Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
28 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 

เมื่อฮอบบิท คิด ปีนภูฯ (2)

เรียนท่านผู้มีอุปการะคุณโปรดทราบ เนื่องจากบล็อกเดิมเริ่มโหลดช้า (เฉพาะผู้ใช้พลัง 56 kb อย่างเจ้าของบล็อกเป็นต้น) เลยต้องล้มเลิกเจตนารมณ์เดิม ขึ้นตอนใหม่บล็อกใหม่เลยแล้วกัน กั่กๆๆๆ

28 พย 47

หลังจากนอนอุตุผ่านช่วงเวลาตีสอง เวลาที่กะจะดูดาวไปได้สองชั่วโมง พวกเราก็ถูกปลุก (ไม่รู้ใครปลุกใคร) ให้ตื่นเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น การชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดภูกระดึง ถือได้ว่าเป็นช็อตบังคับเช่นเดียวกับการชมพระอาทิตย์ตก ต่างกันที่ การชมพระอาทิตย์ตกมีให้เลือกหลายผา แต่พระอาทิตย์ขึ้นมีผาเดียว (ที่ใกล้เต๊นท์ที่สุด) นั่นก็คือ ผานกแอ่น

ตอนที่โผล่หน้าออกมานอกเต๊นท์นั้น เต๊นท์อื่นๆ เขาตื่นแล้วเริ่มเดินขบวนกันไปที่ผาแล้ว เลยต้องรีบจัดแจงตัวเองตามเขาไปบ้าง งานนี้ได้ใช้เสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ สมใจอยากเพราะอากาศนอกเต๊นท์ต่างกับข้างในอย่างกะไม่ใช่พื้นที่เดียวกัน ถ้าไม่มีอุปกรณ์กันหนาวพวกนี้ สงสัยจะกลายเป็นไอติมไปก่อนถึงหน้าผาเป็นแน่แท้

เส้นทางที่ใช้ ก็ใช้เส้นทางเดิมที่เมื่อวานเดินไปนั่งหลับนกที่ลานวัดพระแก้ว ต่างกันที่คราวนี้ต้องเดินไปแบบมืดๆ ใครประสาทไม่แข็งก็ไม่มีทางวี้ดว้าย เพราะมีเพื่อนร่วมทางเยอะ....นอกจากว่า...เขาจะไม่ใช่เพื่อนร่วมทางที่เป็นคน เอิ้ก

เนื่องจากพระจันทร์ในช่วงนั้นยังคงมีแบตเหลือเต็ม เราจึงเดินภายใต้แสงจันทร์ไปได้เรื่อยๆโดยไม่เอ่ยปากบ่นไฟฉายกำลังน้อยที่พกไป อันที่จริงบรรยากาศก็โรแมนติคนะ ถ้าจะไม่ใช่ออกไปเดินตอนที่ตายังปิดๆอยู่

ยิ่งใกล้ผานกแอ่น คนก็ยิ่งมาก หน้าตาง่วงๆกันทั้งนั้น ดีที่คนที่มาถึงก่อนเขาจองนั่งแถวหน้าเลยกลายเป็นกำำแพงมนุษย์ชั้นดี ไม่ให้ไอ้พวกตาปรือที่มาที่หลังเดินลิ่วลงไปบินกับนกที่หน้าผา สังเกตได้ว่า แต่ละคนเมื่อมาถึง ต่างรีบจับจองที่นั่งกันชุลมุน ส่วนหนึ่งก็เพื่อมุมที่สวยงามยามพระอาทิตย์ขึ้น แต่ส่วนใหญ่ เพื่ออาศัยหลับต่อนั่นเอง

ดูเหมือนว่า นอกจากนักท่องเที่ยวที่มาเฝ้ารอจะหลับคอยแล้ว ตัวพระอาทิตย์เองก็ขี้เซาไม่น้อย กว่าจะบิดขี้เกียจขึ้นมาให้คนยลโฉมได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากกล้องของเราต้องสงวนแบตเพราะไม่มีที่ชาร์ต เลยถ่ายได้แค่ไม่กี่รูป สงวนแบตไว้ถ่ายวิวอื่นอีก เลยต้องปล่อยหน้าที่การยิงภาพพระอาิทิตย์ขึ้นให้วัชชี่กับน้องย้วยรับไป ซึ่งก็ทำได้ดีมาก ยิงไปเกือบร้อยภาพ เรียกว่า เอามาต่อๆกันคงฉายเป็นหนังสั้นได้เรื่องหนึ่ง



หลังจากตื่นกันเต็มที่ เอ้ย ชมความงามของแสงเงินแสงทองกันเต็มที่แล้ว ทุกคนก็มุ่งหน้ากลับเต๊นท์ตัวเองอีกครั้ง อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวแล้วก็ออกเที่ยว (คงไม่มีใครอาบน้ำตอนตีสี่แล้วค่อยมาดูพระอาิทตย์หรอกนะ)


ฮอบบิทขายาว เอิ้กๆๆๆ


โปรแกรมของวันนี้ จะเป็นวันของน้ำตก ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันของหน้าผา เส้นทางการเดินเท้าท่องเที่ยวบนภูกระดึงแบ่งได้สองรูปแบบข้างต้น คือน้ำตกกับหน้าผา นักท่องเที่ยวส่วนมาก จะรวบยอดสองโปรแกรมเข้าด้วยกัน หรือไม่ก็วันที่ขึ้นมาถึง ก็จะเดินไปเที่ยวหน้าผาแล้ววันรุ่งขึ้ันเที่ยวน้ำตก แต่พวกเราไม่ ไหนๆโดดงานโดดเรียนกันมาแล้ว ก็โดดให้มันยาวๆเลย เราก็เลยสามารถจัดโปรแกรมได้หรูหราเป็นคุณหนูเช่นนี้แล

