Bloggang.com : I_am_Nin : มหากาพย์นักช็อปตัวจริง...เส้นทางสู่การเป็น Shopee Platinum Member (ตอนต่อมา)

มหากาพย์นักช็อปตัวจริง...เส้นทางสู่การเป็น Shopee Platinum Member (ตอนต่อมา)

ก่อนหน้านี้เกริ่นไปค่อนข้างยาว เพราะโน้มน้าวให้เชื่อว่าเราคร่ำหวอดอยู่ในวงการช็อปปิ้งออนไลน์มยาวนาน ... สั่งสมประสบการณ์อย่างหนักหน่วงจนเงินในบัญชี และกระเป๋าสตางค์ร้องไห้ประท้วงกันระงม ซื้อชนิดที่ว่า คำว่า "ของมันต้องมี" ยังน้อยไปอ่ะ ... เราถือว่า การซื้อของเรา เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ แล้วเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง (นี่คือการหาข้ออ้างให้กับการซื้อของเราอย่างหนึ่งเหมือนกัน) เนื่องจากเราอยู่ในแวดวงวิชาการ (โม้จริงๆ เล้ยยยย) ด้านคอมพิวเตอร์ เราสามารถสร้างแรงบรรดาลให้กับคนที่ฟังหรือพูดคุยกับเราได้ สิ่งหนึ่งก็ได้มาจากประสบการณ์ที่เราได้พบเจอ

ในการออกแบบแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์และระบบงานอื่นๆ เมื่อก่อนจะให้ความสำคัญกับการออกแบบด้าน UI ค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีการนำเรื่องของ UX เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือต้องเดาใจและความต้องการของผู้ใช้จากการใช้งานจริง (ตัวอย่างง่ายๆ แบบคลาสิก คือ ขวดซอสที่เราใช้ปัจจุบัน ที่แต่ก่อนเป็นขวดแก้ว แล้วมาเป็นขวดพลาสติกแบบตั้ง(ฝาอยู่บน) สุดท้าย จบที่ขวดพลาสติกแบบตั้ง (ฝาอยู่ด้านล่าง) เพราะหลังจากที่ใช้งานจริง เค้านำประสบการณ์ที่ผู้ใช้พบเจอมาปรับปรุง) ... ปัจจุบันอาชีพเกี่ยวกับงานด้าน "UI/UX" เป็นที่ต้องการของตลาดมากพอสมควร

ก่อนที่น้ำจะท่วมทุ่งมากไปกว่านี้ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ... 555

จากความพยายามในการทำงานอย่างหนักของทีมงาน Shopee (ค่ายอื่นอย่าเสียใจนะจ๊ะ...ที่เราไม่ได้พูดถึง) เท่าที่เราสังเกตุได้ หลังจากกระหน่ำซื้อมานานหลายปี (ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง) เราก็ได้สำเหนียกว่า เราใช้เงินผ่านบัตรเครดิตไปเยอะมากจริงๆ (ไม่กล้าบอกจำนวน) เยอะแค่ไหนนั้น ขนาดว่า บริษัทบัตรเครดิตส่งของกำนัลเป็น กระเป๋าลากขนาด 18 นิ้ว + กระเป๋าใส่เสื้อผ้า/ชุดกีฬา อีก 1 ใบ (มูมิน สีเขียวมิ้นต์) ซึ่งตอนนั้นงงมากว่าได้มาได้อย่างไร (พอเช็คยอดใช้ถึงรู้ว่าเยอะจริงๆ) เพราะช่วงที่แจกของรางวัลนั้นเราคิดเองว่า "เราไม่ค่อยได้ซื้ออะไร" หลังจากนั้นก็พยายามดึงสติตัวเอง เพราะค่อนข้างเหนื่อยกับการเคลียร์ยอดบัตรเครดิต (ปกตินิยมจ่ายเต็มจำนวน)

