ออกเดินทางไปคุยกับตัวเองที่ “โตเกียว” DAY 1


เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาชั้นออกเดินทางไปโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ค่ะ ชั้นจองตั๋วเครื่องบินและที่พักไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากที่ทำงานเก่าเพื่อมาเป็นฟรีแลนซ์เองทริปนี้ชั้นตั้งใจออกเดินทางคนเดียวเพราะเป็นคนที่หลงใหลการเดินทางคนเดียวมากประกอบกับตัวชั้นเองที่อยู่ในช่วงสับสนชีวิตการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวจะทำให้ชั้นมีเวลาที่จะได้คุยกับตัวเองมากขึ้น

ทำไมชั้นถึงเลือกที่จะไปคุยกับตัวเองที่“โตเกียว” ?เพราะเป็นเมืองที่ชั้นใฝ่ฝันจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัย ม. ปลาย ชั้นเคยจมอยู่กับความฝันว่าชั้นจะได้ไปเรียนไปใช้ชีวิต ไปทำงานที่นั่น แต่ ณ เวลาที่ผ่านมา ชั้นไม่มีทางทำให้มันเป็นจริงได้เพราะด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่เอื้ออำนวยให้ตัวเองสามารถทำแบบนั้นได้แม้แต่ไปเที่ยวชั้นยังทำไม่ได้เลย เมื่อชั้นเรียนจบเริ่มใช้ชีวิตพนักงานกินเงินเดือน ชั้นก็เริ่มเก็บออมเงินเพื่อที่จะได้พาตัวเองไปเที่ยวที่นั่นดูสักครั้งสาเหตุที่ทำได้แค่วางแผนแค่ไปเที่ยวมันเป็นเพราะการที่ชั้นรู้ดีว่า การเป็นพนักงานกินเงินเดือนมันยังไม่สามารถทำให้ชั้นเก็บเงินได้มากพอขนาดได้ไปเริ่มต้นชีวิตที่นั่นได้หรอกแม้ว่าอาจจะทำได้ แต่ก็คงนานน่าดู เงินเดือนชั้นก็ไม่ได้สูงสักเท่าไหร่ แค่เก็บเงินไปเที่ยวที่นั่นได้ก็เต็มที่แล้ว

และวันที่ชั้นรอคอยก็มาถึง…

ชั้นแบกเป้หนักๆไปหนึ่งใบกับกระเป๋าผ้าสีดำเล็กๆไว้สำหรับใส่ของสำคัญๆ เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิระหว่างที่ชั้นนั่งอยู่ในรถไฟ Airport Link ชั้นตื่นเต้นเหลือเกินเหมือนชั้นกำลังพาตัวเองเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาผจญภัยอย่างไงอย่างงั้น

เมื่อรถไฟ Airport Link มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิความตื่นเต้นดีใจยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ชั้นเดินไปนั่งรอที่หน้า Gate ขึ้นเครื่องระหว่างที่ชั้นนั่งรอขึ้นเครื่องชั้นก็พบว่าชั้นถูกรายล้อมไปด้วยชาวญี่ปุ่น ดูท่าว่าเที่ยวบินนี้จะมีผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ได้ ด้วยความที่ชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นมาอยู่บ้างพอฟังออกนิดหน่อยก็ลองพยายามเงี่ยหูฟัง สิ่งที่เค้าคุยกันแต่ก็แทบจะไม่รู้เรื่องเลยอยู่ดี

เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องชั้นก็รีบเดินขึ้นเครื่องเพื่อไปนั่งที่นั่งที่จองไว้อย่างตื่นเต้นเช่นเคยชั้นเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ผู้โดยสารที่นั่งข้างชั้นเป็นชายชาวญี่ปุ่นวัยกลางคนชั้นมองสำรวจที่นั่ง และสิ่งรอบๆภายในเครื่องบินนี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเดินทางโดยเครื่องบินแบบ Full Service แม้จะเป็นชั้น Economy แต่ชั้นก็รู้สึกสะดวกสบายมากกว่าเดิมมากอีกทั้งมีหน้าจอส่วนตัวที่ชั้นสามารถเปิดหนัง เพลง หรือ รายการต่างๆดูได้ทำให้ชั้นไม่เบื่อกับการนั่งเครื่องบิน 6-7 ชั่วโมง แต่เที่ยวบินนี้เริ่มบิน 4ทุ่มครึ่ง จะไปถึงที่โตเกียวตอน 6 โมงครึ่ง ตามเวลาของญี่ปุ่น ชั้นจึงจำเป็นต้องหลับต้องพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้มีแรงท่องเที่ยวทันทีเมื่อถึงโตเกียว