น้ำตกบนภูกระดึงมีหลายแห่งด้วยกัน ทั้งในส่วนป่าปิด(ที่เข้าไปบ่ได้) และในส่วนที่เปิดเสรีให้นักท่องเที่ยวเดินชมได้เอง ก่อนที่จะมา อ่านจากหนังสือนำชม คลับคล้ายคลับคลาว่า แต่ละที่อลังการอู้ฟู้ เต็มไปด้วยน้ำใสไหลเย็นเห็นเมเปิ้ลลอย เราก็เลยเคลิ้มตามนั้น แล้วเราก็เริ่มบุกดงหญ้าสำรวจน้ำตกแห่งแรก น้ำตกวังกวาง

น้ำตกวังกวางเป็นน้ำตกขนาดย่อมๆที่อยู่ใกล้ที่พักมากที่สุด ว่ากันว่า จะมีกวางชอบมาเล่นน้ำ เอ้ย กินน้ำที่นี่ ระยะทางเดินก็ไม่ยาก แถมร่มรื่นอีกต่างหาก เราก็เลยเดินกันสวบๆหมายจะได้ยินเสียงน้ำตกชัดๆลอยมาให้ชื่นใจ

แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้ยินซะที

ก่อนที่คิดว่าจะหลงทาง เราก็มาเจอโขดหินแห่งหนึ่ง เป็นหินเล่นระดับงามตา กำลังสงสัยว่ามันคืออะไร ก็เห็นป้ายซะก่อนว่านี่คือ น้ำตกวังกวาง


รูปหมูหมู่ที่ "โขดหินวังกวาง"


งานนี้ ประจักษ์ชัดเลยว่า ภูกระดึงในวันที่เราไป มัน แล้ง จริง จริง ได้ยินเสียงเจ้าก่ายยยมารบ่นมาว่า อุทยานเขาลืมเปิดน้ำหรือเปล่า ไม่มีน้ำไหลเลยซะแหมะ ก็จริงของมันแฮะ บ่นถูกแล้วล่ะ

เมื่อสิ้่นหวังกับน้ำตกวังกวาง เราก็เลยบุกป่าฝ่าดงไปที่แห่งใหม่ ต้องเรียกว่าบุกป่าฝ่าดงหญ้าจริงๆ เพราะจากวังกวางไปถึงน้ำตกเพ็ญพบใหม่นั้น เดินไกลอยู่เหมือนกัน สองข้างทางก็มีแต่ต้นหญ้ากับต้นสน จนไม่แน่ใจว่า น้ำตกมันจะซ่อนตัวอยู่ตรงไหนเนี่ย



กว่าที่จะเหนื่อยกันมากไป เราก็มาถึงน้ำตกเพ็ญพบใหม่
ที่น้ำตกแห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นกลุ่มใหญ่ เหตุผลก็คงคล้ายๆกันแหละ คือ ผิดหวังจากวังกวาง เลยบ่ายหน้ามาที่นี่แทน น้ำก็ใสไหลเอื่อยๆ แถมที่เพ็ญพบใหม่ ยังมีต้นเมเปิ้ลที่กำลังเปลี่ยนสีรอเป็นนางแบบให้ถ่ายรูปอยู่ด้วยสิ ที่นี่เลยเป็นที่ชุมนุมของผู้คนบนภูกระดึงไปโดยปริยาย

การเจอสายน้ำเย็นๆที่เพ็ญพบใหม่ เลยทำให้เราใจชื้นขึ้นมากันหน่อยว่า มันก็ไม่ได้แล้งไปซะทีเดียวหรอกนะ เอิ้กๆๆๆ


เมเปิ้ลสีแดงลอยเื่อื่อยในแอ่งน้ำ ดูดีเหมือนในหนังสือนำชมเลย



O_______o' เบื้องหลังเมเปิ้ลลอยเือื่อย มันเป็นแบบนี้นี่เอง


ถัดจากเพ็ญพบใหม่ ก็เป็นน้ำตกโผนพบ ซึ่งกว่าจะไปถึงต้องป่ายปีนกันเล็กน้อยพอให้ขาสั่นเพราะความปวด ที่โผนพบนี้ มีตำนานเล่ว่า โผน กิ่งเพชร ยอดนักมวยของไทยมาฝึกซ้อมหมัดมวยแล้วเจอน้ำตกนี้ คุณโผนก็ช่างกระไร หาที่ซ้อมได้ไกลผู้ไกลคนจริงๆ -____--"

ตลอดทางที่เดินเที่ยว พวกเราก็ทำตัวเป็นพลเมืองดีด้วยการเก็บเศษขยะตามรายทางไปเรื่อยๆ รวมแล้วได้ถุงใหญ่อยู่เหมือนกัน ส่วนมากเป็นเปลือกลูกอม จริงๆแล้ว กินเสร็จก็เก็บกระดาษห่อไปด้วยก็ได้ ทิ้งไว้ทำไมไม่รู้ รู้เปล่า คนตามเก็บอ่ะ ปวดหลังนะเฟ้ย ก้มๆเงยๆตลอดทาง

