::Finding Mr. Van Dong (梵东〉:: ตามหาหัวใจ....ที่ไต้หวัน [17-21 June 2010]
หัวบล็ิอกเลี่ยนไปมั้ยคะ 555กลับมาแล้วค่ะ กลับมาได้อาทิตย์นึงแล้ว แต่งานการรัดตัวเหลือเกิน (แน่สิ หนีงานไปอาทิตย์นึงนิ) เลยต้องจัดการงานหลวงให้เสร็จก่อน จริงๆก็ยังไม่ค่อยว่าง แต่ว่ากลัวว่าทิ้งไว้นานไป จขบ.จะลืมซะเอง เลยต้องขอพักงานไว้ชั่วคราวมาอัพบล็อกตามธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่รู้ว่ายังมีคนเข้ามาอ่านอยู่หรือเปล่านะ หนีไปเล่นเฟซบุ๊คกันหมดแล้วววววววจะเริ่มละนะก่อนการเดินทางไม่น่าไปปากพล่อยตกปากรับคำผู้ชายง่ายๆเลยเรา 555 เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจากที่ได้ยินตงพูดอยู่เสมอว่า วันนึงมันจะจัดนิทรรศการศิลปะ ไอ้เราในฐานะเมียไทยที่ดี ก็เลยตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าแกกล้าจัด ชั้นก็กล้าไปดูฟระ แล้ววันหนึ่ง ซะมีที่รักก็มาบอกว่า "จะไปฮอลแลนด์ ตามรอย "แวน โก๊ะ" ศิลปินในดวงใจ ไปถ่ายโฟโต้บุ๊ค ไปวาดรูปด้วย แล้วกลับมาจะจัดนิทรรศการศิลปะด้วย" เอาล่ะสิ งานเข้าเมียแล้วไง แต่ยังค่ะ เรายังเฉยๆอยู่ "กำลังทำอัลบั้มอยู่ไม่ใช่เหรอ คงยังไม่ออกเร็วๆนี้หรอกมั้ง" แล้วเวลาก็ผ่านไป ซะมีก็ไปติดเกาะ เอ้ย ติดแหงกอยู่ที่ฮอลแลนด์ เนื่องจากพิษเถ้าภูเขาไฟจนกระทั่งกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย พอปลายๆเดือนพฤษภาคม คุณชายวังก็ทำสถิติด้วยการอัพ 4 บล็อกใน 1 อาทิตย์ (ไหนบอกวาดรูปยุ่งไง ทำไมอัพบล็อกวันเว้นวันฟระ ) และทุกสิ่งทุกอย่างก็ประดังเข้ามา ทั้งรูปวาดฝีมือที่รักที่ค่อยๆหลุดมาเรียกน้ำลาย เอ้ย น้ำย่อย วันละรูป สองรูป เนื้อหาข้างในทีละหน้า สองหน้า ที่ร้ายที่สุด ก็คือโฟโต้บุ๊คที่เสร็จสมบูรณ์ พร้อมทั้งกำหนดการวางขาย การจัดนิทรรศการ และงานแจกลายเซ็นต์ ที่ร้ากกกกกกกกกกกก มาฆ่าชั้นเลยดีกว่า งานเข้าของจริงละทีนี้ เคยตั้งใจว่าไปไต้หวันครั้งแรก ขอเป็นงานเปิดอัลบั้ม 4 ละกัน แต่ที่รักก็ทำให้จิตใจของเค้าต้องสับสน กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน ไม่ต้องถามเรื่องว่าอยากไปหรือไม่ (ของมันแน่อยู่แล้ว) แต่เค้าเก็บตังค์ไว้สำหรับสิงหา+กันยา (ช่วงวันเกิด+อัลบั้ม) แล้วไหงที่รักทำกับเมียแบบนี้ ทำไมถึงทำกับชั้นด้ายยยยยยยยย ในที่สุด หลังจากคิดอยู่หลายตลบ หัวใจก็ชนะเหตุผล (หูยยยย กล้าพูด) ก็เลยตกปากรับคำน้องอ้อไป (อ้อยังงง พี่ไม่หยุดคิดซักนิดเหรอ - เอ่อ ชั้นคิดมาหลายตลบแล้วอ่ะ อย่าทัก เดี๋ยวเปลี่ยนใจ ) และแล้ว ภารกิจ Finding Mr. Van Dong ก็เกิดขึ้น ไปทำวีซ่าครั้งแรกในชีวิตก่อนจะไปทำวีซ่า เราก็อุตส่าห์ศึกษารายละเอียดเป็นอย่างดี ทำที่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไร หลักฐานอะไรบ้าง แต่เนื่องด้วยงานมันกระชั้นชิด ทำให้ขอใบรับรองจากบริษัทไม่ทัน พี่แมวและพี่เฟย์ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงส่ง ได้ให้คำแนะนำว่า "เอาบัตรพนักงานแทนก็ได้แก วีซ่าไต้หวันเป็นอะไรที่ของ่ายที่สุดในสามโลก" เอ่อ มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือคะ เอาล่ะ ลองเชื่อดู ก็เลยจัดแจงเตรียมตัวไปทำวีซ่า ซึ่งข้าวก็ทำแค่ single พอ (ทำ multiple เดี่๋ยวใจแตก อิอิ) ค่าธรรมเนียม 1,800 บาท แล้วก็ไปที่กงศุลไต้หวัน ที่ตึกเอ็มไพร์ สีลม และแม้ว่าจะถามทางพี่ที่เรียนจีนด้วยกัน (พี่เค้าทำงานที่ตึกนี้) มาแล้วเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็หลงจนได้ (--") แต่เอาเหอะน่า ในที่สุดก็มาถึงจนได้ล่ะหลังจากเสียเวลารออยู่เกือบชั่วโมง ก็ถึงคิวเราเสียที พอไปยื่นหลักฐานปุ๊บ เจ้าหน้าที่ก็ยิ้ม แล้วหันมาถามเราว่า "มีชื่อจีนด้วย ใครตั้งให้เหรอ" เราก็ตอบไปว่าเหล่าซือตั้งให้ หลังจากนั้นเค้าก็ส่งใบนัดรับมาให้ บอกให้มารับพรุ่งนี้ เสร็จแล้วเหรอคะ คือปล่อยให้ตรูตื่นเต้นแทบตาย สรุปว่าข้าวก็ได้วีซ่าไต้หวันมาในเวลา 5 นาที เหอๆๆ17 June 2010 : First day in TWและแล้ว สองสาวไทยก็บินลัดฟ้าไปยังสนามบินนานาชาติเถาหยวน ไต้หวัน โดยสายการบิน KLM ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึงประมาณเกือบๆทุ่มคนนึงเป็นการเดินทางไปไต้หวันครั้งแรก พูดจีนได้นิดหน่อย (เป็นการสอบภาคปฏิบัตินอกสถานที่ว่าไอ้ที่เรียนมาปีกว่า จะคุยกะเค้ารู้เรื่องมั้ย 55) พูดอังกฤษได้ปานกลาง กับอีกคนนึง พูดอังกฤษได้ พูดญี่ปุ่นได้บ้าง พูดจีนได้คำเดียว คือ หว่อปู้ต่ง (我不懂) หรือ ไม่เข้าใจค่ะ พอไปถึงแล้ว เราสองคนต้องไปเจอกับเพื่อนมาเลย์ ชื่อ Nicole ที่อีก terminal นึง ต้องขึ้นรถ shuttle bus ไป เอาล่ะค่ะ ภาษาจีนเบื้องต้น บทที่ 1 และก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า 555 เนื่องจาก ข้าวคุยกับเสี่ยวเหอ (คนขับรถแท็กซี่เจ้าประจำของอ้อ) ไม่รู้เรื่อง จนต้องวิ่งแจ้นไปให้พนักงานที่เคาน์เตอร์ช่วยคุยให้ (--") กว่าจะเจอกันได้ก็เล่นเอาเกือบ 2 ทุ่ม ในที่สุด 3 สาวพร้อมสัมภาระอันหนักอึ้งก็มาถึงที่พักซักที พอถึงที่พัก เราก็ได้พบกับเพื่อนอีกคนนึง คือ Geraldine เป็นคนสิงคโปร์ค่ะ ตอนนั้นก็ดึกแล้วล่ะ ก็เลยกะว่าไปหาอะไรกินกัน+เดินช็อปปิ้งรอบดึก และสถานที่ที่เราเลือก(?)