22 ตค 56 " กรรม"
ภาพถ่ายดอกไม้วันนี้มาฝากค่ะ เคล็ดลับ ง่ายนิดเดียว แค่ เราพอใจกับมันก็พอ แล้วเราก็ประเภท อวยชัยให้พรตัวเองตลอดล่ะ หมัดเมา ก็สนุกดี คัดเลือกเฉพาะดอกสีชมพูมาลง เพราะวันนี้เป็นวันอังคาร สักวันจะตัดใจซื้อขาตั้งกล้อง วันนี้มึนเมา ระยะนี้เขียนเยอะเกิน เรื่องไปเที่ยวก็เขียนไปยังงั้นเอง เหมือนบันทึกไว้อ่าน เดี๋ยวนี้ใครชวนไปเที่ยวไหน ให้ไปฟรีๆยังไม่ค่อยอยากจะไป แต่ก่อนเคยฟังหลวงพ่อคำเขียน ท่านว่า ไปที่ไหนก็มี ตึก สะพาน ถนน ทุ่งกว้าง เหมือนกันหมด คำพูดของท่านก็เพิ่งมาเก็ทตอนนี้เอง ได้พบได้เห็นอะไรก็ไม่ยังความตื่นเต้น จะให้ทำอะไรเลิศเลอดีเด่นก็ดูเหมือนจะหมดแรงบันดาลใจเสียแล้ว การมาเล่นบลอก ได้รับทราบในมิตรไมตรี ความหวังดีจากทุกๆท่านในบลอก ทั้งที่เขียนกันโดยตรง และไม่เขียนก็ตาม สิ่งดีที่ส่งผ่านมาให้ไม่ว่าทางใดสามารถรับทราบได้ทั้งสิ้น ขอขอบคุณจากใจจริง ตลอดพรรษานี้ไม่ได้เขียนเรื่องธรรมะ แม้ว่าจะฟังและปฏิบัติอยู่ทุกวัน ด้วยว่ามีให้ฟังอยู่มากมาย ความรักความระลึกบุญคุณครูบาอาจารย์แต่ละองค์ไม่เคยจืดจางจากใจ แต่เมื่อส่งต่อ ณบัดนี้ ขอเลือก พุทธวจน เป็นข้อความที่จะถ่ายทอดต่อไปยังผู้อื่น ทั้งนี้เพื่อรักษาข้อความเดิมไว้ให้คงอยู่มากที่สุด ไม่ว่าสาขาใด ก็ต้องมี standard textbook เป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ต้องทราบและจดจำ ยึดถือเป็นมาตรฐาน ในฐานะพุทธศาสนิกชน จึงขอเลือกถ่ายทอดเฉพาะคำจากปากองค์ศาสดาสัมมาสัมพุทธะ "พุทธวจนะ" ไม่ใช่การเลือกค่ายหรือเลือกข้าง แต่เลือกทำสิ่งที่ควร วันนี้นำเสนอบางส่วนของเรื่องกรรม ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ภิกษุทั้งหลาย นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลาย ( เหตุ เป็นแดนเกิดพร้อมแห่งกรรม ) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ เหตุเกิดของกรรม 3 อย่าง ภิกษุทั้งหลาย เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ เหตุทั้งหลาย 3 ประการเหล่านี้มีอยู่เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย โลภะ ( ความโลภ) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย โทสะ ( ความคิดประทุษร้าย ) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย โมหะ (ความหลง ) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะการดับแห่งผัสสะ ภิกษุทั้งหลาย มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา "โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์ ย่อมเป็นไปตามกรรม สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นเครื่องรึงรัด เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กำลังแล่นไปอยู่ สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น " " ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือข้าวของ ที่หวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ ทาส กรรมกร คนใช้ และผู้อาศัยของเขา พึงพาเอาไปไม่ได้ทั้งหมด จะต้องถึงซึ่งการละทิ้งไว้ทั้งหมด ก็บุคคลทำกรรมใด ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละ เป็นของๆเขา และเขาย่อมพาเอากรรมนั้นไป อนึ่งกรรมนั้น ย่อมติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตน ฉะนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลควรทำกรรมดี สั่งสมไว้สำหรับภพหน้า บุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในโลกหน้า " เหตุเกิดของภพ "กรรมเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก ) ของพืช วิญญาณของสัตว์ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นทราม (กามธาตุ ) การบังเกิดขึ้นในภาพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้" เครื่องนำไปสู่ภพ "ฉันทะ (ความพอใจ ) ก็ดี ราคะ (ความกำหนัด ) ก็ดี นันทิ (ความเพลิน)ก็ดี ตัณหา( ความทะยานอยาก) ก็ดี อุปายะ ( กิเลสเป็นเหตุเข้าไปสู่ภพ ) และอุปาทาน ( ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส) อันเป็นเครื่องตั้งทับ เครื่องเข้าไปอาศัย และเครื่องนอนเนื่องแห่งจิตก็ดี ใดๆในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ กิเลสเหล่านี้ นี่เราเรียกว่า "เครื่องนำไปสู่ภพ" ความดับไม่เหลือของเครื่องนำไปสู่ภพ มีได้เพราะความดับไม่เหลือของกิเลส มีฉันทะ มีราคะ เป็นต้น เหล่านั้นเอง
<
Create Date : 22 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 23 ตุลาคม 2556 19:41:32 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1307 Pageviews. |
|
|