เหตูแห่งการที่โลกถูกทำลาย ตอน 3
ตามที่ได้เขียนไปแล้ว ถึงเรื่องราวที่ว่า เหตุที่โลกถูกทำลาย นั้นเกิดขึ้นเพาะเหตุใดเมือคราวก่อน อย่างที่ได้บอก โลกและจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ มิใช่จะตั้งอยู่เป็นอมตะนิรันดรอะไรตลอดไป เมื่อถึงคราวถึงเวลาโลกนี้ก็จะต้องแตกดับตามกฏแห่งความอนิจัง ของสังขตธรรมทั้งหลาย(จะใช้คู่กับอสังขตธรรมคือพระนิพพาน)นั่นเอง
ในวาระหนึ่งการแตกดับของโลกและจักรวาล เรียกมหากัปป์ ในหนึ่งมหากัปป์ท่านอุปมา ภูเขา กว้าง ยาว สูง ด้านละหนึ่งโยชน์ พอหนึ่งร้อยปี นำผ้าบางเนื้อละเอียด มาลูบเขาลูกนี้ 1 ครั้งทุกๆปี จนกว่ายอดภูเขาลูกนี้จะราบเสมอพื้นดิน จึงเท่ากับเวลาหนึ่งมหากัปป์ และ ในหนึ่งมหากัปป์ท่านได้แบ่ง เป็นสี่อสงขัยกัปป์ หนึ่งอสงขัยกัปป์ มี 64 อันตรกัปป์ ซึ่งนับตามวิวัฏฏฐายี อสงขัยกัปป์ อันเป็นอสงขัยกัปป์ที่โลกและจักรวาลสร้างเสร็จแล้วตั้งอยู่ และมีมนุษย์อยู่อาศัยใน 64อันตรกัปป์นี้ ตามที่เราได้ทราบว่ามหากัปป์นี้เป็นภัทรกัปป์ ซึ่งจะต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติปรากฏเกิดขึ้นถึง 5 พระองค์ และ ได้ตรัสรู้ไปแล้ว 4 พระองค์จึงยังเหลือพระศรีอารยเมตไตร อีกหนึ่งองค์ที่จะมาอุบัติปรากฏเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะตรงกับอันตรกัปป์ที่ 13 ตามที่ได้ทราบจากคำพยากรณ์ เมื่ออันตรกัปป์นี้หมดลง ในช่วงท้ายสุดของอายุขัยของมนุษย์ในชมพูทวีปเหลือเพียง10 ปี ก็จะเกิดมิคสัญญียุค มนุษย์ก็จะเห็นโทษภัยในกิเลส ก็จะพากันบำเพ็ญศีลธรรมตั้งมั่นในสุจริตอายุมนุษส์ก็จะเริ่มไขขึ้นไปจนมีอายุขัยถึง 20000 ปี ก้จะเป็นเวลาที่พระศรีอารยะเมตไตรได้ลงมาตรัสรู้ในชมพูทวีปหรือโลกมนุษย์เรานี่เอง แล้วเวลาที่ต่อจากนั้นก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าอีกเลยซึ่งเป็นเวลาถึง 51 อันตรกัปป์และเมื่อถึงอันตรกัปป์สุดท้ายแล้ว โลกหรือชมพูทวีปที่เราอาศัยขอยู่นี้ ก็จะป็นวิปปริตผันแปรไปต่างๆ นานา และก็จะมีดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 สอง ดวงที่ 3 ไปจนมีถึง 7 ดวง พื้นดิน แผ่นฟ้าก็จะเต็มไปด้วยไฟ ที่เรียกว่าไฟประลัยกัลล์ ลุกลามไล่ไหม้ไปทั่วจักรวาล และไฟประลัยกัลป์นี้ ก็จะไหม้ไป
ถึงพรหมภูมิ ใน 3 ชั้นแรก แล้วก็หยุด เหลือแต่ท้องนภากาศว่างเปล่า ซึ่งการที่โลกและและจักรวาลเริ่มถูกทำลายท่านนับเอาตั้งแต่ท้องฟ้าเกิดเสียงร้องดุจจักเสียงลาอันเป็นระยะที่โลกและจักรวาลกะลังเริมจะถูกทำลาย ไปจนถึงทำลายแล้ว เรียกว่าสังวัฏฏะ อสงขัยกัปป์ เป็นเวลา 64 อัตรกัปป์ ซึ่งก็ดังโลกและจักวาลนี้ได้ตายลงไปนั่นเอง สรุปก็คือโลกและจักรวาลมีอายุขัยที่แน่นอน แต่มนุษย์มีอายุัขัย ไม่แน่นอน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ในยุคนั้นๆ มีกิเลสมากน้อยแค่ไหน คือถ้ามีกิเลสมากอายุขัยจะน้อย กิเลสน้อย อายุขัยจะมาก หรืออายุยืนนั้นเอง ก็เป็นอันว่าจบในเรื่องเหตุแห่งการที่โลกถูกทำลาย หรือโลกแตกเพราะเหตุไรตามเรื่องที่มีมาในทางพุทธศาสนา ก็ขอให้ผู้ที่เข้ามาอ่านได้เกิดแง่คิดแง่ธรรมได้บ้างพอสมควรสุดท้ายก็ขอให้ได้ในสิ่งที่ควรได้ตามแต่เหตุแต่ปัจจัยที่ได้กระทำกันด้วยเทอญ สวัสดี




Create Date : 01 สิงหาคม 2554
Last Update : 5 สิงหาคม 2554 14:34:23 น.
Counter : 451 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

sawang sri
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เขียนข้อความที่ต้องการ
สิงหาคม 2554

 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31