ออกเดินทางไปคุยกับตัวเองที่ “โตเกียว” DAY4-5


ชั้นตื่นมาเวลาเดิมพร้อมกับความคิดที่ว่าวันพรุ่งนี้แล้วสินะที่ชั้นต้องเดินทางกลับไทยวันนี้ชั้นต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มที่สุด

ชั้นเดินทางไปสถานีโตเกียวโดยรถไฟJRเนื่องจากที่นั่นมีบริการรถบัสเที่ยวชมเมืองที่ชื่อว่า SkyBus Tokyo เมื่อชั้นออกจากสถานีโตเกียวชั้นพยายามมองหาตึกMitsubishi แต่หาไม่เจอชั้นเลยกลับไปที่สถานีเพื่อถามทางกับเจ้าหน้าที่ ชั้นตัดสินใจถามเป็นภาษาญี่ปุ่น และนี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้พูดภาษาญี่ปุ่นแบบเป็นประโยคเต็มๆครั้งแรก ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาจากเจ้าหน้าที่นั้นกลับเป็นภาษาอังกฤษชั้นก็เข้าใจว่าหน้าของชั้นมันไม่ญี่ปุ่นเลยสักนิด


ชั้นไปตามทางที่เจ้าหน้าที่แนะนำก็พบว่ามันไม่ได้ไกลจากสถานีโตเกียวเลยสักนิด ชั้นเข้าไปซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์ชั้นเลือกเส้นทาง Tokyo Tower และสะพานเรนโบว์ แบบ Non-Stopคือ ไม่มีการจอดให้คนลงระหว่างทาง

พนักงานแจกเสื้อกันฝนเนื่องจากที่นั่งยังชื้นๆจากเมื่อวานที่ฝนตกทั้งวัน และหูฟังสามารถฟังคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษได้

รอบนี้มีแต่คนญี่ปุ่นอีกแล้ว

รถบัสเที่ยวนี้ขับผ่านปราสาท Imperial โตเกียวทาวเวอร์ สะพานเรนโบว์ กินซ่า ฮิบิยะ แล้ววนกลับมาที่เดิมใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ได้ ระหว่างที่รถแล่นไปตามเส้นทางไกด์ญี่ปุ่นก็บรรยายสถานที่ไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลาแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตามช่วงจังหวะที่รถกำลังขับข้ามสะพานเรนโบว์ด้วยความเร็วระดับหนึ่งชั้นอยากจะตะโกนดังๆจริงๆเลยว่า “ไม่อยากกลับเลยโว้ยยยยยย”แต่ชั้นก็เกรงใจไกด์และคนญี่ปุ่นที่นั่งมาด้วยชั้นเลยทำได้แค่ตะโกนในใจตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่คลอออกมา




เมื่อรถบัสวนกลับมาจอดที่ตึกMitsubishi เป็นอันสิ้นสุดทัวร์รอบนี้ จุดหมายต่อไปคือ Odaibaชั้นนั่งรถไฟไปลง Shimbashiเพื่อไปต่อรถไฟ Yurikamomeซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งไปยัง Odaibaณ ตอนที่ชั้นเดินขึ้นไปยังชานชาลามีรถไฟมารอเทียบชานชาลาพร้อมเดินทางอยู่แล้วแต่ชั้นเลือกที่จะยืนรอรถไฟขบวนถัดไปและรอจุดทางขึ้นประตูทางเข้าแรก เพื่อที่จะได้ที่นั่งหน้าสุด ชั้นรอเพียงแค่ 10นาทีเท่านั้น ชั้นก็ได้ขึ้นรถไฟและได้ที่นั่งที่ชั้นตั้งใจไว้เนื่องจากหัวขบวนรถไฟนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นกระจกสามารถมองทางข้างหน้าได้การได้นั่งข้างหน้าจะทำให้ได้เห็นมุมมองที่กว้างออกไป