เราซื้ออะไรบ้างผ่าน Shopee ... หลายคนมักจะถามเรา ว่าเราซื้ออะไรบ้างจากในนั้น บอกได้เลยว่าทุกอย่างที่เราอยากได้ และในนั้นมีขาย ถ้าเทียบราคาแล้วเรารับได้ เราก็ซื้อ เพราะว่ายิ่งซื้อก็ยิ่งได้ "นั่น นี่ โน่น" ก็อย่างที่บอก คือ นอกเหนือจากได้ของที่อยากได้แล้ว เรายังได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ที่ต้องลองเอง ถึงจะรู้ อาทิ

จัดการอย่างไร ถ้าสินค้าไม่เป็นไปตามที่คิด หรือไม่เป็นไปตามที่คนขายแจ้งไว้แต่แรก (คืน เคลม และคอมเพลน) คือเคยเจอแบบที่ขายไปแล้วจู่ๆ เปลี่ยนลดสเปคของ โชคดีที่เรา Capture หน้าตอนที่ประกาศขายไว้แต่แรก เค้าเลยต้องส่งของมาตามที่สัญญาไว้ (บางครั้งการถ่ายวิดีโอตอนแกะก็สำคัญ แต่เราไม่ค่อยได้ทำหรอกนะ ขี้เกียจ)
ลูกค้าไม่ได้ซื้อของที่ถูกที่สุดเสมอไป ... Feedback ของลูกค้าคนก่อนๆ มีผลมากๆ ต่อการตัดสินใจ และตัวเราเองก็ดูข้อมูลนี้มากเช่นกัน โดยเน้นดูที่ได้ดาวน้อยๆ ว่าเกิดจากปัญหาอื่นๆ หรือตัวสินค้าเอง (แต่ทั้งนี้ Feedback ของบางร้าน ไม่ใช่ของจริงนะจ๊ะ... เราก็เคยสงสัยเหมือนกัน เช่น โชว์ว่ามีคนซื้อไปแล้วหลายร้อย หลายพันคน แต่มีคนคอมเมนต์ Feedback เป็น 0 หรือไม่กี่คนเนี่ยะ... ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยง)
รูปภาพสวย อธิบายดี มีชัยไปกว่าครึ่ง เป็นอีกช่องทางการสื่อสารหลักไปยังลูกค้า เพราะฉะนั้น ถ้ารูปสวย ก็สามารถดึงดูดสายตาได้ แต่่ถ้าจะให้ดี ห้ามโฆษณาเกินจริงเด็ดขาด ถ้ายังอยากให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง หรือกลายเป็นลูกค้ากันไปตลอด

การค้าขายแบบนี้ เหนือสิ่งอื่นใด คือ ความจริงใจและความรับผิดชอบของผู้ขาย นอกจาก "คุณภาพของสินค้า" ที่มันจะทำหน้าที่ในการขายตัวเองแล้ว "ชื่อเสียงของร้าน" ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือก โดยเฉพาะสินค้าชิ้นที่ "มีราคาพอสมควร" มีสินค้าหลายร้านที่เราเลือกคบไปนาน บางร้านตัดสินใจคบเพราะแรกๆ ทำท่าว่าจะดี แต่พอไปเรื่อยๆ แล้วส่งของไม่ดีมาซะงั้น (ของประเภทเดียวกันกับที่เราเคยสั่ง แต่คุณภาพไม่เหมือนเดิม) เราก็เลิกคบไป แล้วพาลไม่สั่งของใดๆ มาจากร้านนั้นอีก เพราะ "หมดความเชื่อใจ" (สำหรับเราความเชื่อใจถือว่าสำคัญมาก

