I AM SOMEONE
<<
มีนาคม 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
14 มีนาคม 2554

ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง

ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง
และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน?
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน

ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้
ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุข มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้

เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต


ตอบคำถาม ต่อไปนี้ 1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา
รางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า


ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่านที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3. นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4. บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม? นั่นเป็นเพราะว่า
คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ
ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด ไม่ได้มีเงินมากที่สุด
ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


เพราะ......
ยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคนที่ห่วงใยคุณ....
คอยให้การดูแลคุณ


และ....

เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ...


...ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่า....

ช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้..

ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน ....(^O^)(^O^)*

credit : fw mail
ให้อ่านกันเผื่อมีใครทำได้ แต่...เราทำไม่ได้สักที




 

Create Date : 14 มีนาคม 2554
5 comments
Last Update : 14 มีนาคม 2554 15:57:39 น.
Counter : 1016 Pageviews.

 

ชอบมากเลยคะ กำลังรู้สึกประมาณนี้เลย

 

โดย: big_leely 14 มีนาคม 2554 18:07:30 น.  

 

ภิกษุ ฉิต่าว ได้อ่านมหาปรินิรวาณสูตรมานานเป็นสิบปี ท่านไม่เข้าใจในเนื้อหาแห่งพระสูตรที่กล่าวถึงเรื่องพระนิพพานที่ว่า “สิ่งทุกสิ่งไม่คงตัวอยู่อย่างถาวร. ดังนั้น สิ่งทั้งปวงจึงตกอยู่ใต้อำนาจของธรรมที่เป็นความเกิดขึ้นและความแตกดับ(กล่าวคือสังขตธรรมหรือธรรมอันปรุงแต่ง) เมื่อความเกิดขึ้นและความแตกดับมาสิ้นสุดลงด้วยกัน ศานติสุขแห่งความหยุดได้โดยสมบูรณ์ และความสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลง(กล่าวคือนิพพาน)
ย่อมปรากฏขึ้น”
พระสังฆปรินายกเว่ยหล่าง ได้อธิบายว่า “ไม่ว่าในขณะใดทั้งหมด นิพพานย่อมไม่มีปรากฎการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง หรือแห่งการเกิดดับ ไม่มีแม้กระทั่งความสิ้นสุดของการทำหน้าที่ของความเกิดขึ้น และความแตกดับ. นิพพานเป็นการแสดงออกของ..........ความหยุดได้โดยสมบูรณ์ และความสิ้นสุดของความเปลี่ยนแปลง....แต่แม้ในขณะแห่งการแสดงออกนั้น ก็ไม่มี ความเห็น ว่าเป็นการแสดงออก ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ความเปรมปรีดิ์อันไม่รู้จักหมดสิ้น ซึ่งไม่ต้องมีตัวผู้เปรมปรีดิ์หรือผู้ไม่เปรมปรีดิ์ แต่อย่างใด”


อธิบาย ....นิพพานไม่มีปรากฎแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดดับนั้น....เป็นการดับสนิทไม่มีเหลือปราศจากอวิชชาตัณหาอุปาทาน....
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป....นั้น เป็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแห่งอวิชชาทั้งปวง
เมื่อจิตเราเป็นอิสระอย่างเด็ดขาดต่อเครื่องขัดข้องคืออวิชชาทั้งหลาย การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็ย่อมไม่มีโดยสภาพแห่งธรรมนั้นแล้ว และไม่มีแม้กระทั่งความสิ้นสุดของการทำหน้าที่ของความเกิดขึ้น และความแตกดับ......เพราะเนื้อหาแห่งพระนิพพานคือธรรมชาติล้วนๆ....เป็นสภาพมันเองอยู่อย่างนั้นแบบนั้น......
เป็นความอิสระอย่างเด็ดขาด “โดยที่ไม่ต้องอาศัยอะไรกับอะไร....เพื่ออะไร”
นิพพานเป็นการแสดงออกของสภาพธรรมอันเป็นธรรมชาติล้วนๆ......การแสดงออกนั้นเป็นการแสดงออกโดยตัวมันเองโดยโดยสภาพมันเอง......จึงไม่ควรให้มีความเห็นใดๆเข้าไปบัญญัติอีกว่านี่คือการแสดงออก
นี่คือนิพพาน นี่คือธรรมอันเป็นธรรมชาติล้วนๆ.....การมีความเห็นเช่นนี้ทำให้ ธรรมชาติอันแท้จริงในเนื้อหาแห่งธรรมนั้นหายไป และการมีความเห็นเช่นนี้กลายเป็นอวิชชาเข้ามาแทนที่
หากจิตเราปรุงแต่งว่าจิตหลุดพ้น......เมื่อจิตชนิดนี้ดับไปโดยตัวมันเอง.....นั่นแหละ.....ถึงจะเป็นการหลุดพ้นโดยแท้จริงโดยเนื้อหาของมันเอง.....เป็นสภาพมันล้วนๆอยู่อย่างนั้น

 

โดย: นายเมฆ IP: 182.232.241.120 2 กรกฎาคม 2554 5:13:58 น.  