ชั้นนั่งไปจนถึงสถานีสุดท้ายเพราะเพียงแค่อยากนั่งรถไฟชมเกาะก็เท่านั้นบริเวณแถวนั้นมีสวนสาธารณะที่หลายๆครอบครัวพากันมานั่งพักผ่อน ชมวิวทะเลที่นี่เงียบสงบ บรรยากาศดีจริงๆ





หลังจากเดินรอบสวนสาธารณะนี้แล้วชั้นก็นั่งรถไฟไปลงสถานีใกล้ๆAqua City ซึ่งเป็นห้างใหญ่ของเกาะนี้และบริเวณรอบๆห้างก็มีสิ่งที่น่าสนใจเช่น เทพีเสรีภาพจำลองที่พักชมวิวที่สามารถมองเห็นสะพานเรนโบว์ และยังมีหาดที่ผู้คนสามารถลงไปเล่นกันได้แต่ ณ วันที่ชั้นไปไม่มีคนลงไปเล่นเท่าไหร่นัก เพราะอากาศมันก็เย็นพออยู่แล้วคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวเล่นแถวนี้เยอะมากชั้นเห็นคนไทยใส่ชุดครุยรับปริญญามาถ่ายรูปคู่กับเทพีเสรีภาพจำลองอยู่ 2 คนด้วยนะนอกจากนี้ก็เห็นมีแข่งวิ่งมาราธอน

ถึงแม้ว่าที่นี่คนจะเยอะแต่ก็ยังสงบสมกับที่คนญี่ปุ่นสร้างเกาะนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่พักผ่อนของเมืองโตเกียวจริงๆ







เสร็จสิ้นการเที่ยวชมที่โอไดบะ จุดหมายที่ชั้นจะไปต่อก็คือ ชิบูย่า ชั้นไปอีกแล้ว ชั้นไปทุกคืนจริงๆและเพราะมันเป็นคืนสุดท้ายเนี่ยแหละ ชั้นถึงไปชิบูย่าแต่หัววันชั้นแค่อยากใช้เวลาคืนสุดท้ายกับที่ที่ชั้นชอบมากที่สุดเชื่อมั้ยว่าทั้งวันนั้นชั้นยังไม่ได้กินข้าวเลยสักคำ อยู่ได้เพียงแค่น้ำขวดเดียวมันเป็นปกติของชั้นนะเวลาไปต่างประเทศ ชั้นจะไม่เจริญอาหารแม้ว่าชั้นจะชอบอาหารญี่ปุ่นมากแค่ไหนก็ตาม

แต่ก่อนที่ชั้นจะเป็นลมไปแบบไม่รู้ตัวชั้นควรจะหาอะไรทานสักนิดนึง ชั้นเลยตัดสินใจไปร้านซูชิที่ชิบูย่าเป็นร้านที่สามารถสั่งอาหารได้จากหน้าจอส่วนตัวบนที่นั่งของตัวเองสักพักอาหารที่เราสั่งไปจะส่งมาตามสายพานและมาจอดที่ด้านหน้าเรา

เวลานั้นคนไม่เยอะสักเท่าไหร่รอไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งข้างในร้านแล้ว ชั้นสั่งซูชิแค่ไม่กี่จานชั้นก็อิ่มแล้วล่ะเด็กเกาหลีที่นั่งข้างชั้นนี่สั่งซะจานที่กินเสร็จตั้งจะสูงกว่าหัวเขาอยู่แล้วถ้าชั้นยังเป็นเด็ก ไม่ต้องจ่ายเงินเอง ชั้นคงสั่งกระจุยเหมือนกันล่ะก็หน้าจอที่สั่งอาหารมันหน้ากดเล่นซะขนาดนั้น



