ตะลึงแอดมิชชั่น 2553 “จุฬาฯ แหวกแนว รับตรงอื้อ”
มีข้อสรุปออกมาแล้วสำหรับระบบรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในปีการศึกษา พ.ศ.2553 ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ในระบบแอดมิชชั่นเดิมให้ความสำคัญกับระบบกลางมากกว่าระบบรับตรง ในอัตราส่วน 70 : 30 แต่พอมาระบบใหม่นี้มันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ผู้บริหารของ จุฬาฯ ถึงเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับระบบรับตรงมากกว่าระบบกลาง ถึง 60 : 40 ก็เป็นสิ่งที่น่าจะสะท้อนบางอย่างเกี่ยวกับระบบการศึกษาของไทยได้บ้าง
ข้อสังเกตเกี่ยวกับระบบนี้ก็คงนี้ไม่พ้นการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพราะเหตุใดถึงมีนิสิตติด F ครึ่งค่อนคณะ ผลต่อมาก็คือ การถูกรีไทร์เป็นจำนวนมาก มันแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบเก่าหรือไม่ ดังนั้นเกณฑ์การรับของจุฬาฯ ในปี 2553 สำหรับคณะวิศวกรรมศาสตร์จึงแยกรับตรงกว่า 60% ยิ่งไปกว่านั้นมีการใช้คะแนนความถนัดทางวิศวกรรม (PAT 3) ถึง 50% จากองค์ประกอบทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ามีการแก้ไขปัญหาการคัดเลือกเด็กที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาศึกษา เด็กบางคนทำคะแนนไทย-สังคม ดีจนเข้าเรียนวิศวะได้ก็มี
สำหรับคณะวิทยาศาสตร์ก็เป็นอีกคณะที่มีปัญหา มีคำถามว่า ทำไมเด็กคณะวิทยาศาสตร์ถึงติด F กว่า 40% ทำไมขึ้นปี 2 แล้ว เพื่อนๆ หายไปกว่าครึ่งคณะ นี่มาจากความล้มเหลวของระบบการคัดเลือกหรือไม่ ในแอดมิชชั่นระบบใหม่ จุฬาฯ จึงรับตรงกว่า 50% ในคณะนี้ และที่สำคัญ คือ มีแบบทดสอบความถนัดทางวิทยาศาสตร์ของจุฬาฯ โดยเฉพาะ โดยใช้เกณฑ์ถึง 40% จากองค์ประกอบทั้งหมด ส่วน PAT 1 และ 2 ที่เป็นความถนัดทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็ใช้เกณฑ์ 10 และ 30 % ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
คณะต่อมา คือ คณะอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นที่น่าตกใจว่า จะรับตรงทั้งหมด 100% เนื่องมาจากเกณฑ์ที่ทาง สกอ. กำหนดมาในระบบใหม่นั้น ไม่สามารถใช้วิชาภาษาต่างประเทศคัดเลือกเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุฬาฯ จึงมีมติให้รับตรงคณะอักษรศาสตร์ทั้งหมด เพื่อคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถทางภาษาอย่างแท้จริง
ลองมาดูที่คณะครุศาสตร์ ก็เป็นที่น่าแปลกใจเช่นกัน เนื่องจากเป็นคณะที่แทบจะไม่รับตรงเลย นอกจากสาขาวิชาดนตรีศึกษา สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา และวิชาเอกภาษาเยอรมัน คณะครุศาสตร์เป็นอีกคณะหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากแอดมิชชั่นระบบใหม่ เพราะไม่มีเกณฑ์ความถนัดทางวิชาการในการรับเข้าอย่างแท้จริง กล่าวคือ เด็กที่ต้องการเรียนวิชาเอกในกลุ่มวิทยาศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์-สังคมศึกษา จะเข้ามาในระบบกลางโดยที่ไม่ต้องใช้วิชาเหล่านั้นเป็นเข้าคัดเลือก นอกจากการสอบ O-Net ที่ใช้ 40% รวม 8 วิชา แสดงให้เห็นว่าการแอดมิชชั่นระบบใหม่ไม่สามารถคัดนิสิตคณะครุศาสตร์เข้าวิชาเอกได้อย่างมีคุณภาพ ทำให้มีมติออกมาว่าคณะครุศาสตร์จะรับตรงเพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งนอกจากใช้คะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) 10% และ GAT 20% แล้ว ยังมีการใช้คะแนนความถนัดทางวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หรือภาษาต่างประเทศ กว่า 40% ประกอบกับความถนัดทางวิชาชีพครู 30% รวมกับ GPAX และ GAT และมีการใช้คะแนนความถนัดทางวิชาชีพครู 30% รวมกับคะแนนแบบทดสอบพื้นฐานที่ทางคณะจัดสอบเอง 40% รวมกับ GPAX และ GAT ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากระบบกลางที่ใช้แต่ความถนัดทางวิชาชีพครู รวมกับ GPAX และ GAT
อย่างไรก็ตาม การรับตรงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะไม่ใช้คะแนน O-Net เป็นเกณฑ์การคัดเลือก รวมทั้งวิชาความถนัดต่างๆ (PAT) ก็สามารถใช้ได้ในครั้งเดียว คือ การสอบในเดือนกรกฎาคมเท่านั้น ถือเป็นการรับเข้าศึกษาต่อที่อาจจะจำกัดสิทธิเด็กไปซักนิดนึง แต่ก็เพื่อการคัดเลือกนิสิตที่มีคุณภาพ สามารถศึกษาในระดับอุดมศึกษาตามความถนัดของตนอย่างแท้จริง ตามแนวคิดแบบ Realism ที่ส่งเสริมให้เด็กมีความรู้และทักษะตรงตามความถนัดของตน เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามเป้าหมายชีวิตที่ตนกำหนดไว้ในอนาคต หากเราเรียนในสิ่งที่ตนเองถนัดแล้ว ก็สามารถทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดเสมอ
ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก //www.admissions.chula.ac.th/chula2553.pdf
Create Date : 05 มีนาคม 2552 |
Last Update : 5 มีนาคม 2552 20:10:55 น. |
|
14 comments
|
Counter : 436 Pageviews. |
|
|
คิดว่า ควรจะคัดเลือกเด็กที่เขามีความถนัดในวิชาที่จะต้องใช้ในการเรียนของคณะนั้นๆจริงๆ เพราะเมื่อเรียนไป ก็จะได้ไม่มีปัญหาในการเรียนค่ะ เช่น เรียนไม่ไหว