แต่อย่างไรก็ตามชั้นก็ไม่สามารถนอนหลับอย่างเต็มที่ได้ จำนวนเวลาที่หลับจริงๆ น่าจะไม่ถึง 2 ชั่วโมง ประมาณเกือบ 6โมงเช้าแอร์ก็เริ่มแจกอาหารเช้า ชั้นจึงขอดื่มกาแฟด้วย ทั้งๆที่เป็นคนที่ไม่ดื่มกาแฟแต่กลัวจะไม่มีแรงจริงๆ เลยต้องดื่ม

เมื่อเครื่องบินบินเข้าสู่น่านฟ้าเขตประเทศญี่ปุ่นและกำลังลดระดับเพื่อลงจอดที่สนามบินฮาเนดะชั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ณ เวลานั้น ชั้นมีความสุขจริงๆนะ น้ำตาเอ่อเลยล่ะถึงซักทีสินะ รอคอยวันนี้มานานมากแล้ว ความรู้สึกเหมือนประเทศญี่ปุ่นเป็นคนคนนึงที่ชั้นรอคอยที่จะได้เจอมานานแสนนานเลย

เมื่อลงจากเครื่องชั้นก็ตรงไปที่ด่านตม. ตอนก่อนมาญี่ปุ่น ชั้นแอบกลัวนิดๆว่าจะมีปัญหาอะไรมั้ยนะ ผู้หญิงไทยมาเที่ยวคนเดียวเจ้าหน้าที่จะสงสัยอะไรในด่านลบหรือเปล่า แต่เมื่อไปถึงด่านตม. จริงๆ กลับไม่เป็นอย่างที่ชั้นกลัวเลยเจ้าหน้าที่สุภาพมาก รับ Passportชั้นไปติดสติ๊กเกอร์และให้ชั้นผ่านด่านไปอย่างง่ายดาย ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย รู้สึกสบายใจมากกว่า ด่านตม. ประเทศอื่นเยอะเลย

จากนั้นชั้นก็ตรงไปที่เคาท์เตอร์ขายบัตรรถไฟเพื่อซื้อบัตร TokyoMetro Pass แบบ 3 วันนอกจากบัตร Tokyo MetroPass ในราคาประหยัดชั้นก็ได้มาพร้อมกับตั๋วรถไฟเดินทางเข้าตัวเมืองโดยชั้นสามารถนั่งจากสนามบินฮานะดะไปลง Asakusa ได้เลย สาเหตุที่ไปลง Asakusa เพราะว่าที่พักที่ชั้นพักอยู่ตั้งอยู่ใกล้สถานี Inaricho เมื่อลงจากสถานี Asakusa ชั้นก็เปลี่ยนรถไฟไปลง Inaricho ได้เลย เพียงแค่ 2 สถานีจาก Asakusa

ระหว่างที่ชั้นนั่งรถไฟเข้าสู่ตัวเมืองชั้นก็มองบรรยากาศรอบๆ มองออกนอกหน้าต่าง มองผู้คน มองการแต่งกายของพวกเขาจนชั้นแอบละอายใจที่ชั้นใส่รองเท้าแตะมาเมืองเขาจริงๆ

เมื่อลงจากสถานี Asakusa ชั้นจึงรีบเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบทันที


เมื่อมาถึงสถานีInaricho มันก็ถึงเวลาที่ชั้นต้องเดินตามหาโรงแรมแล้วล่ะระหว่างที่ชั้นเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินชั้นก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวมากขึ้นเรื่อยๆอากาศ ณ ตอนนั้น อยู่ที่ 13 องศา ด้วยความที่ตัวเองมาจากประเทศเมืองร้อนและไม่เคยไปเที่ยวเมืองหนาวเลยสักครั้งอากาศ 13 องศาจึงหนาวมากสำหรับชั้นเสื้อกันหนาวที่ชั้นสวมอยู่ก็ไม่ได้หนามากมายซะด้วย แต่ชั้นก็ชอบนะอย่างน้อยก็ดีกว่าร้อนล่ะ เพราะส่วนตัวไม่ชอบเดินเที่ยวในที่ที่อากาศร้อนมากๆอยู่ที่หนาวๆก็ดี จะได้ไม่ต้องมองหาที่ที่มีแอร์