ไปกันก็คือ ตลาดนัดกลางคืนซื่อหลิน (士林夜市) ค่ะไปนั่งกินอาหารขึ้นชื่อของไต้หวัน นั่นก็คือ ออส่วนหอยนางรม จานละ 50 NT (เกือบ 60 บาทบ้านเรา) กินไปกินมา คิดถึง ออส่วนตลาดสามย่านเหลือเกิ้นนนนน (คุณแมวบอกให้กินเต้าหู้เหม็นด้วย ไม่งั้นถือว่ายังมาไม่ถึง แต่อืม ไม่ดีกว่า แค่กลิ่นก็ไม่ทนแล้วล่ะ) ที่ซื่อหลินมีของกินและของขายเยอะมาก เสื้อผ้า ของใช้น่ารักๆเพียบเลย ราคาก็พอๆกับบ้านเรา เดินอยู่ตั้งนาน ไม่ได้อะไรซักชิ้น 555 (โชคดีที่ไม่ใช่ขาช็อปปิ้ง ไม่งั้นคงล้มละลาย ดังเข้าซอยละลายทรัพย์)เดินไปเดินมา หันมาดูนาฬิกา อ้ะ จะตี 1 แล้ว ฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมาซะได้ ก็เลยได้มาแค่ชานมไข่มุก หรือ เจินจูไหน่ฉา (珍珠奶茶) 1 แก้ว รสชาติอร่อยดี ไข่มุกเม็ดเล็กกว่าเรา กินแล้วแทบจะลื่นลงคอเลย แล้วก็เลยนั่งแท๊กซี่กลับที่พัก แยกย้ายบ้านใครบ้านมัน และวันแรกบนเกาะไต้หวันของข้าวสวยก็จบลงด้วยความเปียก (และง่วง) ค่ะ18 June 2010 : Free day(??)วันนี้ 3 สาว 2 สัญชาติ (มี Nicole ด้วย) เรามีนัดกันที่ห้าง SOGO ค่ะ เพราะว่า เมื่อคืนได้ยินมาจาก Geraldine (Ger) ว่า ตอนนี้ KAPPA (ชุดกีฬาสัญชาติอิตาลี ที่ได้คุณชายวังไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้) กำลังจัดโปรโมชั่น "ถ้าหากคุณเป็นลูกค้า 15 คนแรกของร้านในแต่ละวัน จะได้รับสิทธิ์ถ่ายรูปคู่กับวังตงเฉิง"รูปคู่? จริงเหรอ? เห็นปกติก็เรียกรวมๆไปถ่ายกลุ่มนี่นา แต่ Ger บอกว่า "ที่อื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ที่นี่คือไต้หวัน บอกว่ารูปคู่ก็คือรูปคู่" ---- แล้วข้าวสวยจะช้าอยู่ไยล่ะค่ะ โอกาสดีไม่ได้มีบ่อยๆนี่นา ดังนั้น 3 สาวก็เลยออกเดินทางไปห้าง SOGO กัน แต่ยังไม่ 11 โมง ห้างเลยยังไม่เปิด ก็เลยเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยก่อน พอถึงเวลาห้างเปิดปุ๊บ ก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้น 10 ซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกเสื้อผ้าบุรุษทันที แต่เอ๊ะ ทำไมมันมีแต่ร้านอาหารล่ะ ไหนเสื้อผ้าฟระ ไอ้หยา!! พวกเรามาผิดสาขาค่ะ อาจจะคิด