เพราะหนังสือเปิดตา และการเดินทางเปิดใจ
เป่ย์จิง ฮวนหยิง หนี่

beijing 101
เที่ยวปักกิ่งไฮไลต์ให้ทั่วๆแบบที่ทัวร์พาไปก็คงจบได้ในไม่กี่วัน แต่ถ้าซำเหมาไปเอง ก็อาจต้องมีเวลาสักเจ็ดแปดวันถึงจะทั่วแบบสบายๆ (หลงบ้าง พักบ้าง อู้บ้าง ตามประสาเปิดแผนที่เที่ยว) เพราะสถานที่แต่ละแห่งแสนจะโอ่อ่าอลังการ เดินเท่าไรก็ไม่ทั่ว

เอ้า ลองคิดดูเล่นๆสิ เส้นกำแพงเมืองจีน สุสานหมิง ก็ให้ไปวันหนึ่ง ไปเดินเที่ยวเทียนอันเหมิน กู้กง สวนเป๋ย์ไห่ กับดูอาหารแปลกๆที่ถนนหวังฝูจิ่งก็หมดอีกวัน ไปเดินเล่นถนนซูโจวหลังพระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน แล้วก็ไปดูซากตึกโรมันที่หยวนหมิงหยวน (รถเมล์สายเดียวกัน) ก็อีกหนึ่งวัน ไปวัดลามะ หอฟ้าเทียนถาน แล้วก็โฮ่วไห่ ก็ให้ไปอีกวัน อีกวันที่เหลือจะไปดูงานศิลปะเก๋ๆชีจิ่วปา หรือจะไปดูตุ๊กตาโอลิมปิกที่สวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่งกับไปชมวิวที่อุทยานเซียงซัน (ซึ่งอยู่ใกล้กันแค่หนึ่งป้ายรถเมล์) แถมด้วยการช็อปปิ้งขำๆตามตลาดนั่นนี่โน่น ตบท้ายด้วยการไปดูสนามกีฬารังนกกะฟองน้ำตอนกลางคืน ก็หมดไปอีกวัน เห็นไหม นี่แค่เอาแต่ละที่มาเรียงๆกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าเดินไหวหรือไม่ไหว ยังนับไปนับมาได้เกือบอาทิตย์เข้าไปแล้ว ยังไม่ได้นับที่ละเลียดกินดื่ม ยังไม่รวมเวลาพักยก ประเภทขอซักผ้าหรือตื่นสายสักเพราะปวดขาเลยด้วยซ้ำ

ไม่พูดถึงแต่ละที่ละนะ เพราะข้อมูลอันแน่นเอี้ยดของสถานที่ท่องเที่ยวสามารถหาอ่านจากเว็บไซต์ที่ผู้เชี่ยวชาญและช่ำชองต่างๆได้ค้นคว้าไว้อย่างดีอยู่แล้ว เราเองเป็นแค่นักท่องเที่ยวซำเหมาที่อาศัยข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากตรงนั้นตรงนี้ ขืนเอามาเล่าต่อ เดี๋ยวผิดพลาดตกหล่นมันจะไม่ดี ขอเล่าเฉพาะที่ที่ประทับใจสักที่สองที่ก็แล้วกัน

ชีจิ่วปา อาร์ตสเปซ
ถ้าเบื่อบรรยากาศแห่งการแก่งแย่งเบียดเสียด เหนื่อยกับการใช้วิชาตัวเบากระโดดหลบเสลดที่ใครปล่อยทิ้งไว้ตามถนน หรือพูดง่ายๆว่าเซ็งคนจีน ชีจิ่วปาก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะสถานที่ของเขากว้างขวางเกินที่จะมีใครเบียด แล้วคนจีนใจร้อนทั้งหลายก็ดูจะไม่ค่อยมาเดิน แต่บอกไว้ก่อนว่าที่นี่ไม่เล็ก ถ้าคิดจะเปลี่ยนบรรยากาศเพราะเมื่อยกับการเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวอันกว้างใหญ่ในปักกิ่ง ก็ไม่ใช่แระ แล้วก็ไม่รู้จะช่วยยังไงด้วยสิ เพราะความใหญ่นั้นอยู่คู่ปักกิ่ง ชีจิ่วปาก็ไม่มีข้อยกเว้น ที่นี่ใหญ่...และต้องเดินสถานเดียว

ชีจิ่วปา หรือ 798 คือสถานที่แสดงงานศิลปะ หรือพูดง่ายๆว่าแกลเลอรี่นั่นเอง ตัวอาคารสถานที่นั้นใหญ่โตโอ่อ่า ภายนอกเป็นอาคารอิฐสีแดงๆ มีปล่องไฟสูงๆ เห็นแต่ไกล เพราะว่าที่นี่เคยเป็นอภิมหาโรงงานมาก่อน แต่ตอนนี้มีศิลปินต่างๆมายึดพื้นที่ จัดห้องแสดงงานสไตล์ลอฟต์เต็มไปหมด ที่เสร็จแล้วก็เยอะ แต่ที่กำลังทุบรื้อตอกตี ทาสีใหม่ ก็อีกหลายเจ้า เมื่อไหร่เสร็จหมดทุกห้อง คงต้องอยู่กันเป็นหลายวันกว่าจะทั่ว

งานที่แสดงก็มีหลายหลาก ทั้งภาพวาด ภาพสเก็ต ภาพถ่าย งานปัก งานปั้น งานพลาสติก ไปจนถึงวิดีโอและคอมพิวเตอร์ ส่วนสไตล์ก็มาตั้งแต่จีนโบราณ จีนสมัยใหม่ ไปจนถึงการ์ตูน แอบสแตร็ก ศิลปะร่วมสมัยสไตล์ตะวันตกและตะวันออกอื่นๆ ไม่ต้องหัวศิลป์มาก แค่พอมีศิลปะในหัวใจบ้างก็เดินได้สบายๆ อันไหนดูยากก็แอบย่องออกมา ไม่มีใครว่า ไม่มีใครเก็บเงิน ชมแล้วชอบใจก็ซื้อของที่ระลึกได้ ถ้าชักเลี่ยนๆเบื่อๆ ก็ออกมาเดินดูร้านขายของเก๋ๆ ร้านกาแฟเดิร์นๆ และแผงแบกะดินที่น่าคุ้ยเล่นเป็นอย่างยิ่ง เปลี่ยนบรรยากาศ ฉันว่าบรรยากาศดีนะ อยู่ได้เป็นวันกันเลยทีเดียว

ส่วนจะไปถึงได้อย่างไรนั้น แท็กซี่น่าจะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด เพราะมันออกจะไปคนละทางกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆและรู้สึกจะไม่มีรถใต้ดินผ่าน จริงๆมีรถเมล์ผ่านหลายสายนะ ฉันน่ะนั่งรถเมล์สาย 656 จากหน้าบ้านซึ่งพอดีว่าไม่ได้อยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวพักเท่าไรนัก จึงอาจไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์นัก

(แต่ถ้าอยากหาสายรถเมล์นั่ง ก็ลองใช้กูเกิลเสิร์ชดูก็ได้ เสิร์ชเจอแล้วอาจมีปัญหาเล็กน้อย แต่ถ้ามีผู้รู้ภาษาจีนอยู่ใกล้หรือเสิร์ชหาในโรงแรมที่พัก ก็วิ่งไปตามคนที่ฟรอนต์ ชีวิตก็ไม่ยากเท่าไหร่)

กำแพงจิ๋ว แต่แจ๋ว
คราวนี้ไม่ได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนที่ปาต้าหลิง แต่ไปที่มู่เทียนหยู ระยะทางจากปักกิ่งก็คงจะไกลประมาณกัน แต่เห็นว่าคนไม่เยอะมากเท่า (จริงๆก็เห็นที่จอดรถเต็มแน่นหมดทุกลานเลยนะ) เมื่อไม่ได้ไปทั้งสองที่ก็เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร แต่เพื่อนผู้เคยไปปาต้าหลิงมาแล้วบอกว่าที่นั่นจะใหญ่โตโอฬารกว่า ขณะที่มู่เทียนหยูจะเล็กกว่า อืมม์ ถ้าถามฉัน มันก็คงจะเล็กกว่าบ้าง แต่เท่านี้ก็อลังการพอแล้วกระมัง เท่าที่มองเห็นยังเดินยังไม่อยากทั่วเลย ช่วงที่ไปใบไม้กำลังเปลี่ยนสี กำแพงเทอะทะที่ทอดยาวเหมือนงูยักษ์ก็เลยมีเสน่ห์มากขึ้น แค่นี้ก็ประทับใจพอแล้ว

ฉันไม่เก่งกับการเดินขึ้นบันไดและทางชันๆมาแต่ไหนแต่ไร พอเจอขั้นสูงๆที่ไม่สม่ำเสมอและไม่มีอะไรให้เกาะก็แทบหน้ามืด ตอนขึ้นว่าแย่ (เพราะเหนื่อยแฮ่ก) ตอนลงยิ่งหนัก (เพราะกลัวหน้าคะมำจนขาสั่น) เห็นลุงกับป้าคู่หนึ่งเดินไปเดินกลับด้วยท่าทางธรรมดาๆ ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย แถมยังแซงใครต่อใครได้อีก ก็ได้แต่นึกคารวะอยู่ในใจ

เรานั่งกระเช้าขึ้นไปกันเพื่อประหยัดเวลา เห็นฝรั่งบางคนใช้วิธีเดินหรือขี่ม้า ซึ่งเป็นอีกสองทางเลือกขึ้นไป ก็แล้วแต่ถนัด แต่ควรจะติดน้ำดื่มและของกินรองท้องไปด้วย เพราะถ้าใช้เวลาอยู่นานจะหิวและกระหาย ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ก็มักจะไปติดเที่ยงกันข้างบนกำแพง สำหรับที่นี่ มองไปแล้วไม่เห็นมีอะไรขาย นอกจากซุ้มเล็กๆของคุณลุงซึ่งขายน้ำและของจิปาถะนิดๆหน่อยๆ

ถึงจะเล็กแต่มู่เทียนหยูก็มีของเด่นนะ ขาขึ้นนั่งกระเช้าห้อยขาชมใบไม้เปลี่ยนสีไปอย่างสำราญแล้ว ขาลงเราก็มีทางเลือกใหม่ สามารถเลือกแล่นสไลเดอร์ลงได้ ดูท่าทางน่าสนุก แถมคิวยาวอีกต่างหาก ก็เลยต้องไปลองดู สนุกจริงๆ เป็นการลงที่ไม่ได้เงยหน้าชมวิวเลย เพราะมัวแต่เร่งและเบรกไปตามจังหวะรางที่คดไปเคี้ยวมาตามลาดเนินที่ชันบ้างราบบ้าง

ไม่รู้ว่าที่ปาต้าหลิงมีหรือเปล่า (เพี้ยง ขอให้ไม่มี)




Create Date : 13 ธันวาคม 2551
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 0:29:31 น. 0 comments
Counter : 473 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

lunaloca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ง า น แ ป ล


ช่างเป็นนักแปลที่ทำงานได้หลากแบบหลายแนว
นามปากกาคละเคล้า เดาทางไม่ถูกจริงๆนิเรา

Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add lunaloca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.