ชั้นกางแผนที่ที่ปริ๊นท์มาจากเว็บของที่พักของชั้นโชคดีที่เขาบอกละเอียดมาก พร้อมมีภาพประกอบเสร็จสรรพ ทำให้ชั้นหาได้ไม่ยาก



ชั้นเดินทางมาถึงที่พักตอน8 โมงกว่าๆ ซึ่งยังไม่สามารถ Check in ได้ เพราะเวลาCheck in คือตอนบ่าย 3ชั้นเลยขอฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักก่อนเพื่อจะได้เที่ยวสะดวกขึ้น

ที่ที่แรกที่ชั้นเลือกที่จะไปคือสวนสาธารณะอุเอโนะ เนื่องจากอยู่ใกล้ๆ ที่พัก นั่งรถไฟใต้ดินต่อเดียวถึงชั้นเดินอย่างช้าๆ รับบรรยากาศสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่นี้ใบไม้เริ่มมีเปลี่ยนสีบ้างแล้ว ถ้าชั้นมาช้ากว่านี้สักสองสามอาทิตย์ที่นี่คงเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง ณ ตอนนั้น ที่นี่เงียบสงบมากมีคนจำนวนไม่มากที่มาที่นี่ อาจเป็นเพราะมันคือช่วงเวลาทำงานด้วยล่ะด้วยอากาศที่หนาวเย็น บรรยากาศเงียบสงบ ความร่มรื่นและความสวยงามของที่นี่มันทำให้ความรู้สึกของชั้นมันอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูกชั้นชอบความรู้สึกแบบนี้จริงๆมันทำให้ชั้นสามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายระหว่างที่ชั้นเดินเที่ยวไปเรื่อยๆความคิดที่เกี่ยวกับอนาคตชีวิตของชั้นก็เริ่มค่อยๆเกิดขึ้น ความรู้สึกเคว้งคว้างสับสน ไม่รู้จะไปทางไหนของตัวเอง ที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ชั้นจะทำอะไรต่อไปดี? ชั้นจะเป็นฟรีแลนซ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ? เรียนต่อโทแบบที่คนอื่นเค้ามองว่าดีเลยดีมั้ย ? และถ้าไปต่อโทจะเรียนที่ไหนล่ะ? เรียนที่ไทยหรอ? อยากทำจริงๆหรอ? หรือจะไปต่ออเมริกา อังกฤษ แบบที่คนอื่นเค้าไปกัน? แล้วเราไปทำตามเค้าเราจะมีความสุขมั้ย? รู้สึกเฉยๆกับสิ่งนั้น แต่คนอื่นมองว่าดีเลยจะทำตามหรอ?หรือเก็บเงินมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่นี่อย่างที่ฝันไว้มานานแสนนานดีมั้ย? แต่จะคุ้มหรือเปล่า? ณ ตอนนั้นชั้นสับสนและยังหาคำตอบไม่ได้ชั้นก็ปล่อยให้ความคิดของชั้นมันแล่นออกไปเรื่อยๆ มันต้องมีสิหนทางที่เรามีความสุขจริงๆ ที่จะได้ทำมัน สิ่งที่มันสามารถเป็นจริงได้ และส่งผลดีต่ออนาคตของเราเราต้องเลือกให้ได้


ชั้นเดินไปถึงศาลเจ้าอุเอโนะโทโชกุ มีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะเรื่อยๆมีชาวต่างชาติอย่างชั้นมาเยี่ยมชมอยู่บ้าง ชั้นเดินไปที่ศาลาที่ไว้สำหรับล้างมือระหว่างที่ชั้นกำลังอ่านป้ายวิธีล้างมือแบบที่ถูกต้องตามประเพณีก็มีเด็กฝรั่งคนหนึ่งเดินเข้ามาหาชั้น พร้อมกับสอนวิธีการล้างมือที่ถูกต้องให้ชั้นชั้นก็เออออไปกับเค้าด้วย พร้อมกับมองความน่ารักของเขาสักพักแม่ของเขาก็เดินมาตามพร้อมดุนิดๆว่า อย่าไปกวนคนอื่นเขาเด็กผู้หญิงคนนั้นก็สวนกลับไปว่า “หนูแค่กำลังโชว์วีธีล้างมือให้เขา”(ภาษาอังกฤษนะ) จากนั้นแม่ก็จูงมือเด็กกลับบ้านไปพร้อมกล่าวขอโทษชั้นชั้นก็ได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร และส่งยิ้มให้

