ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถใช้ถนน และชอบเผลอหลับบ่อยครั้ง เคยมีครั้งหนึ่งหักโหมงานหนักด้วยหน้าที่จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงนั้นมีเวลาพักผ่อนน้อยมากวันละสอง-สามชั่วโมงเห็นจะได้ เป็นอย่างนั้นอยู่อาทิตย์กว่าๆ
หลังจากเสร็จสิ้นจากการทำงานเลยขอลากลับบ้านครึ่งวัน โดยมีผู้ร่วมเดินทางกลับด้วยหนึ่งคน @อบเชย_จอมแสบ ตอนแรกก็ขับรถมาดีๆ ความเร็วอยู่ที่ 80-100 กิโลเมตร/ชม. พอมาได้ครึ่งทางมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว เส้นที่ใช้เดินทางคือถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้ารังสิต-นครนายก แต่โชคยังดีตรงที่รถไม่มากการจราจรไม่ติดขัดเท่าไร
ตอนนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าขับรถมาถึงบ้านได้ไง รู้แต่ว่ามันรู้สึกตัวเป็นบางช่วง พอรถเป๋ก็หักพวงมาลัยกลับ มันคงจะส่ายไปส่ายมาอยู่เหมือนกัน (อันนี้มารู้หลังจากที่ได้คุยกับ @อบเชย_จอมแสบ แล้ว ยังถามน้องมันว่ารู้ป่ะว่าพี่หลับมาตลอดทาง น้องมันบอกไม่รู้หรอกเพราะมัวแต่เล่นโทรศัพท์และที่สำคัญนั่งเบาะหลังคนขับ แต่รู้สึกว่ารถส่ายตลอดทาง) เล่าให้ใครฟังก็โดนด่าหูชา โดนเฉพาะแม่ สั่งไม่ให้ลากลับบ้านช่วงบ่ายอยู่พักนึง 555 จะว่าไปเป็นโชคดีแค่ไหนที่ไม่ประสบอุบัติเหตุ ณ เวลานั้น
หลังจากนั้นเรื่อยมาก็ชอบวูบเวลาขับคนเดียว บ่อยๆ แต่ไม่หนัก ยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง และอาการเหล่านั้นก็หายไปได้ซักระยะ วันนี้กลับมาเป็นอีกแล้ว 555 ดีนะคนนั่งข้างๆ อ่านนิยายเลยไม่รู้เรื่องอะไร
วันนี้เลยเอาบทความเกี่ยวกับวิธีแก้หลับในมาฝาก เพื่อมีใครอาจเคยประสบเหตุการณ์แบบข้าพเจ้า เล่าสู่กันฟังค่ะ..
เริ่มกันเลย..
ทราบไหมว่า.. ถ้าท่านวูบหลับหรือหลับในขณะขับรถเพียง 3-5 วินาที รถจะวิ่งไปได้ 100 เมตรโดยปราศจากการควบคุม ลองหลับตานึก (ไม่ใช่หลับในนะ) ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น จะรุนแรงมากน้อยเพียงใด.. เรามาดูซิว่า อาการหลับในจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอย่างไร และมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง
สัญญาณเตือนล่วงหน้า
1. อาการทางร่างกาย : หาวบ่อยๆ กระพริบตาถี่ ลืมตาไม่ขึ้น สัปหงก หงุดหงิดง่าย
2. ปฏิกิริยาในการขับขี่ : ขับช้าลง ขับส่ายไปมา ขับประชิดหรือห่างจากคันหน้ามากไป ตอบโต้เหตุฉุกเฉินช้ากว่าปกติ เหยียบเบรกช้าลง (มีครั้งหนึ่งขับตามรถพ่วง ดีนะตื่นทัน เบรครถตัวโก่ง)
ถ้ามีอาการและปฏิกิริยาข้างต้นนี้ ผู้ร่วมทางสันนิษฐานได้ว่า คนขับกำลังหลับในอยู่ บอกให้จอดข้างทางพักรถ พักคนชั่วคราวได้เลย (จำไว้นะ @อบเชย_จอมแสบ)
วิธีป้องกันการหลับใน
