"อย่าเพิ่งด่วนสรุปจากข้อมูลที่ได้รับ"และจะดำรงชีวิตอย่างไรในสังคมที่วุ่นวาย
พระพรหมคุณาภรณ์
เจ้าอาวาส วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม ท่านผู้ได้รับ รางวัล
รางวัล "สังข์เงิน" สาขาเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ปี พ.ศ.๒๕๓๓
รางวัล "การศึกษาเพื่อสันติภาพ"จากยูเนสโก
ปี พ.ศ.๒๕๓๗
......................................................
ธรรมะวันอาทิตย์ ช่อง ๗ สี เวลา ประมาณ ๖.๐๐ น.
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้เทศน์
เรื่อง "อย่าเพิ่งด่วนสรุปจากข้อมูลที่ได้รับ"
ได้ฟังรายการแล้ว ขอสรุปใจความว่า
เมื่อได้รับข้อมูลแล้วอย่าเพิ่งด่วนสรุป การจะสรุป
ต้องประกอบด้วย
๑.การใช้ปัญญา
๒.การดูเจตนา
๓.การไม่ประมาท
๔.การละทิฐิมานะ
ข้อที่ ๑. การใช้ปัญญา ตรวจดูว่าข้อมูลนั้น มี
ก.ข้อมูลที่ครบถ้วนทุกแง่มุม ทั้ง ๒ ด้าน
ข.ถ้าพบว่าข้อมูล ยังไม่ครบถ้วน ต้องสอบ
ถามจากแหล่งข้อมูล เพิ่มเติม
ค.รับข้อมูลด้วยการทำจิตว่าง ไม่รับเฉพาะข้อมูล
ที่อยากรับ ต้องหลายด้าน
ข้อที่ ๒.การดูเจตนา ของผู้ให้ข้อมูล ว่ามีเจตนา
เพื่อประโยชน์ตนเอง หรือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
อย่าตก เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนผู้ให้ข้อมูล
ข้อที่ ๓. การไม่ประมาท ได้ข้อมูลแล้วอย่า
ประมาท เชื่อว่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง คอย
รับฟังข้อมูลเพิ่มเติมเสมอ
ข้อที่ ๔.การละทิฐิมานะ ต้องทำจิตว่างไม่
คิดว่าข้อมูลที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ก่อน
รับฟังข้อมูล
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้ยกนิทานเรื่อง
ตาบอดคลำช้าง
ประกอบคำสอน เรื่องอย่าเพิ่งด่วนสรุปข้อมูลที่ได้รับ ดังนี้
พระราชา ให้อำมาตย์ ฟังคนตาบอด ที่ส่งให้ไป
คลำช้าง เพื่อมาบรรยายข้อมูลของช้าง ให้พระราชา
และ อำมาตย์ฟัง คนตาบอด บรรยายช้างไปตาม
ระดับปัญญา ระดับเจตนา ระดับความรอบคอบ
และ ตามความเห็นทิฐิของตนเอง คำบรรยายจึง
ไปคนละทาง ทำให้อำมาตย์รู้ว่าการรับรู้ข้อมูล
แต่ละข้อมูล นั้นจะขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว
จึงขอเตือนญาติโยมผู้รับข้อมูลพึงระวังไว้ด้วยว่า
"อย่าเพิ่งด่วนสรุปจากข้อมูลที่ได้รับ"
ต้องพิจารณาใน ๔ หัวข้อข้างต้นก่อน
ขออนุโมทนา
"พระเทพวิสุทธิกวี" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร และ
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธ ศาสนาแห่งประเทศไทย!!!
.........................................................................
มีคำถามจากทางบ้านว่า
จะดำรงชีวิตอย่างไรในสังคมที่วุ่นวาย
พระเทพวิสุทธิกวี ได้ตอบว่า..ให้มองสังคมที่วุ่นวาย
เป็นเพียงปรากฏการณ์ ที่เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น
ของคนในสังคม มองคนที่เห็นแตกต่างเป็นศัตรู จึง
เกิดความวุ่นวายขึ้น แต่จงดำรงชีวิตด้วย ปัญญา
คำสอนของพระพุทธองค์ ทรงสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ในสิ่งใด แม้แต่ตนเอง หรือ คำสอนของพระองค์เอง แต่
ให้ยึดมั่นปัญญา ตาม "กาลามสูตร" ที่ทรงแสดง
ณ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม เป็นหลักแห่งความไม่ยึดมั่น
ถือมั่น แต่ให้ ยึดมั่นใน ปัญญา มี ๑๐ ประการ คือ
๑.อย่ายึดมั่นตามที่ฟังๆ กันมา
๒.อย่ายึดมั่นตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓.อย่ายึดมั่นตามคำเล่าลือ
๔.อย่ายึดมั่นโดยอ้างตำรา
๕.อย่ายึดมั่นโดยนึกเดา
๖.อย่ายึดมั่นโดยคาดคะเนเอา
๗.อย่ายึดมั่นโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘.อย่ายึดมั่นเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙.อย่ายึดมั่นเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่ายึดมั่นเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
แต่ให้ ยึดมั่น ในปัญญา ตามกาลามสูตร ว่า สิ่งนั้น
เป็นสิ่งดี เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของส่วนรวม
ไม่แอบแฝงประโยชน์ของใคร
ดังนั้น จะดำรงชีวิตอย่างไรในสังคมที่วุ่นวาย คือ
ต้องอย่ายึดมั่นถือมั่นในตนเอง หรือ คนที่นับถือ
จะเกิดแบ่งพวก แต่จงดำรงชีวิตด้วย ปัญญา จะ
มีความสุขไม่เข้าข้างฝ่ายใด แต่อยู่ติดตามข่าว
ด้วยปัญญา
ขออนุโมทนา
รับฟังเนื้อหาคำเทศน์ทั้งหมดได้ทาง
เวบบ์กระทรวงวัฒนธรรม
เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปร่วมจัดประเภทสื่อ โดยเข้าไปเวบบ์ ข้างล่าง แล้วเลือก
ช่อง ๗ วันอาทิตย์ ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
เวลา ๖.๐๐ น.ที่
//www.me.in.th/live/
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 19:37:28 น. |
Counter : 507 Pageviews. |
|
|
|