ทำไมอิพวกนี่มันโง่จัง ไปผิดได้ไง แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าห้าง SOGO เนี่ย เฉพาะแค่ที่ไทเปก็มี 4 สาขาแล้ว และสาขาที่เราอยู่ (สาขาฟู่ซิ่ง) กับสาขาที่เราต้องไป (สาขาจงเสี้ยว) มันอยู่ห่างกันแค่ 2 บล็อกถนน เง้ออออเอาเหอะ ในที่สุดก็มาถึงจนได้ แต่ไม่รู้ว่าไอ้ 15 คนแรกเนี่ย มันจะหมดไปรึยัง ก็เลยรีบขึ้นลิฟต์ไปชั้น 10 ทันที พอขึ้นไปถึง ก็เห็นแล้วล่ะค่ะว่ามีสาวๆทั้งสาวน้อย สาวเหลือน้อย มายืนออๆกันอยู่หน้าร้านประมาณ 10 คน ก็เลยเข้าไปถาม พนักงานหันมาเห็นก็ถามว่า "ได้บัตรคิวหรือยัง" หือ? ต้องมีบัตรด้วยเหรอ ก็เลยบอกไปว่ายังไม่ได้ เค้าก็ให้บัตรคิวมา ปรากฏว่าเพิ่งจะเบอร์ 5 เท่านั้นเอง (แล้วเอ็งมายืนออหน้าร้านกดดันตรูทำมายยยยย)กติกาก็มีว่า มาถึงก็รับบัตรคิวเพื่อให้เป็น 15 คนแรกค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็เชิญไปเลือกซื้อได้ตามสบาย ซื้ออะไรก็ได้ ซื้อครบ 1,000 แถมจิ๊กซอว์ ซื้อครบ 2,000 แถมโฟโต้บุ๊ค พระเจ้า สุดท้าย ข้าวก็ได้เสื้อมา 1 ตัว ราคาลด 30% แล้วเหลือเกือบๆ 700 บาทไทย พร้อมด้วยบัตรคิวเบอร์ 90 ~ ลืมบอกว่าโปรโมชั่นนี้ ทั้งหมด 105 คนค่ะเมื่อ mission แรกสำเร็จไปได้ด้วยดี ก็เลยนัดกันว่าจะไปดูนิทรรศการศิลปะของตงซักหน่อย แล้วถ้าเวลาเหลือก็จะไปเที่ยวร้านเจี๋ยกัน แต่แล้วก็มีเสียง(ไม่รู้จะเรียกเสียงสวรรค์ หรือเสียงจากนรกดี) โทรมาบอกว่า ตอนนี้ตงตัดผมอยู่ที่ร้าน HIP cultureเท่านั้นล่ะค่ะ เป็นอันรู้กันว่า แพลนทั้งหลายทั้งปวงของวันนี้ก็ต้องสลายหายไปกับตา T__Tเสี่ยวเหอส่งเพื่อนขับแท็กซี่มารับเรา แล้วก็ไปที่ร้านตัดผม รออยู่ซักเกือบๆชั่วโมงตงถึงได้ออกมา ในชุดเสื้อสีน้ำเงินลายดอก กางเกงสีขาว ก็เลยตามไปกันว่าที่รักจะไปไหน (ตอนแรกมีคนบอกว่าวันนี้ไม่ได้ทำงาน) แล้วอยู่ดีๆ ที่รักก็พามาหยุดที่ รร.ฟู่ซิ่ง (Fu Hsin Trade & Arts School) ซะยังงั้น แหม จะพามาเที่ยวโรงเรียนเก่าก็บอกกันดีๆก็ได้ (สรุป วันนี้มาถ่ายรายการค่ะ)ก็ได้แต่รออยู่ข้างนอกค่ะ รอกันอยู่ 2 ชั่วโมงกว่า (รอจนเค้าหลับบนรถอ่ะ คิดดู) ระหว่างนี้ เราก็ได้พบเพื่อนอีกหลายคนที่เพิ่งบินมาถึง ได้แก่ Corina, Rendy, Nicole, Janelle จากสิงคโปร์ และ Amelia อีกหนึ่งสาวกเจี๋ยจากมาเลเซีย ระหว่างที่รอ สาวๆทั้งหลายก็เมาท์กันแตกฟอง ทั้งจีนทั้งอังกฤษ เสียงดังล้งเล้งให้วุ่นวายกันไป จนกระทั่งเย็นๆ คุณชายวังก็ออกมาเสียที