แล้วก็มาถึงสถานที่ถ่ายรูปอันสุดสวย



ที่นี่ มีต้นไม้ใหญ่หักโค่นมาขวางทางน้ำเล็กๆ เหมือนเป็นสะพานธรรมชาติ เลยมีคนมารอต่อคิวถ่ายรูปกันเต็มไปหมด วัชชี่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่ดี ช่วยเป็นตากล้องให้คนอื่นหมดเลย แต่สำหรับทีมตัวเอง ไม่ต้อง เพราะเรามีขาตั้งกล้องมาเอง (เวลาเหนื่อยก็ใช้เป็นไม้เท้าไปในตัว) วิวนี้ กะกันไว้ว่า เว้นที่ตรงกลางไว้ แล้วพอวัชชี่ไปเดินเครื่องเปิดกล้อง ก็จะรีบวิ่งมาเทคตัวขึ้นมานั่งตรงกลางเด่นเป็นสง่าภายใน 10 วินาที

แผนการถูกเตรียมไว้ ท่ามกลางการลุ้นระทึกของผู้ร่วมทีมและคนที่จะมาต่อคิวถ่ายต่อ เดาเอาว่า เขาคงไม่ได้ลุ้นว่ามันจะขึ้นไหวรึเปล่าหรอก เขาคงกลัวว่าสะพานไม้ที่เล็งๆไว้จะหักเพราะเจ้านี่โดดมานั่งนี่เอง

พวกเรา 4 คนก็เช่นกัน

...และัแล้ว 10 วินาทีสำคัญก็เริ่มขึ้น...

วัชชี่กดเดินเครื่องกล้อง แล้วก็วิ่งๆๆๆมา พร้อมกับกระโดดเพื่อเทคตัวขึ้นนั่ง
ครั้งที่ 1 เขาไม่ผ่าน เวลาผ่านไป 3 วิ
ครั้งที่ 2 เขาก็ยังไม่ผ่าน เวลาผ่านไปอีก 3 วิ
ครั้งสุดท้าย เขาตัดสินใจยืนกอดอก พร้อมกับเสียงชัตเตอร์ลั่นแกร่ก และเสียงหัวเราะและเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของคนรอบข้าง
นึกแล้ว ยังขำไม่หาย กั่กๆๆๆๆ

การเดินทางช่วงที่เหลืออีกสองน้ำตก คือ น้ำตกเพ็ญพบกับน้ำตกถ้ำใหญ่ พวกเราเดินกันภายใต้เงาไม้ที่ร่วมรื่น เป็นคล้ายๆป่าดงดิบ บางจุดมีแสงสาดมา บางจุดก็เขียวครึ้มชุ่มชื้น จนมอสประเภทต่างๆขึ้นมาอวดความเขียวขจีทั่วไป ในระหว่างทางนี่เอง เราก็เจอต้นเมเปิ้ลทิ้งใบที่สวยที่สุด ความสวยของมันเริ่มจากใบที่ร่วงลงมากลางแดดอ่อนๆ สะท้อนให้สีแดงของใบดูโปร่งใสตัดกับสีเขียวของต้นไม้รอบข้าง ภาพของใบเมเปิ้ลที่ทิ้งตัวลงมานอนอยู่บนโขดหินสีเขียวเบื้องล่าง เป็นสิ่งที่ประทับใจจนยากที่จะเดินจากมา

ไม่ใช่ไรหรอก มันเริ่มเมื่อย + เหนื่อย และ หิวแย้วววว พูดให้โรแมนติคไปอย่างนั้นเอง เอิ้กๆๆ





ในที่สุด ความหิวก็อุทธรณ์ พวกเราก็เลยบ่ายหน้ากลับสู่ที่พักเพื่อมากินมื้อเที่ยงกันอย่างหิวโหยและระบม ระหว่างรออาหาร ก็บีบเคาน์เตอร์เพนออกมานั่งนวดขากันไปพลางๆ อาหารกลางวันมื้อนั้นจึงหอมปลอดโปร่งจมูกอย่างยิ่ง

ดูนาฬิกาแล้ว พวกเราทำเวลากันดีมาก ก่อนที่จะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกแถวๆริมหน้าผาเล่น เรามีเวลาที่จะพักฟื้นร่างกายกันหลายชั่วโมงอยู่ ว่าแล้ว วัชชี่กะเจ้าก่ายยย ก็จับจองเต๊นท์นอนกลางวันกันตามสบาย



ส่วนพวกสาวๆน่ะเหรอ
โน่นเลย ห้องน้ำ อาบน้ำมันตอนบ่ายสามนี่แหละจะได้สระผมได้ แดดอุ่นๆสาดมาให้ห้องน้ำพอให้ใช้ผิงมือได้ แต่น้ำเย็นเฉียบ งานตนี้ไม่มีใครแย่งคิวห้องน้ำด้วย สบายใจจริงๆ




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2548
18 comments
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2548 21:02:07 น.
Counter : 487 Pageviews.