1. ก่อนการเดินทาง ต้องพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง และอย่าอดนอนหลายคืนต่อกันก่อนการเดินทาง
2. วางแผนก่อนการเดินทาง โดยหยุดพักรถทุกระยะ 150-200 กม. หรือทุก 2 ชั่วโมง เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนอิริยาบถและพักรถไปในตัว
3. ไม่ทานยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ หรือยาที่จะทำให้มีอาการง่วง ถ้าไม่สบายก็ให้คนอื่นขับ หรือเลื่อนวันเดินทางจะดีกว่า
4. ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ไม่เอนมากจนทำให้อยากนอน
5. อย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ซึม เคลิ้ม หลับง่าย และเสี่ยงต่อการถูกให้เป่าถุงเช็คแอลกอฮอล์
6. สธ เตือนว่า เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลาย ไม่ได้ช่วยในการป้องกัน การหลับใน
กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะบางครั้งไม่มีโอกาสจะแก้
ที่มา.. THAIGARAGES.COM
++++
8 วิธีป้องกันการขับรถหลับใน
คนเรามีโอกาสหลับในระหว่างการขับรถไม่มากก็น้อย เรื่อง "ง่วงไม่ขับ" น่าจะมีวิธีป้องกันได้ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง
ผลจากการสำรวจคนขับรถในนิวยอร์กพบว่า 1 ใน 4 ของคนขับรถทั้งหมดเคยหลับในมาก่อน ซึ่งนับว่า เสี่ยงอันตรายมาก เว็บไซต์สถาบันหัวใจ-ปอด-เลือดสหรัฐฯ (NHLBI) มีคำแนะนำ เกี่ยวกับวิธีป้องกัน การขับรถหลับใน ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
1. นอนพอคืนเดียว = ไม่พอ
การศึกษาเปรียบเทียบระยะเวลาตอบสนองต่อสิ่งเร้า (response time / RT) ซึ่งมีความสำคัญในเหตุคับขัน เช่น เบรกเมื่อจะชนหรือจะตกถนน ฯลฯ เปรียบเทียบกับระยะเวลานอนของคนขับรถพบว่า
- การนอนมากพอ 7-8 ชั่วโมง 1 คืนก่อนเดินทางยังทำให้ระยะเวลาตอบสนองต่อสิ่งเร้าลดลงได้ไม่ดีพอ จำเป็นต้องนอนให้มากพออย่างน้อย 2 คืน
- กลไกที่เป็นไปได้คือ เวลาเราอดนอน.. สมองจะต้องการการนอนชดใช้หนี้ การนอน (sleep debt) หลายวัน จึงจะมีประสิทธิภาพดีเต็มที่
- ทางที่ดีคือ ถ้าไม่ได้นอนเต็มที่ติดกันอย่างน้อย 2 วันไม่ควรขับรถ หรือถ้าขับรถก็อย่าขับรถทางไกล
2. หลีกเลี่ยงช่วงเวลาอันตราย
- ช่วงเวลาอันตรายที่คนเรามักจะหลับในมากที่สุด คือ 12.00-7.00 นาฬิกา ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลาดังกล่าว
3. อย่าขับรถคนเดียว
- การมีคนนั่งบนรถหลายคนมีส่วนช่วยให้โอกาสหลับน้อยลง ซึ่งแน่นอน.. ควรเลือกคนโดยสารที่ตื่นนอนและคุยด้วยมากกว่าคนโดยสารที่หลับไปตลอดทาง
(นั่งสองคนกับไอ้อบเชยก็เหมือนนั่งคนเดียว หลับอยู่ดี 555)