 

...ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่า....

ช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้..

...ถูกต้องที่สุดเลยครับ ผมรู้สึกแบบนั้นเสมอมา

 

โดย: jipwigan IP: 58.8.168.67 26 ตุลาคม 2554 16:51:55 น.  

 

ขออนุญาตยกข้อความตอนหนึ่งจาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๑๐. นาคิตสูตร มานะครับ

...
พระพุทธเจ้าทรงแสดงต้น กลาง ปลาย ของความรู้สึกรัก อย่างยึดมั่นถือมั่น ที่ไม่ใช่ความรักกัน ด้วยเมตตาอารี แต่เป็นรัก เพราะอยากครอบครองว่า -


" ดูกรนาคิตะ อาหาร ที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมมีอุจจาระและปัสสาวะเป็นผล นี้เป็นผลแห่งอาหารนั้น ความรักมี

โสกะ(ความโศกเศร้า)

ปริเทวะ(การพร่ำเพ้อรำพัน การร้องไห้เสียน้ำตา)

ความทุกข์(ปวดใจ,ปวดหัว,กินข้าวไม่ลง หรืออาการทางร่างกายระดับเริ่มต้นถึงรุนแรง เช่นเป็นลมหรือช๊อกจนเสียชีวิต)

โทมนัส(ความไม่สบายใจ กระวนกระวาย)

และอุปายาส(อาการตระหนกตกใจอย่างรุนแรง หัวใจสั่น เป็นต้น)

ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่รักแปรปรวนเป็นอื่นเป็นผล นี้เป็นผลแห่งความรักนั้น "



*************************

เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน ให้ผูกพัน

ความรักระหว่างชายหญิง หรือรักระหว่างใครก็ตาม ที่ผูกกันและกัน ให้คิดถึงกันไว้

เป็นความรู้สึกดี ๆ

แต่ยังแฝงไปด้วยความทรมานหลังจากนั้น หากต้องพลัดพรากกัน

ตรงกันข้ามแล้ว การรักกันแบบเมตตากัน เราไม่ต้องหวังถึงอนาคตว่าจะได้อยู่ด้วยกัน หรือว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

ไม่ต้องกลัวที่จะสูญเสีย

ไม่ต้องโศกเศร้าว่าเคยทำอะไร ให้กันและกันเสียใจเมื่อไหร่

เพราะเมตตา ทำให้ทุกอย่าง เต็ม และรู้สึกดีต่อกันได้

เมตตา ทำให้วันนี้ดี เมื่อวานดี พรุ่งนี้ แม้หากมันไม่มาถึง ก็ยังดี

เมตตา เติมเต็มให้กันและกันได้ดีที่สุด

ใครจะรู้ว่าเราจะจากจากคนที่เรารักเมื่อไหร่ ความฝันถึงวันข้างหน้าที่เราจะได้อยู่ใกล้ใครคนนั้นจะมาถึงไหมก็ไม่รู้ แล้วเราก็ต้องรอคอยวันเวลา และแม้หากวันเวลานั้นมาถึง เราก็ต้องจากมันไป ด้วยความอาลัย

แต่หากเราไม่วาดฝันไว้ และวางจิตใจให้รักใครต่อใคร ด้วยเมตตาเท่ากัน เอาความรักอย่างต้องการออกไป เป็นความเห็นใจที่เขาและคนทั้งโลกเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย จมทุกข์ในกองสังสารวัฏ ไม่มีความอยากที่จะได้เขามากอด มาหอม มาครอบครอง อีกต่อไป เพราะเห็นตามจริงด้วยมรรคจิต

เท่านี้ ก็จะสำเร็จเป็นพระอนาคามีได้



อ่านข้อความทั้งหมดในพระสูตรนี้ได้จาก

อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๑๐. นาคิตสูตร
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=636&Z=695&pagebreak=0
See More
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ - พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔
‎84000.org
พระพุทธศาสนา Buddhism Dhamma

ได้มาจากห้องสยามครับ

 

โดย: ผัดไทเส้นหมี่ 19 พฤศจิกายน 2554 10:56:47 น.  

 

ถ้ามีสติตลอดก็ทำได้ครับ แต่บางช่วงเวลาของคนเรามีสิ่งเร้าภายนอกมากระทบทำให้สติแตกกระเจิง จากเดิมที่รู้สึกว่าตัวเองสุข ก็กลายเป็นทุกข์ไปได้..

 

โดย: มีความสุขไปวันๆ IP: 119.160.218.105 27 ตุลาคม 2555 11:43:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Alex on the rock
Location :
มหาสารคาม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




Blog นี้เป็นพื้นที่ส่วนตัว เป็นความเห็นส่วนตัว ผู้อ่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อเขียนใน Blog กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยความสุภาพและเคารพสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญของเจ้าของ Blog ด้วย หากผู้อ่านที่แสดงความคิดเห็นไม่อาจจะปฏิบัติตามนี้ได้ เจ้าของ Blog สามารถลบความคิดเห็นของท่านโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ
[Add Alex on the rock's blog to your web]