 

ตอนที่กลับมานั้น เจ้าสองคนนั่นยังไม่ตื่นเลย ผลก็คือ มีรูปถ่ายมาฟ้องอย่างที่เห็น มีเรื่องขำเรื่องหนึ่ง ตอนที่สมาชิกทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางรอบเย็น พี่ที่อยูเต้นท์ตรงข้าม เขาถึงกับทำท่าประหลาดใจ (ก็คงประหลาดใจจริงแหละ) เพราะเขาเพิ่งเห็นชัดๆว่าเต๊นท์เราน่ะ อัดกันไปกี่คน จำได้เลาๆว่า เหมือนพี่เขาจะถามนะว่า น้องอัด เอ้ย นอนกันไปหมดเหรอ

แหม พี่ก็ พวกหนูตัวเล้ก เล็ก

กิจกรรมยามเย็นของวันนี้คือไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผานาน้อย ซึ่งเส้นทางที่ใช้ต้องผ่านสระแก้ว ที่น่าจะมีน้ำเจิ่งนอง ซึ่งเอาเข้าจริงก็เช่นเดิม พวกเราเดินผ่านแอ่งน้ำย่อมๆแอ่งหนึ่ง แล้วก็มองหาสระแก้วกันตลอดทาง จนมาถึงที่หน้าผานั่นแหละ เลยแน่ใจกันว่า เจ้าแอ่งน้ำดังกล่าว คงจะเป็นสระแก้วตามที่บอกไว้ในแผนที่



เส้นทางจากลานพระพุทธเมตตาไปยังสระแก้วและผานาน้อยนั้น เป็นทุ่งหญ้ากว้าง มองไปเห็นต้นสนไกลๆ เราชอบวิวแบบนี้นะ มันดูโล่งสบายใจ ยิ่งใกล้พระอาทิตย์จะตกดิน แสงยิ่งสวย แดดยามบ่ายทำให้ทุ่งหญ้าแห้งๆเพราะความแล้ง กลายเป็นสีทองอร่ามไปในทันควัน





ที่ผานาน้อยวันนั้น ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเลย คาดว่าคงจะไปรวมกันที่ผาหมากดูกหรือผาหล่มสักกันหมด เราเลยยึดผานาน้อยเป็นของเราไป การได้ทอดสายตาดูแผ่นดินเบื้องล่าง ที่มีแต่ดงไม้สีเขียว นานๆจะเห็นควันไฟลอยมจากหมู่บ้านบ่งบอกถึงเวลาอาหารเย็นของครอบครัว พร้อมๆไปกับนั่งกินไข่ปิ้งอุ่นๆ ไส้กรอกย่างอร่อยๆ นับว่าเป็นความสุขสงบโดยแท้

ยิ่งเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับทิวเมฆลงไป มันเป็นความสงบที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด

ขากลับ เราเลือกเดินมาตามเส้นเลียบหน้าผามายังผาหมากดูด ซึ่งที่นี่ นักท่องเที่ยวยังอยู่กันเต็มเพื่อชมแสงสีม่วงสุดท้าย ร้านรวงต่างๆเริ่มจุดไฟในเตาเพื่อผิงไฟไล่หนาว



ขากลับที่พัก เราเดินกินฝุ่นมาตามทางสายผาหมากดูก-ที่ทำทาร ไม่มากไม่มาย 2 กิโลเท่านั้นเอง สองข้างทางมืดสนิทจนไฟฉายพลังเอื่อยกลับดูมีแสงเจิดจ้าขึ้นมาอย่างกระทันหัน การเดินในยามกลางคืน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการสะดุดรากไม้ ดังนั้น ถึงดาวจะเกลื่อนท้องฟ้า เราก็จำต้องก้มหน้าดูดินเป็นระยะๆ

ความมืดมิดในวันนั้น มืดสนิทจริงๆ จนดาวบนฟ้ากระจ่างใสกว่าที่เราเห็นในชีวิตประจำวัน แม้จะมีวัชชี่เป็นที่พึ่งคอยบอกชื่อกลุ่มดาว แต่เอาเข้าจริงเราก็มองกันเป็นแค่กลุ่มดาวเต่าดาวไถกันตามเดิม บางช่วงของเส้นทาง หิ่งห้อยเรืองแสงสีเขียวก็จะบินมาทักทายเป็นระยะๆ ให้เราช่วยกันเดาเล่นว่ามันจะร่อนลงไปเกาะตรงไหน ราวกับว่า ดาวบนฟ้าจะรู้ใจ ส่งหิ่งห้อยให้เรามาดูเล่นแทน



 

โดย: ป้ากิมจู (Meliot Baggins ) 28 พฤศจิกายน 2548 21:22:25 น.  

 

นี่ตอนที่ไป ป้าแอบพกไดอารี่ไปเขียนหรือเปล่าเนี่ย
ทำไมเก็บรายละเอียดได้ดีจริงๆ

ปล. รูปวาดสวยดี แต่ตัวเล็กไปหน่อย อ่านไม่ค่อยเห็น

 

โดย: ก่ายยย... 28 พฤศจิกายน 2548 21:58:25 น.  

 

^
^
ไม่รู้อะไร ป้ากิมจูเขียนบันทึกระบายอารมณ์ในไดอารี่เกือบทุกคืน

"ไดอารี่จ๋า วันนี้กิมจู..."

วันไหนไม่สามารถเขียนได้ ป้าก็จำเอาไว้แล้วค่อยกลับมาเขียน แบบว่าหน่วยความจำเป็นเลิศ คอมพิวเตอร์รุ่นไหนก็สู้ไม่ได้อ่ะ

 

โดย: กระต่ายน้อยง่วงนอน IP: 202.28.181.7 28 พฤศจิกายน 2548 23:40:50 น.  

 

^
^
^
เขียนไดอารีทุกวันก็จริง แต่ตอนไปภูกระดึงไม่ได้เขียนอ่ะ แบบว่าเหนื่อยเฟ้ย

อ้อ...เราไม่เคยขึ้นต้นไดอารีว่า ไดอารีจ๋า นะจ๊ะ ประโยคถนัดก็คือ เซ็งจังเฟ้ยวันนี้...

