Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 

คิดแล้วทุกข์

คิดแล้วทุกข์
โดย พระอาจารย์ชาญชัย เขมวโร


ความ คิดนี้หนอเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน และพอที่จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นที่ใจ ไม่ว่าเราจะคิดเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องที่ดีหรือไม่ดี เราย่อมรับผลในทางจิตใจได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอในชาติหน้า ได้รับผลในชาติปัจจุบันนี้ขณะนี้เดี๋ยวนี้ทันที คิดเรื่องไม่ดีเดี๋ยวนี้ได้รับผลทันทีคือจิตใจเกิดความรุ่มร้อน คิดแต่เรื่องดีๆ ก็ได้รับผลทันทีคือสบายใจทันที เพราะฉะนั้นความคิดจึงให้ผลเร็วในทันที

เรา อยู่กับความคิดและก็ใช้ความคิด เราไม่รู้หรอกว่าเราคิดดีหรือคิดชั่วและใช้ความคิดไปในทางที่เป็นประโยชน์ อย่างสร้างสรรค์ หรือไม่เป็นประโยชน์ในทางทำลาย อยู่ที่ผู้จะใช้ความคิดออกไป ถ้าใช้ความคิดเห็นผิดๆ เพื่อทำลายผู้อื่น ผลกรรมย่อมตกเป็นของเราก่อน เราจะร้อนใจกระวนกระวายใจเพราะความคิดที่จะทำร้ายผู้อื่น

เราอยู่กับความคิด เราวิ่งตามความคิด หรือเราอยู่เหนือความคิด ถ้าเราวิ่งตามความคิดที่มีความทะยานอยาก ความไม่พอใจ วิ่งตามเท่าไหร่ก็ไม่พอกับความต้องการในความคิด ความคิดมันก็คิดไปเรื่อยๆ ดูแล้วเห็นแล้วน่าอัศจรรย์ที่มันคิดไกลไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าความจบสิ้นในความคิดนั้นไม่มี บางครั้งก็คิดซ้ำของเก่าๆ เหมือนเริ่มคิดใหม่กลับไปกลับมา

ถ้าเราสังเกตดูที่ใจของเรา เรื่องที่ดีๆ มันจะคิดน้อยและจบสิ้นเร็ว ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่ดีมันคิดมากและก็จบสิ้นไม่เป็น ชอบคิดแล้วคิดอีก คิดจนกลายเป็นทุกข์ในใจก็มี เมื่อจิตใจรับผลเป็นทุกข์ ร่างกายก็เป็นไปตามจิตใจด้วย เพราะอาการเหล่านั้นมันออกจากจิตใจที่ได้รับผลจากความคิด ถ้าเราไม่รู้จักความคิดดีพอ หรือไม่ได้ฟังจากผู้เล่าที่มีประสบการณ์เรื่องโรคต่างๆ ที่เกิดจากใจที่คิดแล้ว มันทรมานเป็นที่สุดอย่างยิ่งในชีวิตทีเดียว ทำให้เกิดโรคที่แทรกซ้อนต่อร่างกายที่เราอาศัยอยู่ได้ง่ายๆ แล้วทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วทันที เมื่อคิดมากก็ไม่รู้วิธีระงับ หรือไม่รู้จักแก้ไข หรือไม่ปลงตกจากความคิดเหล่านั้น การฆ่าตัวตายย่อมมีโอกาสปรากฏขึ้นได้

ที่ไม่รู้ว่าทุกข์หมายถึงเราวิ่งตามเรื่องราวต่างๆ ในความคิดที่เรากำลังคิดไปเรื่อยๆ จนกลับกลายเป็นอารมณ์ผูกพันในปัญหาต่างๆ ที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล หรือดูเหมือนว่าเรากำลังวิ่งไปหาความคิด ความคิดมันหลอกลวงเราให้เราหลงทางอยู่เสมอเพราะความไม่รู้เท่าทันนี้แหละ มันหลอกลวงให้คิดล่วงหน้าอยู่เสมอ หวังในความคิด เกิดความอยากในความคิด

เรื่อง ความอยากในความคิดที่คิดไปนั้นดูเหมือนว่ารู้สึกว่ามันง่ายๆ ไม่มีอุปสรรค ถ้ามีอุปสรรค มันก็เพิ่มเติมแก้ไขเข้าไปง่ายๆ แต่พอเรากระทำออกไปจริงๆ แล้วดูเหมือนว่ามันยากกว่าที่คิดเสียอีก ต้องเจออุปสรรคต่างๆ นานาจนรู้สึกผิดหวังและท้อแท้อย่างยิ่ง นี่แหละความคิด ต้องหมั่นศึกษาดูจิตใจและพยายามอ่านดูใจของตัวเองไปด้วย มิฉะนั้นจะตกเป็นทาสของความคิดและทุกข์ไปโดยไม่รู้ตัว คิดไปคิดมาดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีจิตใจเลื่อนลอย

ความทุกข์เกิดจากความคิดนี้แหละ ถ้าเราจะเรียนรู้ความคิดต้องค่อยๆ อ่านดูจิต พยายามดูความคิดของตนเองให้ออก เพราะความคิดเราดูเหมือนอยู่เหนือเราเสียอีก มันคอยคิดแต่เรื่องที่เป็นทุกข์ให้อยู่เสมอ เมื่อเรารับฟังอะไรมาก็ตาม ความเป็นผู้ไม่มีปัญญาพิจารณาตามย่อมได้รับผลทันที รับฟังมาแล้วคิดดีก็ให้ผลดีทางใจสบายใจ ดีใจ ชื่นใจอย่างรวดเร็ว รับฟังมาแล้วคิดไม่ดีก็ได้รับผลทางใจไม่ดี ทุกข์ใจ ร้อนใจ ไม่สบายใจ