ทานเสร็จชั้นก็เดินเล่นรอบชิบูย่าเหมือนเดิมไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ ความรู้สึกคงเหมือนตอนชั้นมาเดินเที่ยวสยามสแควร์ใหม่ๆตอนอายุ15 คราวนี้ชั้นเริ่มเข้าไปเดินเล่นในร้านแล้วล่ะ ทั้งร้านเสื้อผ้า ร้านขายของแค่ดูจริงๆ ไม่คิดจะซื้ออะไรเลย และก็เข้าไปในร้าน Tower Record ร้านขายซีดีเพลง อารมณ์แบบ Dj สยาม บ้านเราซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่มั้ย วันนั้นมีศิลปินมาเปิดตัวที่ร้านด้วยมีแฟนคลับจำนวนนึงมายืนรอหน้าเวทีที่ตั้งอยู่ในร้านชั้นก็เอากับเค้าด้วย ไม่รู้หรอกว่าใครมาแต่อยากดู จนกระทั่งศิลปินขึ้นมาทักทายแฟนคลับเริ่มร้องเพลง ชั้นก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตอนแนะนำตัวชั้นก็ฟังไม่ทันรู้แต่ว่าเป็นศิลปินเกาหลีชัวร์ๆ


หลังจากชั้นเดินออกจากร้านชั้นก็ตัดสินใจไปต่อคิวสตาร์บัคเพื่อขึ้นไปนั่งบนร้านตรงด้านที่หันหน้าเข้าทางข้ามชิบูย่าชั้นเล็งมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ตอนนี้เวลามีเหลือเฟือเลยขอขึ้นไปสักครั้งชั้นสั่งวานิลลาปั่น แล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งด้านบน โชคดีว่าคนญี่ปุ่นที่นั่งตรงที่ติดกระจกกำลังลุกพอดีชั้นเลยได้ที่นั่งตรงจุดนั้นไปแม้ว่าจะเป็นด้านที่ไม่ได้หันหน้าเข้าใจกลางทางข้ามชิบูย่าตรงๆ แต่ชั้นก็โอเคล่ะ

ระหว่างที่ชั้นนั่งอยู่ในร้านสตาร์บัคชั้นก็เอาไดอารี่ของตัวเองที่ตั้งใจเอามาเขียนบันทึกการเดินทางในโตเกียวนี้มาเขียนเชื่อมั้ย เขียนไป น้ำตาไหลไป ดีนะนั่งอยู่ตรงหัวมุม คนไม่ค่อยสังเกตุเห็นเวลานั้นชั้นอยากจะหยุดเวลาได้จริงๆ ชั้นว่าชั้นรู้แล้วล่ะ ว่าชั้นควรกำหนดเส้นทางตัวเองไปทางไหนก่อนมาที่นี่ชั้นมีแผนชีวิตตัวเองมากมายไม่ว่าจะเป็นการทำงานฟรีแลนซ์สายกฎหมายตลอดชีวิต หรือ การกลับไปทำงานใน LawFirm ในไทยอีกครั้งหรือ การหลีกเลี่ยงการทำงานและไปเรียนต่อโทกฎหมายในไทยไปก่อนพลางๆเพราะไม่มีตังค์ไปต่อนอกหรือ การทำงานอะไรสักอย่างเพื่อหาเงินพาตัวเองไปต่อโทกฎหมายที่อเมริกา อังกฤษอย่างที่หลายๆคนในสังคมรอบตัวชั้นมองว่าดี แผนที่ว่ามาน่ะ ในใจจริงๆชั้นไม่อยากทำสักอย่างเลยนะ แต่เชื่อมั้ยว่าไม่ว่าชั้นจะอยู่ในสถานการณ์ไหน 1 ในแผนชีวิตที่ชั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกจะต้องมีการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นไม่ว่าตัวเองจะเป็นเด็ก ม ปลาย เรียนมหาวิทยาลัย ทำงาน LawFirm เป็นฟรีแลนซ์แผนการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมันจะต้องมีตลอดและมันจะเป็นแผนที่ชั้นจะอยู่ในจุดที่ยังทำไม่ได้แต่มีความสุขเวลานึกถึงทุกครั้งชั้นคิดว่าชั้นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไปยังจุดตรงนั้นแล้วล่ะเลิกคิดที่จะไปตามทางที่คนรอบข้างมองว่าดีแต่ตัวเองไม่ได้มีความสุขที่จะได้ทำจริงๆซักทีเถอะนะ