ก็ถ่ายรูปส่งจดหมายให้ตามระเบียบ หลังจากนั้นตงมันก็กลับบ้านไป พอส่งผู้ชายกลับบ้านเสร็จ ก็ได้เวลาอาหารค่ำค่ะ แต่ก่อนจะถึงอาหารค่ำ ก็ต้องเรียกน้ำย่อย ด้วยการไปดูนิทรรศการของตงกัน ถามว่าดีใจมั้ย ดีใจมากค่ะ เพราะนี่คือวัตถุประสงค์หลักของการมาไต้หวันคราวนี้เลย (เพื่อนถาม ระหว่างตัวจริงกับรูปจะดูอะไร เหอๆ น้องข้าวขอสองเลยได้ป่ะ) ตอนแรกแอบเซ็งๆ ถึงจะได้เจอตัว แต่ชั้นก็อยากไปดูนิทรรศการด้วยนี่นา เพราะถ้าดูจากคิวงานอันแสนจะรัดตัวแล้ว 55 ถ้าไม่ใช่วันนี้ก็ไม่มีโอกาสได้ดูแล้วล่ะ แต่พอมีโอกาสได้มาดูแล้ว อารมณ์ที่เคยเซ็งๆทั้งหลายก็หายไปเกลี้ยงเลยค่ะ 555 พวกเรามาถึงหน้าสถานที่จัดงานตอน 19.30 น. มีเวลาครึ่งชั่วโมงให้เที่ยวชม (ตอนนี้ทั้งงาน เหลือแต่พวกเราค่ะ แต่ละคนเลยลั้นลากันเต็มที่)นิทรรศการของตงค่อนข้างเล็กค่ะ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก (เคยไปดูที่หอศิลป์จามจุรี มันใหญ่กว่านี้อ่ะ) ถึงจะเป็นแค่งานเล็กๆ แต่ข้าวก็รู้ว่าตงตั้งใจ ทุ่มเท แล้วก็ตื่นเต้นกับงานนี้มากแค่ไหน ไปดูผลงานที่ตงแสนจะภูมิใจกันดีกว่าดูกันไปเป็นที่อิ่มตาแล้ว ก็ไปหาอะไรอิ่มท้องกินกันค่ะ เป็นร้านอาหารที่กับข้าวทุกอย่างจะขายจานละ 100 NT หมด ไม่ว่าจะสั่งพิสดารหรือเบสิคแค่ไหน อาหารก็มีทั้งธรรมดา ไปจนถึงไอ้เจ้าบรรดากุ้งหอยปูปลาทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในตู้หน้าร้านนั่นล่ะค่ะคนไปกินกันประมาณ 10 กว่าคน แต่สองโชเฟอร์ของเราสั่งไป 15 อย่าง (ไม่ต้องห่วงค่ะ มื้อนี้กินฟรี สองคนนี้เค้าเลี้ยงต้อนรับเรา 55) และเนี่องจากทุกคนหิวกันมากๆ ก็เลยก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา รูปอะไรก็ไม่ถ่ายแล้วตอนนี้ 55 (อร่อยเกือบทุกอย่าง หรือว่าเพราะเราหิวจนตาลายหว่า) กินข้าวกันเสร็จก็เกือบ 5 ทุ่ม ก็ได้เวลากลับที่พัก เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานวันพรุ่งนี้ เพราะว่าเราต้องออกจากที่พักตอนตี 5.30 น. เพื่อไปเข้าแถวจองคิวค่ะเตรียมตัวเต็มที่ พรุ่งนี้ผมจะไปหาพ่อแล้วครับ ----------------------เริ่มจะยาวแล้ว งั้นไปต่อ PART 2 กันนะคะ Music Playlist at MixPod.comFei Ni Mo Shu - Ariel Lin (Ost. Tokyo Juliet) Create Date : 05 กรกฎาคม 2553 4 comments Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 21:50:30 น. Counter : 829 Pageviews. ShareTweet
Music Playlist at MixPod.com