...เรามักจะแนะนำการใช้ของจากประสบการณ์ (ถ้ามีคนถามนะ) แล้วส่วนใหญ่คนเหล่านั้นมักจะซื้อตาม ซื้อให้คนที่รู้จัก เพราะเชื่อว่าของที่เราเลือกน่าจะดี (ของบางชิ้นเราศึกษาข้อมูลจริงจังมาก มีครั้งนึงสมัยเรียน ที่เพื่อนบอกว่า อ.ที่ปรึกษาน่าจะดีใจนะ ถ้าเราขยันหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เหมือนที่หาข้อมูลซื้อของ 555)) ยกตัวอย่างของชิ้นนึงที่เราซื้อ คือ นาฬิกาสุขภาพ ค่ายที่มี 2 ตัวอักษร จากจึน มันทำงานร่วมกับเครื่องชั่งน้ำหนัก และโทรศัพท์มือถือได้ เป็นรุ่นที่มี GPS ค่อนข้างแม่น และจับจังหวะการเต้นของหัวใจ ได้คุ้มเกินราคาทีเดียว (อันนี้ดูจากการใช้งานของรุ่นพี่ที่เราเชื่อถือ ใช้งานมาเกือบปี) เก็บใส่ตะกร้า...แล้วก็ได้มาในจังหวะฟลุ๊คๆ คือ ตอนที่กดจ่ายเงินน่าจะเป็นจังหวะที่เค้าปล่อยโค้ดเก็บเหรียญออกมาพอดี (ตอนนั้นประสบการณ์ในการซื้อยังน้อยอยู่ มีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย) ได้ส่วนลดโน่นนี่นั่นมากเยอะมาก จากของราคาห้าหกพัน เราได้มาสามพันเล็กๆ พร้อมเหรียญอีกหกร้อยกว่า "จังหวะ เวลา ชะตาชีวิต" สุดๆ อ่ะ

หลังจากได้นาฬิกามา "อีกเรือน" เราก็ออกอาการ "เห่อของใหม่" ระดับเราอ่ะนะ ธรรมดาไม่เป็น option ต่างๆ ก็มากันเพียบ ทั้งสาย (ซื้ออยู่หลายแบบกว่าจะได้ตัวที่ดีจริง... บอกแล้ว่าเพราะชีวิตคือการเรียนรู้ Sikai คืออีกหนึ่งชื่อที่เข้ามาอยู่ในใจเรา) หน้าปัด กระจกกันกระแทก สายเกือบทุกสีที่ขาย (กรมท่า (สีสายเดิม) เขียวมิ้นต์ เหลือง แดง ส้ม เทาอ่อน) และเข้าไปโหลดหน้าปัดรูปแบบต่างๆ เพื่อให้กับสีของสายด้วย 555 จากนั้น เมื่อเรามีความสุขกับของ...เรามักไม่เก็บไว้คนเดียว ตามสไตล์คนขี้โม้อย่างเรา... คนใกล้ตัวก็อยากได้บ้าง ...เราก็จัดให้ เบ็ดเสร็จช่วงนั้นเราซื้อนาฬิกาแบบเดียวกันและสายของมัน (ตามที่คนอย่ากได้สั่ง) อีก 4 เรือน (มี 2 คน ที่สั่งพร้อมกับเครื่องชั่งน้ำหนัก) คือตอนเราโม้เนี่ยะ เราก็เล่าหมดไง ว่ามันเจ๋งยังไง (หลายคนบอกว่า เราน่าจะไปเป็นเซลล์ 555 แต่เราไม่คิดอย่างนั้นหรอก เราเชื่อว่าที่เค้าเชื่อเรา เพราะเราให้ข้อมูลโดยปราศจากผลประโยชน์ไง...คิดเอาเอง จะซื้อก็ซื้อ จะให้ซื้อให้ก็บอกมา ก็เท่านั้น) นี่แค่ item นาฬิกาตัวเดียวนะ

จากการซื้อของตามที่ใช้งานจริง ทั้งให้ตัวเอง ให้ครอบครัว ให้เพื่อนๆ และคนรู้จักตามความต้องการ ... จู่ๆ เมื่อต้นปี 64 ที่ผ่านมา เราก็ได้กลายมาเป็น Platinum Member แล้วการเป็นสมาชิกในรูปแบบนี้ ให้สิทธิประโยชน์อะไรกับเราเหรอ แล้วมันเปลี่ยนแปลงอะไรของเราไปบ้าง... เราจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไป...

Create Date : 18 กรกฎาคม 2564

Last Update : 18 กรกฎาคม 2564 15:29:32 น.

0 comments

Counter : 315 Pageviews.