เดินออกจากที่นั่นมาก็เจอสวนสัตว์อุเอโนะชั้นเลือกที่จะนั่งพักอยู่ที่หน้าสวนสัตว์อุเอโนะเพราะที่แห่งนี้มีเด็กอนุบาลจากหลายๆโรงเรียนมาทัศนศึกษาแต่ละกลุ่มจะใส่หมวกสีเดียวกัน เพื่อจะได้มองหาได้ง่าย น่ารักมากจริงๆ

พอเดินต่อไปเรื่อยๆก็เจอพิพิธภัณฑ์ศิลปะดูท่าจะเป็นที่นิยม คนมาดูกันเยอะมาก แต่ด้วยความที่ชั้นไม่ค่อยได้หลงใหลในศิลปะเท่าไหร่นักเลยไม่ได้เข้าไปชมกับเค้า

ชั้นเลือกที่จะเข้าไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแทนเพราะคิดว่าน่าจะได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับชนชาตินี้ชั้นเข้าไปซื้อตั๋วแบบพิเศษ เพราะคิดว่ามาทั้งทีต้องได้เห็นแบบทั่วถึงสรุปว่าตั๋วแบบ Special สิ่งที่ได้เห็นเพิ่มงานพิพิธภันฑ์เกี่ยวกับจิ๋นซีฮ่องเต้ นั่นเอง

ชั้นรู้สึกได้เลยว่าชาวญี่ปุ่นสนใจและใส่ใจรายละเอียดในพิพิธภัณฑ์มากคนจำนวนมากเดินทางมาที่นี่ ดูสิ่งที่โชว์ในพิพิธภันฑ์ อ่านข้อความบรรยายอย่างตั้งใจส่วนชั้นออกจะให้ความสนใจกับคนที่เข้ามาดูพิพิธภัณฑ์มากกว่านะ

นอกจากนี้ในส่วนRegular ก็จะมีพิพิธภัณฑ์สวนญี่ปุ่นและพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเอง

ชั้นเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ประมาณเที่ยงครึ่งเห็นกลุ่มนักเรียนนั่งกินข้าวเที่ยงกันอยู่ที่สวนอุเอโนะ ชั้นก็คิดว่าได้เวลาของเราแล้วเหมือนกันที่ต้องประเดิมอาหารมื้อแรกในญี่ปุ่นชั้นเดินไปที่ตลาดอะเมะโยะโกะ โชเต็งไก ตลาดที่ขายของหลากหลายและราคาไม่แพงอีกทั้งมีร้านอาหารให้เลือกเต็มไปหมด ชั้นเลือกเข้าร้านที่ชื่อขึ้นต้นด้วย โชะกุจิเนื่องจากเขียนเป็นฮิรางานะเลยอ่านออกชั้นเลือกร้านนี้เพราะเห็นเด็กนักเรียนเดินออกมากันเยอะมากเลยคิดว่าน่าจะอร่อยและไม่แพงเลยเข้าไป อาหารมื้อแรกชั้นสั่งแกงกระหรี่ อยากเทสต์ว่ารสชาติเหมือนกับที่ไทยมั้ยในระหว่างที่ชั้นรออาหาร ชั้นก็มองบรรยากาศรอบๆเห็นพนักงานที่กระตือรือร้นทำงานและสุภาพกับลูกค้าตลอดเวลาลูกค้าที่ทานอาหารไปพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน ไหนจะวัยรุ่นผู้ชาย 2คนที่นั่งใกล้ๆกับชั้นที่เพิ่งเข้ามาแล้วเอาไพ่มาเล่นกัน

แกงกระหรี่ที่นี่รสชาติไม่ต่างจากที่ไทยไม่สิ..ต้องบอกว่าที่ไทยทำออกมาได้ค่อนข้างเหมือนต้นตำรับอย่างญี่ปุ่น เมื่อชั้นทานเสร็จชั้นเริ่มไม่แน่ใจว่าชั้นควรเรียกพนักงานมาเช็คบิลหรือชั้นต้องเดินออกไปจ่ายที่เคาท์เตอร์เองชั้นมองไปที่เคาท์เตอร์ชำระเงินเห็นลูกค้ายืนจ่ายค่าอาหารอยู่ชั้นเลยมั่นใจแล้วว่าต้องไปที่เคาท์เตอร์ ชั้นจึงเก็บของและเดินออกไป สักพักวัยรุ่นที่นั่งข้างชั้นก็เรียกเฮ้ๆๆ แล้วหยิบบิลที่อยู่บนโต๊ะชั้นมาให้ชั้นชั้นจึงถึงเข้าใจว่าเค้าเอาบิลมาวางไว้ตั้งแต่แรกแล้วเพื่อที่ลูกค้ากินเสร็จจะได้ถือไปจ่ายที่เคาท์เตอร์ได้เลยทำไมชั้นเซ่อจัง