ไม่รู้จักวีธีออกจากความทุกข์เพราะไม่รู้จักวิธีออกจากความคิด เรา คิดเองทุกข์เองซึ่งเกิดจากการเห็น การได้ยิน รับทราบมาแล้วก็นำมาคิดเองเออเอง จนกลายเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ แล้วก็สร้างอารมณ์ของตนเองเป็นทุกข์แทนผู้อื่นบ้าง หรือมาจากตัวเองเป็นทุกข์ที่จิตใจแล้วกลับมาคิดหาทางออกจากทุกข์ในความ รู้สึกนั้นๆ ที่จิตใจของตนเองไม่ได้

ก็คือไม่รู้ว่าจะเอาความคิดที่ มีทุกข์ที่ใจนั้นไปไว้ไหน มักจะอมทุกข์ใจไว้กับความรู้สึกของตนเอง จนแสดงออกไปถึงใบหน้าและตา ทั้งๆ ที่ความทุกข์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตัวเราเองนำมาคิดทั้งนั้นจนหาทางออก ไม่ได้ คนเราจึงเพิ่มความทุกข์โดยไม่รู้ตัว พยายามนำไปเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง ส่วนคนฟังที่ไม่รู้วิธีออกจากทุกข์ก็พลอยทุกข์ไปด้วย

ความคิดมันทำ ให้เราป่วยเป็นโรคทางใจและทางกายอย่างรุนแรง โรคที่เกิดจากความคิดที่เป็นทุกข์มาก ได้แก่ โรคไมเกรน (ปวดศีรษะข้างเดียว) โรคท้องอืด โรคความเครียดจนถึงนอนไม่หลับ จนในที่สุดอาจจะกลายเป็นโรคจิตประสาทหลอนได้

วิธีแก้ไขการออกจากความคิดที่เป็นทุกข์นั้น ได้แก่

- การปล่อยวางมี “อุเบกขา” รู้อะไรเห็นอะไรรับรู้แล้ววางเฉยเสีย ซึ่งบางทีเป็นแต่เพียงความเฉยภายนอกหรือพยายามทำเป็นเฉยแต่ใจไม่เฉย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เฉยอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นอุเบกขา ความวางเฉยนี้หมายถึงสงบเป็นกลางๆ ไม่เอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใด เฉยอย่างรู้ทันจึงเฉย ไม่ใช่เฉยเพราะไม่รู้

ท่าน เปรียบความวางเฉยเหมือนการขับรถ ตอนแรกเราจะวุ่นวายเร่งเครื่องปรับอะไรต่ออะไรทุกอย่างให้เข้าที่ เมื่อพร้อมก็เดินเครื่องวิ่งเรียบสนิท เราก็เพียงแต่เป็นผู้มอง ผู้คุมระวังไว้ สภาวะเช่นนี้เรียกว่าอุเบกขา เป็นสภาพจิตที่สบาย เพราะทำทุกอย่างดีแล้วเข้ารูปของมันแล้ว

- การทำสมาธิ คือความตั้งมั่นหรือแน่วแน่อยู่กับสิ่งๆ นั้น อย่างที่เรียกว่า “ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน” จิตใจที่แน่วแน่มีกำลังมาก เป็นจิตที่เหมาะสมในการใช้งาน จิตที่เป็นสมาธิดีแล้วจะไม่ซัดส่ายไปกับความคิดที่ไม่เป็นประโยชน์ และระงับยับยั้งความคิดที่เป็นโทษทุกข์นั้นได้

- สติ คือความระลึกได้เป็นเครื่องดึงจิตไว้กับตัวหรือสิ่งนั้นๆ ไม่ให้จิตฟุ้งซ่านล่องลอยไปที่อื่น

จิต ใจเราเปรียบเหมือนพระจันทร์ที่สว่างสุกใส แต่ที่หม่นหมองมืดมิดไม่สว่างไสวเหมือนจันทร์แรมนั้นเพราะมีเมฆหมอกมาปิดบัง ไว้ เปรียบเหมือนความคิดที่ทำให้ใจนั้นทุกข์บ้างสุขบ้าง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ไม่ได้นาน เหมือนพระจันทร์ที่มีข้างขึ้นข้างแรม มีมืดมีสว่าง




ขอบคุณบทความจาก ธรรมจักร




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2554
1 comments
Last Update : 3 พฤษภาคม 2554 1:22:34 น.
Counter : 793 Pageviews.

 

คิดแล้วทุกข์คิดทำไมเราก็คิดแต่เรื่องไม่ทุกข์สิ แบบคนดูเรยาดูแล้วเครียดจะดูทำไม อิอิ

 

โดย: ตะวันเจ้าเอย 3 พฤษภาคม 2554 1:40:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ลูกน้ำกว๊าน
Location :
พะเยา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีต้อนรับทุกท่าน นะคะ




อยากมีและอยากรู้จัก เพื่อนที่มีที่มาต่างกัน และอยากร่วมแชร์ ประสบการณ์ให้คนอื่น ได้รับรู้บ้าง เพื่อนๆชาว บลอคแกงค์เป็นอะไรที่ ใช่เลย ที่คอยอยู่ด้วยกัน ตลอดเวลา พอเรา เปิดดูครั้งใดก็จะมีคน นั่งเขียนบลอก นั่งอยู่ที่ หน้าจอ คอยเป็นเพื่อน กันเสมอ รัก ทุกคนใน บลอกแกงค์ ค่ะ
: Users Online
Friends' blogs
[Add ลูกน้ำกว๊าน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.