย่างนี้ คือ ทนกันไม่ค่อยได้กับความทุกข์ทุกประเภทที่มีอยู่บนโลก แต่ก็ยังดิ้นรนเพื่อจะอยู่กันบนโลกแห่งความทุกข์นี้อย่างสุขสบาย เพราะตั้งความหวังไว้ผิดเช่นนี้ โลกจึงมีแต่คนทุกข์ไม่รู้จบ ทุกคนต่างแสดงอาการดิ้นรนเมื่อมีทุกข์ วิ่งวุ่นวายค้นหาความสุข แต่ทว่าเขาคงหากันไม่พบ เพราะไม่เคยมีใครหยุดวิ่ง ความแก่ชรามันทำให้ร่างกายวิ่งไปไม่ได้ก็จริง แต่จิตใจของคนชราไม่ได้หยุดวิ่งแน่นอน ไม่มีใครพอใจกับสภาพความแก่ชราของตัวเอง ที่ยอมรับเพราะมันฝืนไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ก็เท่านั้น
ในเมื่อใคร ๆ ก็ทุกข์กันอย่างนี้ เราก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันทั้งนั้น ก็ได้แต่นึกสงสารเวลาที่คนอื่น ๆ ดิ้นรนเบียดเบียนผู้อื่นเพราะความทุกข์ในใจตนโดยตัวเองก็ไม่รู้ เหมือนคนที่โปรยยาพิษขึ้นไปบนอากาศหวังจะให้ผู้อื่นโดนพิษตาย แต่ตัวเองก็ต้องโดนพิษที่โปรยมากกว่าใคร ดูแล้วไม่รู้ว่าใครโง่ใครฉลาดกันแน่
แล้วเพราะใคร ๆ ก็ทุกข์กันอย่างนี้ ถ้าตัวเรารู้ว่า มีวิธีที่จะทำให้ทุกข์ของคนเหล่านั้นหายไปได้จริง ๆ แล้ว เราจะทำอย่างไร จะนิ่งเฉย จะหาทางพ้นทุกข์เฉพาะตน หรือว่าจะทำเพื่อคนอื่นด้วย
คำตอบนี้ไม่มีใครตอบผิด เพราะเหตุว่าทุกข์มันบีบคั้นเหลือเกิน ไม่มีเวลาว่างเว้น ความแก่ก็ไม่เคยหยุดรอเราตั้งตัวแม้แต่สักเสี้ยววินาทีเดียว มันแก่ไปเรื่อย ๆ แต่เราสังเกตไม่ออก พอสังเกตออกคิดจะทำอะไรก็สายไปเสียแล้ว เรี่ยวแรงก็ตก สติก็เสื่อม สุขภาพก็ย่ำแย่ หน้าตาก็ไม่น่าดู เสียดายวัยหนุ่มสาวที่ใช้ประโยชน์ได้มาก ก็เอาไปท่องเที่ยวโลกสำราญกันเสียแล้ว ไม่ได้รู้เดียงสาเลยว่า ตัวเองเหมือนหนอนที่กำลังพอใจเล่นละเลงกองขี้อยู่ คิดแต่ว่ากองขี้เป็นดังสรวงสวรรค์วิมานแมน
แต่สำหรับคนบางคนคงต้องให้เห็นทุกข์แบบจะ ๆ กระมัง จึงจะได้คิด แผ่นดินที่กำลังพิโรธอยู่ทุกหวลระแหงแต่ยังไม่ใช่ที่ ๆ ตนเองอาศัยอยู่ ก็คงยังไม่ทำให้ใครเห็นภัยได้ อาจจะต้องรอแบบพระเทวทัตที่สำนึกได้ก็เมื่อจมดินเหลือแต่คางนั่นเอง
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านี้คือ ตายแล้วก็ยังไม่สำนึก
เฮ้อ ...
กว่าคน ๆ หนึ่งจะสำนึกได้ว่าโลกนี้เป็นทุกข์ พูดกันตามทฤษฎี ใช้เวลากันเป็นอสงไขยชาติทีเดียว (เกิดตาย ๆ เป็นจำนวนเลข 1 ตามด้วยเลข 0 ประมาณ 140 ตัว) ฉะนั้น ถ้าใครรู้สึกสะกิดใจบ้างแล้วว่าโลกนี้เป็นทุกข์ ขอให้ก้าวเดินต่อเถิด อย่ามัวไปเล่นละเลงกองขี้อยู่เลย ห่วงอะไรกับชีวิตที่สว่างชั่ววูบเดียวเหมือนเทียนไขอย่างนี้ ถ้าหลงไปมัวเมาอีก รับรองรออีกนานกว่าจะคิดได้อย่างนี้อีกทีหนึ่ง
หยดน้ำหยดหนึ่ง ยังหาญกล้าที่จะร่วมเป็นต้นกำเนิดของมหาสมุทรใหญ่ อย่าคิดว่าเราแค่คนเดียวจะทำอะไรไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง ไม่เคยมีความคิดของใครที่ไม่เคยตรงกับความคิดของคนอื่น เรามองดูโลกนี้มีคนอยู่ 6,000 กว่าล้านคน เอาแค่นี้ นั่นแหละเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เพียงแต่หลาย ๆ คนยังถูกความไม่รู้ครอบงำอยู่ ถ้าเรารู้ก่อนแล้วเพิกเฉย มันก็เสียทีที่ได้รู้
ดังบล็อกของคุณป่ามืด เรื่องคนดียิ่งกว่าดี ผู้ที่ทำความดีด้วยตนเองนั้นนับว่าเป็นคนดี แต่ผู้ที่ดียิ่งกว่าดีก็คือผู้ที่ทำความดีด้วยตนเองแล้วชักชวนผู้อื่นให้ทำความดีด้วยนั่นเอง เพราะเขาไม่รู้ เราจึงต้องชวน เพราะเขาไม่รู้จึงปฏิเสธ เราจึงต้องชี้แจง สุดท้ายแล้วคนนี้ไม่ยอมเข้าใจ ก็ต้องมีสักคนที่ยอมเข้าใจ และรอเราไปบอกให้เขารู้
ก็เพราะเราไม่ใช่มนุษย์คนเดียวที่อยู่ในวงจรทุกข์ของโลกนี้ เรามากันเป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นทีม เป็นทัพ เต็มโลก เต็มจักรวาล เต็มภพ เต็มสังสารวัฎกันอย่างนี้ แล้วควรหรือที่จะถอยกลับไปคนเดียว
ย้ำว่า ยังคงไม่มีใครผิดกับการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต เพราะว่าความทุกข์เบียดบังอยู่ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอณูขุมขน ไม่ว่างเว้น แต่ลองถามตัวเองดูก่อนเถิดว่า แน่ใจแล้วหรือที่จะดำเนินชีวิตโดยไม่ใส่ใจผู้อื่นกันเยี่ยงนี้ ถ้าถามดูหลายรอบแล้วตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้ายังไม่ถามหรือรีบด่วนตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบ มันก็น่าเสียดายที่จะบอกว่า "โดนเอาไปเสียแล้ว" มนุษย์หนอมนุษย์
Create Date : 02 ตุลาคม 2548 |
|
3 comments |
Last Update : 12 ตุลาคม 2548 11:06:21 น. |
Counter : 432 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: กำลังใจ^_^ IP: 202.176.124.193 5 ตุลาคม 2548 16:45:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ทุกข์ สุข เป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตคน
แต่กิเลศเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเลือกที่จะทำให้เกิดทุกข์ หรือสุขกับตนเองและผู้คนในโลกนี้ได้