ชั้นเดินออกมาจากร้านสตาร์บัคแล้วไปนั่งตรงที่นั่งบริเวณทางข้ามชิบูย่าพรุ่งนี้จะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วนะ ชั้นมองขึ้นไปบนตึกต่างๆ อย่างเศร้าๆท่ามกลางคนมากมายที่มายืนรอข้ามถนนที่นี่ น้ำตาซึมอีกแล้วไม่รู้จะเศร้าอะไรขนาดนั้นชั้นเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวผู้ชายแถวนั้นแอบถ่ายรูปชั้นอีกไม่รู้จะเอาไปทำแกลอรี่ ความเศร้าที่ชิบูย่าหรือว่าอะไร แต่ชั้นก็ยังคงนั่งซึมๆคนเดียวต่อไปเสียงเพลง เสียงโฆษณา เสียงผู้คนมากมายแถวนั้นทำให้ชั้นยิ่งไม่อยากลุกจากที่นี่ไปเลย

ชั้นนั่งอยู่ตรงที่เดิมประมาณ2 ชั่วโมง เหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้จะ 4 ทุ่มแล้ว ได้เวลาที่จะต้องกลับแล้ว ชั้นยกมือข้างขวาตั้งขึ้นบนศรีษะพูดในใจว่า “ไปก่อนนะ” และหักใจลุกจากที่นั่นไปสถานีรถไฟเพื่อกลับที่พัก


เช้าต่อมาชั้นเก็บข้าวของเพื่อ Check out ชั้นแบกกระเป๋าหนักๆและเดินทางไปสวนสาธารณะอุเอโนะเพราะสถานีรถไฟที่ตรงไปยังสนามบินนาริตะอยู่แถวนั้นก่อนจะขึ้นรถไฟไปยังสนามบินนาริตะ ชั้นเดินเล่นแถวสวนสาธารณะอุเอโนะขึ้นไปยังศาลเจ้าอุเอโนะ ซื้อของฝากที่เป็นเครื่องรางไปฝากครอบครัวและพี่ที่ทำงานเก่าและนั่งเล่นอยู่แถวนั้นประมาณชั่วโมงนึง อากาศเย็นๆ เงียบสงบ มองดูผู้คนเดินไปมามองดูต้นไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ชั้นชอบความรู้สึกนี้จริงๆมันเป็นความเศร้าที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


ชั้นนั่งรถไฟไปลงสนามบินนาริตะ ไปนั่งรอที่เกทขึ้นเครื่องบินชั้นมาก่อนเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง แอบเสียดายเหมือนกันน่าจะเอาเวลานั่งรอขึ้นเครื่องไปเดินเล่นเที่ยวโตเกียวให้คุ้มกว่านี้แต่ก็แอบกลัวว่าจะมาไม่ทันขึ้นเครื่องเลยต้องเผื่อเวลาเอาไว้ ณตอนที่รอขึ้นเครื่องมีชั้นเพียงคนเดียวที่นั่งรอบริเวณนั้นได้แต่นั่งดูพนักงานสนามบินทำงานกันอยู่ข้างนอก

ความรู้สึกตอนนั้นชั้นเหมือนคนอกหักจริงๆนะเหมือนกำลังจากคนรักยังไงก็ไม่รู้ เมื่อชีวิตความเป็นจริงมันต้องเดินต่อไป แม้ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาของเราที่จะได้ไปอยู่ในจุดที่เราต้องการได้แต่เชื่อว่าสักวันนึงชั้นจะได้ไปถึง

กลับบ้านนะ..สัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีก





Create Date : 24 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2558 21:03:52 น. 0 comments
Counter : 903 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Lonely Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




มาตามความฝันในฝรั่งเศส

เราทำ Vlog บันทึกเรื่องราวการใช้ชีวิตในฝรั่งเศสด้วย

ฝากติดตาม Vlog ใน Youtube ของเราด้วยนะคะ
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
24 พฤศจิกายน 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Lonely Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.