ทานอาหารเสร็จเวลานั้นก็เกือบๆบ่าย2 แล้ว ใกล้เวลาได้เช็คอินที่พักประกอบกับชั้นก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้วเนื่องจากลงจากเครื่องบินมาก็ไม่ได้พักเลยเลยอยากจะกลับที่พักไปนอนสัก 2-3 ชั่วโมง

ชั้นมาถึงที่ที่พักก่อนบ่ายสามจึงถามพนักงานต้อนรับว่าขอเข้าห้องเลยได้มั้ยเพราะเหนื่อยมาก พนักงานต้อนรับก็ขึ้นไปดูห้องให้แล้วบอกว่าห้องเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้าพักได้เลย ชั้นดีใจมากๆ ชั้นจะได้เวลาพักผ่อนแล้ว



ชั้นเข้าอยู่ห้องพักเดี่ยวเป็นห้องเล็กๆกระทัดรัด ชั้นชอบห้องแบบนี้นะถ้ามันใหญ่จนเกินไปแล้วนอนคนเดียวในที่แปลกถิ่นชั้นคงรู้สึกแปลกๆ ไปด้วย

ชั้นเอนตัวลงนอนและนอนหลับอย่างรวดเร็วแพลนของชั้นคืนนี้คือการไปเยือนชิบูย่า ชั้นเห็นจากหนังหลายเรื่องแล้วถึงเวลาที่ชั้นจะได้ไปเห็นของจริงด้วยตาของชั้นเองสักที

ชั้นตื่นขึ้นมาอีกทีตอน6 โมงเย็นเตรียมออกเดินทางไปชิบูย่า อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสียใหม่ให้สมกับที่จะไปเดินในที่แหล่งวัยรุ่นอย่างชิบูย่า

ตอนนั้นท้องฟ้ามืดแล้วอากาศเย็นขึ้นไปอีก ชั้นเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินเช่นเคยเพื่อไปลงสถานีชิบูย่าเมื่อชั้นเดินลงจากรถไฟที่สถานีชิบูย่า ชั้นก็พบว่าคนเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดที่นี่คงจะป๊อบปูล่าจริงๆ ก่อนออกจากตัวสถานีชั้นเดินผ่านหน้าต่างกระจกที่สามารถมองออกไปเห็นทางข้ามชิบูย่าได้ คนเยอะมากจริงๆดูคึกคักมากๆชั้นรีบเดินลงจากตัวสถานีเพื่อไปสัมผัสบรรยากาศจริงบริเวณทางข้ามชิบูย่า



ชั้นมองขึ้นไปตามตึกต่างๆเห็นป้ายโฆษณามากมาย โดยเฉพาะศิลปินที่กำลังออกอัลบั้มในช่วงนั้นชั้นเคยเห็นบรรยากาศนี้มาแล้วตามซีรี่ส์ ภาพยนตร์ หรือรายการทีวีต่างๆคราวนี้ชั้นได้มาเห็นกับตาตัวเองสักที

ชั้นเดินข้ามถนนชิบูย่าไปกับฝูงคนจำนวนมากเพื่อเดินดูบรรยากาศร้านค้าต่างๆ และหาร้านอาหารดีๆสักร้านชั้นเลือกเข้าไปในร้านราเมง ที่ต้องซื้อคูปองจากตู้หน้าร้านก่อนแล้วค่อยเดินเข้าไปนั่งในร้าน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่มานั่งในร้านนี้

เมื่อชั้นเดินออกมาอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายต่างชาติผิวดำ เดินเข้ามาถามว่า พอจะรู้จักบาร์ดีๆมั้ยชั้นบอกว่าชั้นไม่รู้ จากนั้นก็ชวนชั้นคุยว่า มาจากไหน มากี่วัน แล้วก็จะชวนไปดื่มเบียร์ด้วยกันแต่ชั้นก็ปฎิเสธไป