 

โดย: กจ (Meliot Baggins ) 29 พฤศจิกายน 2548 21:23:01 น.  

 

29 พย 47

วันนี้ เราไม่ต้องรีบตื่นเพราะวิวบังคับพระอาิทิตย์ขึ้น เราดูกันไปตั้งแต่เช้าวาน เพราะฉะนั้น เช้านี้ นอนไปเรื่อยๆ แดดแยงตาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

เช้านี้ภูกระดึงเริ่มว่างคน อย่างที่บอก คนส่วนมากเขาลางานมาได้น้อยกว่าเรา เพราะฉะนั้นวันนี้ ส่วนมากก็รีบเก็บข้าวของลงภูกันไป แต่พวกเราไม่ แล้วเราก็ยังมีโปรแกรมต้องทำกันต่อด้วยนั่นก็คือ การสำรวจวิวตามหน้าผาต่างๆ

เส้นทางที่เลือกวันนี้ ตั้งใจเลาะหน้าผาจริงๆ แต่เลาะตอนกลับ ขาไปจะไปทางสายในเพื่อไปดูสระอโนดาตกับน้ำตกถ้ำสอเหนือกันก่อนที่จะไปผาหล่มสักวิวบังคับอีกที่ของภูกระดึง

สระอโนดาตอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 1 กม เดินไปเรื่อยๆ แต่แดดวันนี้ค่อนข้่างแรง แล้วทางเดินก็โล่งๆ เพราะฉะนั้น นอกจากต้องพึ่งเคาน์เตอร์เพน คูล แ้ล้ว ซันบล็อกก็ต้องงัดมาใช้ด้วยอีกหนึ่งขนาน คือ รู้ตัวว่าดำ ไม่อยากดำซ้ำดำซาก

กว่าจะถึงสระอโนดาต ก็ลิ้นห้อยพอดี สระอโนดาตวันนี้น้ำน้อยไปนิด แต่พวกเราไม่ค่อยตกใจแล้ว เพราะขนาดน้ำตกยังเป็นโขดหินได้ สระอโนดาตจะเหลือแค่แอ่งน้ำ ก็ไม่เท่าไหร่แล้ว เอิ้กๆๆๆ


กินนอน เอ้ย กินนรและกินรียุค2004 เล่นน้ำที่สระอโนดาต


แต่ถึงจะเป็นที่โล่ง แต่ไม่น่าเชื่อ ช่วงหนึ่งของเส้นทางมีป่าดงดิบขวางหน้า O_____o" ดงดิบจริงๆนะ คือ เป็น ป่า ป้า ป่า อ่ะ เป็นเหมือนม่านมากั้นเรา พอเดินผ่านม่านป่านั้นออกไป เราก็สู่ที่โล่งตามเดิม

แปลกดีแท้น้อ


ป่าดงดิบตัดหน้า


จากสระอโนดาต เราก็เดินๆๆๆๆอีกแค่ 1.9 กม -____--" ก็มาถึงน้ำตกถ้ำสอเหนือ แน่นอน มันคือ โขคหินถ้ำสอเหนือ แต่ยังดีที่มีพืชจำพวกมอสเขียวชอุ่ม พวกเราเลือกที่จะนั่งผ่อนอารมณ์กันบนคบไม้ใหญ่เหนือน้ำตก พูดคุยกันเรื่องที่พรุ่งนี้ต้องผจญภัยปีนลงภู ปล่อยให้วัชชี่แบกขอตั้งกล้องลงไปถ่ายน้ำตกเพียงลำพังผู้เดียว ก็เลยมีแต่กล้องวัชชี่เท่านั้น ที่มีภาพโขดหิน เอ้ย น้ำตกถ้ำสอเหนือ

ตอนที่ออกเดินทางจากน้ำตกมา พวกเราก็กระปลกกระเปลี้ยกันพอควร หิวก็หิว แดดก็ร้อน แบกขยะมาหนักอีก (อาสาสมัครเก็บขยะจ้ะ คนดี คนดี) ที่หนักก็เพราะว่า วันนี้เจอขยะชิ้นใหญ่แยะ จำพวกขวดน้ำก็มาก เห็นถุงขยะแล้ว เริ่มไม่แน่ใจว่า จะแบกลงภูยังไง เพราะลำพังแบกสังขารลงไปก็แย่แล้ว

วัชชี่เป็นคนแสนอว่า เลยจากน้ำตกถ้ำสอเหนือไป จะมีสถานีถ่ายทอดโทรคมนาคม ที่นั่นมีร้านน้ำวิวสวยๆให้เราได้นั่งตากลมกินเป๊บซี่กันเย็นๆหวานๆ แต่............... แต่เราต้องเดินขึ้นไปจากทางแยกที่เราจะไปผาหล่มสักอีกสักหน่อย บวกลบคูณหารแล้ว เอาก็เอาฟระ อยากกินน้ำหวานเลยเดินตามวัชชี่ไป โดยมีจุดมุ่งหมายคือเสาสัญญาณอันสูงเด่นเป็นสง่าเป็นจุดหมาย

แล้วเมื่อไปถึง..........

"ไหนล่ะร้านค้า?"
"ทำไมเขาเขียนว่า บุคคลภายนอกห้ามเข้าล่ะ?"
"แน่ใจนะเฟ้ยย ว่าคราวก่อนมานั่งกินน้ำที่นี่กะแฟนอ่ะ?"

ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่เราได้ยินมาจากวัชชี่ กับความเป็นจริงมันพลิกผัน สถานีถ่ายทอดวันนี้ไม่มีร้านน้ำวิวเด็ด ดีหน่อยที่พี่เจ้าหน้าที่เขาคงเวทนา เอ้ย สงสารพวกเราที่เดินมาตั้งไกลแล้วยังแบกขยะมาตั้งถุงเบ้อเริ่ม พี่เขาก็เลยให้พวกเราเข้าห้องน้ำ มีน้ำเย็นๆให้ แล้วก็เอื้อเฟื้อให้ทิ้งขยะที่สถานีได้ จะได้ไม่ต้องแบกไปอีก ถึงจะเสียดายจำนวนขยะที่จะแบกไปชั่งที่ตีนภู แต่คิดๆแล้ว อย่าแบกมันต่อเลย ถ้าเป็นอาหารอร่อยๆก็ค่อยน่าแบกหน่อย แต่นี่มันขยะอ่ะ ว่าแล้ว ก็ทิ้งที่ถังขยะของพี่เขาดีกว่า

หลังจากเรียกพลังได้ส่วนหนึ่ง เราก็เดินทางกันต่อมาที่ผาหล่มสัก หน้าผานี้ คือภาพบังคับของภูกระดึง ใครที่คิดถึงภูกระดึง ต้องคิดถึงภาพของหน้าผาที่มีก้อนหินวางหมิ่นๆริมผา มีต้นสนทอดกิ่งเอนๆอยู่ข้างบน เกือบทุกคนที่มา ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนพระอาทิตย์ตก เขาว่ากันว่า มันคือจุดชมวิวที่ถ่ายรูปแล้วสวยสุด เราเองก็อยากจะเห็นเลยกัดฟันเดินมาที่ผาหล่มสัก แต่พอมาถึง เราก็เล่นตัวไม่วิ่งไปถ่ายรูปอะไรกะเขาหรอก นั่งแปะที่ร้านข้าวก่อนเลย แล้วก็สั่งๆๆๆ กินๆๆๆๆ กับข้าวยังไม่มา ก็เดินไปสั่งไข่ปิ้ง ไส้กรอกย่าง ไอติมกะทิกินก่อนเลย

ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ หล่มสัก ตอนนี้กับข้าวสวยกว่าจ้ะ

กินกันจนอิ่มหมีพีมันอ้วนพี ก็ค่อยๆเคลื่อนกายไปที่หน้าผา วันนี้ฟ้าไม่เป็นใจ แค่ครึ่งวัน ฟ้าก็ปิดสนิท (หลายคนยังแอบหวังว่าตอนเย็นฟ้าจะเปิด) แต่ถึงจะฟ้าปิดอย่างไร ผาหล่มสักก็ยังไม่สิ้นเสน่ห์ ยังมีคนมารอต่อคิวถ่ายรูปทั้งๆที่แสงไม่มีอยู่เป็นคิวยาว เราก็ไปยืนๆมองๆอยู่สักพัก แล้วเราก็ถ่ายรูปบ้าง แต่กับก้อนหินอีกก้อนที่อยู่ตรงข้าม ไม่ไปถ่ายไอ้ก้อนทอปฮิตนั่นหรอกอ่ะ คิวยาวววววว แล้วเราก็จากมา

เมื่อคำนวณแล้วว่า ฟ้าคงปิดไปจนเย็นแน่ๆ เราก็เลยกะการกันว่า เดินเลาะผาไปทางเส้นทางกลับดีกว่า ไปผาอื่นๆต่อ ถ้าโชคดีฟ้าเปิด เราก็คงได้คูพระอาทิตย์ตกที่ผาใกล้ๆที่พัก ดีกว่า รอที่หล่มสักไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ฟ้าจะเปิดหรือปิด เมื่อวางแผนได้ดังนี้ เราก็มุ่งหน้าเดินสวนทางกะคนอื่นๆ

ที่ว่าสวนทางกะคนอื่น สวนจริงๆ คือทุกคนมุ่งมาผาหล่มสักกันหมดเลย แต่เราย้อนขึ้น เอิ้กๆๆๆ เขาก็มองเราอย่างสงสัย เราก็มองตอบไปแบบไม่รู้ไม่ชี้ แต่นึกในใจว่า ไปเลยๆๆๆ ฟ้าปิดๆๆๆๆ

เส้นทางเลียบหน้าผาของภูกระดึงนับได้ว่ามีอะไรให้ดูมากมายไม่แพ้เส้นทางสายน้ำตก เนื่องจากเราเดินย้อนศร เอ้ย ย้อนกลับไปทางที่ทำการ ขวามือของเราก็คือหน้าผาโล่ง ส่วนซ้ายมือก็เป็นทุ่งหญ้า ที่มีต้นไม้แปลกๆแอบซ่อนให้เราแวะหยุดดูเป็นระยะๆ


