ความรู้เมื่อเรารู้ เราทำเองได้ ตัดขาดทุนเป็น รู้จักการเทรดด้วยตัวเอง รู้จักการทำกำไร สนใจอยากมีความรู้ด้าน Technical Analysis มากขึ้น ติดต่อหลังไมค์ หรือ dadamz168@gmail.com skype: nongball168 ^^
|
|||
DOW THEORY ตอนแรกจ้ะ Dow Theory คืออะไร คืออะไรและทำไมถึงน่าสนใจผมจะลองสรุปเท่าที่รวบรวมข้อมูลได้นะครับ ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100ปีที่แล้ว ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 1 – สะสม ฮามิลตัน (Hamilton) กล่าวไว้ว่าในช่วงแรกของตลาดขาขึ้นมักจะไม่แตกต่างจากตลาดในช่วงขาลง เพราะคนส่วนยังมองในแง่ลบและทำให้แรงซื้อยังคงชนะแรงขายในช่วงแรกของขาขึ้น ช่วง นี้จึงเป็นช่วงที่ไม่มีใครถือหุ้น ประกอบกับไม่มีข่าวดี ทำให้ราคาประเมินของหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเช่นนี้เป็นช่วงที่ผู้ที่ลงทุนอย่างฉลาดจะเริ่มสะสมหุ้น และเป็นช่วงที่ผู้ที่มีความอดทนและใจเย็นพอที่จะเห็นประโยชน์ของการเก็บหุ้น ไว้จนกระทั่งราคาดีดกลับ บางครั้งหุ้นมีราคาถูก แต่กลับไม่มีใครต้องการ ช่วง นี้จึงเป็นช่วงที่ วอเรน บัฟเฟท ได้กล่าวไว้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1974 ว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะซื้อหุ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ในระยะแรกของตลาด ขาขึ้น ราคาหุ้นจะเริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุด แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น เมื่อตลาดเริ่มกลับตัวขึ้น คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดกำลังจะปรับตัวขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของขาขึ้น หลังจากตลาดยกตัวสูงขึ้นและดิ่งกลับลงมา จะมีแรงขายออกมา เป็นการบอกว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด ในช่วงนี้เองที่จะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังว่าการปรับตัวลงมีนัยยะ สำคัญหรือไม่ หากไม่มีนัยยะสำคัญ จุดต่ำสุดของการลงจะยกสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดเดิม สิ่งที่ตามมาคือตลาดจะเริ่มสะสมตัวและมีการแกว่งตัวน้อย หลังจากนั้น จึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และหากราคาเคลื่อนขึ้นเหนือจุดสูงสุดเดิม จะเป็นการยืนยันถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ขั้นที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลานานที่สุด และมีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด ระยะเวลานี้จะเป็นช่วงที่กิจการต่างๆเริ่มฟื้นตัว มูลค่าหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น ช่วงนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่สามารถทำ กำไรได้ง่ายที่สุด เพราะมีผู้เข้ามาลงทุนตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น ตลาด ขาขึ้น – ขั้นที่ 3 – เกินมูลค่า ระยะที่ 3 ของตลาดขาขึ้น เป็นระยะที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะตลาดเฟ้อ (ดาวได้คิดทฤษฎีนี้ขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยในปัจจุบัน) ในขั้นสุดท้ายนี้ ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด ค่าที่ประเมิน สูงเกินไป และความมั่นใจมีมากเกินปกติ จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนกลับของขั้นที่ 1 ตลาดขาลง – ขั้นที่ 1 – กระจาย เมื่อการสะสมเป็นขั้นที่ 1 ของขาขึ้น การกระจายก็คือขั้นแรกของขาลง นักลงทุนที่ฉลาด จะไหวตัวทันว่าธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยคิด และเริ่มขายหุ้นออก แต่คนอื่นๆยังคงอยู่ในตลาดและยังพอในที่จะซื้อในราคาที่สูง จึงเป็นการ ยากที่จะบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง อย่างไรก็ตาม จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัว เมื่อตลาดปรับตัวลง คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดเข้าสู่ขาลง และยังมองตลาดในแง่ดี ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงพอประมาณ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย ฮามิลตันกล่าวว่าการกลับตัวขึ้นในช่วงขาลงนี้จะค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรง ดัง เช่นที่ฮามิลตันได้วิเคราะห์ไว้เกี่ยวกับการกลับตัวที่ไม่มีนัยยะสำคัญนี้ ว่าส่วนที่ขาดทุนไปจะได้กลับคืนมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นการตอกย้ำว่าขาขึ้นของตลาดยังไม่สิ้น สุด อย่างไรก็ตาม จะสูงสุดใหม่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม และหลังจากนั้น หากราคาทะลุผ่านจุดต่ำสุดเดิม นั่นจะเป็นการยืนยันถึงขั้นที่ 2 ของตลาดขาลง ตลาดขาลง – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับตลาดในขาขึ้น ขั้นที่ 2 เป็นขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุด ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แนวโน้มเด่นชัดและกิจการต่างๆเริ่มถดถอย ประมาณการณ์รายได้และกำไรลดลง หรืออาจถึงขาดทุน เมื่อผลประกอบการแย่ ลง แรงขายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดขาลง – ขั้นที่ 3 – สิ้นหวัง ณ จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น ความคาดหวังมีมากจนถึงขั้นมากเกินไป ในตลาดขาลงขั้นสุดท้าย ความคาดหวังทั้งหมดหายไป มูลค่าที่ประเมิน ต่ำมาก แต่ยังคงมีแรงขายอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนในตลาดพยายามที่จะถอนตัวออก มี ข่าวร้ายเกี่ยวกับธุรกิจ มุมมองเศรษฐกิจตกต่ำ จึงไม่มีผู้ใดต้องการซื้อ ตลาดจะยังคงลดต่ำลงจนกระทั่งข่าวร้ายทั้งหมดได้ถูกซึมซับแล้ว เมื่อราคาสะท้อนถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆแล้ว วัฐจักรก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง Please TO Be Continue Part II มาเยือนกันจาก //www.thai-school.net/wanarat
โดย: พริกดิบ (พริกดิบ ) วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:9:43:50 น.
^
( คุณ หาแฟนตัวเป็นเกลียว ) มันเลยวันสงกรานต์มา 2 วันแล้วค่ะ เคี้ยกเคี้ยก . โดย: yosita_yoyo วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:13:04:11 น.
--ขอบคุณครับพี่หมอ เรื่องรูปจะแปะเอาไว้ให้ในตอนสองครับ--
โดย: lukball วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:14:45:22 น.
ทฤษฎี Dow ไม่เห็นเป็นภาษาไทยครับ แปลมาเองหรือครับ
สุดยอดมากครับ คนไทยจะได้อ่านทฤษฎี ดี ๆ ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์กับสังคมนักลงทุนนักลงทุนมากครับ ขอบคุณท่านลูกบอลมากครับ ปล. รอตอนต่อไปครับ ปล 2 ผมเป็น VI ครับ แต่ความรู้หลายขนานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวตามที่ ชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูของบัฟเฟตต์ว่าไว้ โดย: ไอ้แคท.ราชาแมงเม่า (Catrule ) วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:15:04:25 น.
ตอบ คุณ ไอ้แคท.ราชาแมงเม่า
ผมแปลเองบางส่วนครับและก็นำบางส่วนมาจากที่เรียนรู้มา ผมเห็นว่ามีประโยชน์ เลยนำมาให้อ่านครับ โดย: lukball วันที่: 17 เมษายน 2553 เวลา:18:18:09 น.
|
lukball
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] สนใจศึกษา technical analysis หลังไมค์หรือ dadamz168@gmail.com skype:nongball168 Group Blog All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
จากบรรยาย ขอรูปประกอบ ได้ไหม ครับ
ว่าใช้อะไรเป็นตัวบอกว่าเริ่มขาขึ้น และขึ้นแน่นอนแล้ว
อยากได้อ่านเบสิค แบบนี้เลยละเรียงตาม คศ ไปเลย เพราะมือใหม่ มักจะข้ามเบสิค เหล่านี้ไป
เป็นกำลังใจให้เขียนนะครับ