- ถ้าทำไม่ได้.. ควรหาอะไรทำไปด้วย เช่น สวดมนต์ ร้องเพลง ฯลฯ แต่อย่าดูโทรทัศน์ หรือใช้มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์อีกข้างจับพวงมาลัย เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุง่ายขึ้นมาก (คงต้องแหกปากร้องเพลงให้ดังๆ หรือไม่ก็ให้ไอ้คนข้างๆ ร้องให้ฟัง)
- ถ้าฟังเพลง.. ไม่ควรฟังเพลงประเภทกล่อมนอน เนื่องจากอาจทำให้ง่วงนอนได้
(เปิดเพลง huru haru ให้ดังๆ รับรองไม่หลับลองทำแล้ว ตื่นทันตาเห็น แต่ต้องเปิดดังๆ ให้สะเทือนในรถนะคะ ;P)
4. พักรถ-พักคนบ่อยๆ
- พักรถ-พักคน และควรเดินไปเดินมา เข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่ม ล้างมือด้วยสบู่ (เพื่อลดโอกาสติดไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด และหวัด) แล้วล้างหน้า ล้างตา
5. หาจุดพัก
-ถ้าเป็นไปได้... ควรหาจุดพักนอน 15-20 นาทีทันทีที่ง่วง ซึ่งต้องวางแผนล่วงหน้า เพื่อหาสถานที่ที่ปลอดภัยพอที่จะพักผ่อนนอนหลับได้ (นิสัยเสียไง ไม่อยากพักเพราะอยากให้ถึงที่หมายไวๆ อีกหน่อยคงไปสวรรค์ไวๆ เช่นกัน)
6. กาเฟอีน
- กาเฟอีนอาจช่วยให้หายง่วงได้ถ้านอนมากพอก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 วัน แต่ถ้านอนไม่พอหรือง่วง... การนอนพัก 15-20 นาทีดีกว่าดื่มกาแฟแล้วขับต่อไปเรื่อยๆ (เลิกกินแล้วกาแฟ)
7. อย่าดื่ม
- แอลกอฮอล์เพิ่มเสี่ยงหลับใน และถ้าเกิดอุบัติเหตุ... โอกาสแพ้คดีหรือได้รับโทษจะเพิ่มขึ้นมาก (เป็นคนดี .. ไม่ดื่ม อิอิ)
8. อะไรที่ไม่ได้ผล? เช่น
- ถ้าง่วงไปแล้ว.. การเปิดวิทยุ หรือหน้าต่างรถมักจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ (เกือบตกข้างทางหลายรอบ)
- อาการที่อาจบอกเราว่าง่วง และควรหยุดขับรถได้แล้ว คือ ตาเริ่มโฟกัสภาพไม่ค่อยได้
- มองเห็นภาพข้างหน้าไม่ชัดเท่าเดิม, หาว, จำอะไรไม่ได้หรือนึกอะไรไม่ออก (มันชอบวืดๆ วูบๆ สะลึมสะลือ)
* เมื่อมีอาการเหล่านี้คงต้อง... หยุดรถนอนพักทันที *
ขอให้พวกเรามีสุขภาพดี ไปนานๆ ..
Thank Ride4ever.org > Don Arthur M.D. Fatigue and motorcycle touring > [ Click ]
Thank Buildyourmemory.com > How to remember your dreams. June 14, 2009.
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง สงวนลิขสิทธิ์. ยินดีให้นำไปเผยแพร่โดยอ้างอิงที่มาได้. ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า > > 14 มิถุนายน 2552.
ข้อมูลทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูงจำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.
(ปล. เพลงที่เปิดในบล็อค คือเพลง haru haru ของบิ๊กแบง ถ้าจะฟังให้มันส์ควรเปิดดังๆ สองเวลาเช้าเย็น) ;P
เคยเป็นช่วงขับรถทางไกลๆง่วงเผลอหลับในขณะขับรถ แต่ยังดีที่ตื่นทัน...
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากนะครับ
ปล.ตอนนี้จขบ.หายไอหรือยังครับ