พันธุ์ไม้โหด กินแมลงเป็นอาหาร


ต้่นไม้ที่เราเจอตลอดทางก็คือ ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงกับหยาดน้ำค้างหรือจอกบ่วาย ต้นหม้อข้าวฯ ที่เราเจอ มีตั้งแต่แบบอวบอึ๋ม ไปจนถึงแบบเหี่ยวแห้ง ตามประสาสาวซนแก่นเซี้ยว เลยไปดูในหม้อซะหน่อยว่า ไอ้ที่เขาว่ากันว่า มีแมลงตกลงไปแล้วโดนย่อยอ่ะจริงๆแท้แค่ไหน ผลก็คือ จริงแฮะ มีแกงแมลงเต็มหม้อเลย ส่วนหยาดน้ำค้างหรือจอกบ่วาย(ชื่อชาวบ้าน) เป็นไม้โหดสุดสวย ลักษณะของใบจะเหมือนดอกไม้ร่วงแปะบนดิน มีกลีบสีเขียวอ่อน บางดอก เอ้ย บางต้น มีสีแดงเรื่อๆที่ปลายๆ บางใบก็แดงสดสวยดี แต่ที่โดดเด่นก็คือ ปลายใบจะมีตุ่มน้ำเหนียวๆ ดูเหมือนหยดน้ำค้างติดอยู่ตามขนปลายใบ เจ้าหยดน้ำนี่แหละที่ทำหน้าที่เป็นกาวยู้ฮูคอยดักเจ้าแมงชะตาขาดให้ติดหนึบๆคาใบ แล้วก็จะโดนย่อยๆๆๆกลายเป็นอาหารของต้นไม้ต่อไป

ชอบจังเลย โหดดี

สาเหตุที่ต้นไม้พวกนี้ต้องโหดขนาดนั้นก็เพราะว่า มันขึ้นอยู่บนดินทรายที่ขาดแร่ธาตุที่จำเป็น ตามกฎของดาร์วินส์ (มั้ง) มันก็เลยต้องวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอด หาไม่ได้จากดิน ตูก็หาจากพวกแมลงที่บินๆอยู่ก็แล้วกัน เอิ้กๆๆๆ อยู่มาได้ตั้งแต่สมัยไดโนเสาร์วิ่งจีบกัน โดนเรากินนิดๆหน่อยๆ คงไม่สูญพันธุ์หรอกมั้ง....อันนี้ เราคิดแทนพวกพืชโหดนะ คิดว่า มันก็คงคิดแบบนี้แหละ คนโหด ย่อมเข้าใจต้นไม้โหด



แต่ภูกระดึง ก็ไม่ได้มีแค่ไม้โหด ไม้งามๆก็มีแยะเหมือนกัน แต่จะเป็นไปตามฤดูกาล ถ้ามาหน้าฝนก็จะเจอทุ่งกระเจียว แต่สำหรับพวกเราที่มาหน้าแล้ง ก็เจอดอกไม้ประเภทอีอึด ทนแล้ง ทนหิว ดอกไม้พวกนี้ บางต้นก็เล็กมากๆๆๆๆ ต้องค่อยๆสังเกต อย่างดอกหรีดเป็นต้น ภาพที่เขาถ่ายมาลง พี่แกเล่นถ่ายมาโคร พอมาดูของจริงมองหาแทบตาย ดอกเล็กเท่าปลายก้อย -___--" แต่พวกกระดุมเงินจะเห็นง่าย เพราะจะขึ้นเป็นดง

ไอ้เจ้ากระดุมเงินนี่แหละ ที่ทำให้เราต้องเดินมากกว่าคนอื่นอีกตั้งเกือบรอ สาเหตุมาจาก วัชชี่อยากจะถ่ายดอกกระดุมเงิน แต่ไอ้ดงที่ไปถ่ายอ่ะ แสงหมด เลยตัดใจเดินมาที่ผาเหยียบเมฆเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตก และแล้วในทันใด แสงมันก็มา ฟ้าก็เปิด วัชชี่ก็คิดได้ว่า ไอ้ดงตรงนั้น แสงมันต้องงามแน่ๆ ว่าแล้ว ก็ชวนให้วิ่งไปถ่าย แล้วก็วิ่งกลับ เพื่อที่จะได้มาทันพระอาทิตย์ตก

ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ว่าวันนั้นตูจะวิ่งไปกับมันทำไม จะว่าวิื่่งก็ไม่เชิง เดินไปเรื่อยๆ ปล่อยให้วัชชี่วิ่งไป พอไปถึงก็ถ่ายเสร็จ ก็ปล่อยมันวิ่งกลับ เราก็เดิน ไป เรื่อย เืรื่อย เอื่อย เอื่อย ตามประสาหมูหมดแรง


สนสีทองยามที่ฟ้าเปิด


เราตัดสินใจที่จะหยุดความล้ากันที่ผาเหยียบเมฆ (ใช่เปล่า วัชชี่? ถ้าผิดมาท้วงด้วย ลืมอ่ะ) ตอนที่เดินกลับมาจากการถูกลากไปถ่ายกระดุมเงิน สมาชิกคนอื่นๆก็ไปหาของกินเตรียมไว้แล้ว เมนูท้าลมหนาวหน้าผาเย็นนี้ก็คือ ข้าวโพดกะมันต้ม

นอกจากพวกเรา 5 ชีวิตอ้วนๆที่มารอดูพระอาทิตย์ตกที่ผานี้แล้ว ยังมีพี่ชายหญิงคู่หนึ่งมารอดูด้วย เห็นแล้วน่าอิจฉา มาเดทกันที่ภูกระดึง ตาร้อนๆๆๆๆ แน่นอนว่า หน้าที่ในการถ่ายภาพก็ปล่อยให้เป็นของวัชชี่กะเจ้าก่ายพลังหนุ่มต่อไป เราสาวๆนั่งกินของกินไปเรื่อยๆ

สายลมหน้าผาเย็นเฉียบจริงๆ คิดๆกันว่า จากผาเหยียบเมฆเดินกว่าจะถึงที่พักไม่รู้จะมืดจะหนาวอีกแค่ไหน เพราะขนาดข้าวโพดกะมันต้มที่อุ่นๆอยู่ตะกี้ เพียงชั่วอึดใจ มันก็กลายเป็นไอติมข้าวโพดกันมันม่วงไปแล้ว ไม่ต้องนึกถึงการอาบน้ำวันนี้เลย อาบท่ามกลางแสงดาวแน่ๆ