ชั้นเดินออกมายืนแถวทางข้ามชิบูย่าอีกครั้งชั้นชอบบริเวณนี้จริงๆนะ ในขณะที่ชั้นกำลังยกกล้องจะถ่ายรูปชั้นก็พบว่ากล้องมือถือของชั้นมันหยุดอยู่ตรงกล้องหน้า ชั้นมองเห็นผู้ชายต่างชาติ(ไม่ใช่คนเดียวกัน) กำลังมองมาที่กล้องพอดี ชั้นแอบตกใจเล็กน้อยประกอบกับเขาเองก็ตกใจเหมือนกันที่เขาไปปรากฎอยู่ในหน้าจอเรา เขาก็ขอโทษเราไปเราก็บอกว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นเขาก็ชวนคุยว่าเรามาจากไหน ทำอะไร อีกเช่นเคยผู้ชายที่ชั้นคุยด้วยอยู่นี้เป็นชาวบราซิลและทำงานที่ญี่ปุ่นมา 13 ปี แล้วกำลังจะกลับประเทศเขาเขาก็ชวนเราไปเดินช็อปปิ้งห้างที่เขาบอกว่าน่าสนใจแต่ชั้นก็บอกปัดปฎิเสธแบบมีมารยาทไปเช่นเคย

สักประมาณเกือบ4 ทุ่มชั้นก็นั่งรถไฟกลับที่พัก ไปนอนเอาแรงเพื่อเดินทางต่อวันถัดไป

แต่ก่อนจะเข้านอนชั้นลงมานั่งที่ล็อบบี้ของที่พัก เพราะไวไฟแรงกว่าที่ห้องชั้นชั้นจำเป็นต้องใช้เน็ตเพื่อค้นข้อมูลต่อไปสักพักก็มีชายชาวต่างชาติที่มาพักที่นี่เหมือนกัน เดินมานั่งใกล้ๆกันพร้อมกับโน๊ตบุ๊ค เขาก็ชวนเราคุยเรื่องที่เที่ยวชายคนนี้เกิดที่อิตาลีแต่ไปโตที่สเปน ก่อนมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นเขาเดินทางไปประเทศไทยมาก่อนและชมว่าเมืองสวยมากเขากำลังจะเดินทางกลับยุโรปในเช้าถัดไป เขาแนะนำที่เที่ยวต่างๆในโตเกียวให้ชั้นชั้นสามารถจับความรู้สึกของเขาได้ว่า เขาเหมือนไม่อยากกลับยุโรปเลยไม่ต่างจากความรู้สึกของชั้นในตอนนั้นที่ไม่อยากนึกภาพตอนที่กำลังเดินทางกลับไทยเลยจริงๆ

เกือบๆเที่ยงคืนชั้นก็เดินขึ้นไปห้องนอนเปิดทีวีช่องญี่ปุ่นดูสักหน่อย ตอนเรียนมหา’ลัย ช่วงว่างๆชั้นจะพยายามหาช่องญี่ปุ่นดูทางออนไลน์ บางวันสัญญาณก็ไม่ค่อยดีตอนนี้ได้ดูแบบสบายๆละ แต่ด้วยความที่ดึกมากแล้ว ชั้นคงต้องนอนได้แล้ว

ชั้นปิดไฟห้องนอนทั้งหมดห้องมืดมาก ถ้าเป็นที่อื่นชั้นคงกลัวผีไปแล้วบางทีชั้นปิดไฟห้องนอนบ้านตัวเองชั้นยังแอบกลัวๆเลย แต่อยู่ที่นี่ไม่น่ากลัวสักนิดอาจจะเป็นเพราะชั้นไม่คิดถึงมัน และ ณ ตอนนั้นชั้นมีแต่ความอุ่นใจด้วยล่ะ

ขณะหลับตาชั้นก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ เหมือนในฝันเลย เหมือนที่หวัง เหมือนที่วาดภาพไว้ตั้งแต่ม. ปลายเลย มีความสุขจริงๆนะ




Create Date : 20 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2558 22:16:12 น. 0 comments
Counter : 885 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Lonely Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




มาตามความฝันในฝรั่งเศส

เราทำ Vlog บันทึกเรื่องราวการใช้ชีวิตในฝรั่งเศสด้วย

ฝากติดตาม Vlog ใน Youtube ของเราด้วยนะคะ
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
20 พฤศจิกายน 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Lonely Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.