ทิวเขาและแนวป่าเบื้องล่าง มองลงมาจากผาเหยียบเมฆ ส่วนภาพจริงเป็นวิว 180 องศา ต้องไปนั่งตรงนั้นเอง แล้วจะรู้ถึงความงามของสีสรรตามธรรมชาติ


พอพระอาทิตย์เคลื่อนตัวลงต่ำ เราก็เคลื่อนตัวเผ่นกลับที่พักทันที วันนี้ระยะทางขากลับไกลกว่าเมื่อวานเท่าตัว จากผาเหยียบเมฆเราต้องเดินอีก 2 กม จึงจะถึงผานาน้อยที่เรานั่งตอกไข่ปิ้งกันเมื่อวาน เดินอีก 1.2 กม จึงจะถึงผาหมากดูก แล้วก็เดินอีก 2 กม จึงจะถึงที่พัก รวมเบ็ดเสร็จ เราต้องเดิน5.2 กม จากผาเหยียบเมฆถึงที่พัก เอิ้กๆๆๆๆ

ช่วงที่เดินเลาะหน้าผายากสุด เพราะคนก็ไม่มี ไฟจากไฟฉายก็อ่อนแรงเรียกว่า เกือบไม่มี เวลาเดินต้องระวังรากไม้ไปด้วย ระวังพื้นดินต่ำสูงไปด้วย พี่ที่ดูอาทิตย์ตกด้วยกัน เขาก็เดินกลับมาด้วยอาการกระหนุงกระหนิง น่าอิจฉารอบสอง

อาจจะเพราะความหนาว ความหิว ความเมื่อย ทำให้วันนี้เราทำสถิติของเส้นทางผาหมากดูกถึงที่พักได้ดีกว่าเดิมถึงเท่าตัว แต่สาเหตุที่ทำให้เราทะยานได้เร็วแบบนี้ ที่มากกว่าความหนาวความหิวก็คือ "งู"

ทีแรก ก็เดินชมดาวไปเรื่อยๆดีอยู่หรอก เราเดินกะบ็อบๆสองคนข้งหน้า วัชชี่ ย้วย ก่ายยย กะพี่อีกสองคนตามหลัง และแล้ว...พอเราเดินผ่านไป เสียงดังตุ้บ ก็หล่นตามมาด้านหลัง พร้อมๆกับเสียงตุ้บ ไฟฉายของพี่ที่เดินทาด้วยก็สว่างวาบ (ไฟเขาแรงกว่าไฟฉายของพวกเรา)

"เฮ้ยย งู นี่ งูตกมาจากต้นไม้"

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

"นี่มันงูพิษด้วยนี่ งูไรอ่ะๆๆๆๆ"

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่ดูมันแล้วดาวเดือน หิ่งห้อยก็ไม่ดู ดูทางกะดูงูเป็นพอ

จนกระทั่งเห็นแสงไฟจากลานที่พักนั่นแหละ ที่ความเครียดของเราเริ่มผ่อนคลาย แง่ง ตกตงไหนไม่ตก ตกตอนคนเดิน ดีนะนั่น ที่มันไม่ตกมาพันคอเป็นพระศิวะ คิดแล้วหยอง

ค่ำนี้ เราเลยอาบน้ำกันใต้แดงดาวจริงๆ อาบไปดูดาวไป กลุ่มไหนไม่รู้หรอก เอาเป็นว่ารู้จักดาวไถเป็นพอ แข้งขาระบมหนัก เล็บก็พองจากการเดินมาก ขาก็ตึง เต๊นท์ของเราวันนี้ก็หอมสดชื่นด้วยกลิ่นของเคาน์เตอร์เพนอีกตามเคย

แต่คืนนี้ เราไม่ได้นอนท่าตุตันคาเมนกันอีกแล้ว เราเพิ่งมาค้นพบเอาก่อนกลับว่า นอนสลับฟันปลาสิ พื้นที่โล่งขึ้นตั้งแยะ ดีนะเนี่ย ที่ไม่คิดออกตอนลงมาจากภูแล้ว

คืนนี้ มีนัดดูดาวกันตอนตีสอง แล้วฉันจะตื่นมาได้มั้ยเนี่ยยยยยยย

 

โดย: Meliot Baggins 29 พฤศจิกายน 2548 23:00:48 น.  

 

>ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ หล่มสัก ตอนนี้กับข้าวสวยกว่าจ้ะ

ประโยคนี้... เห็นภาพจริงๆครับ
มาถึงก็กินไอติมก่อนเลย เพราะทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย
และกว่าข้าวจะเสร็จ ก็กินไอติมไปพลางๆก่อน

ผาเหยียบเมฆ ถูกแล้วนะครับ
พี่สองคนนั้นมาจากนครนายกหรือไงเนี่ยแหละ
กล้อง sony ของพี่เขาก็ถ่านใกล้จะหมดอีกต่างหาก
(ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะ ก็เป็นคนถ่ายรูปให้เขานี่)

พี่ลืมอะไรไปอย่างนึงป่าวอ่ะ
กวางตัวไหนสักตัวอ้ะ คืนไหนสักคืนนึง ที่มันแอบมากินขยะในถุง

 

โดย: ก่ายยย... 29 พฤศจิกายน 2548 23:29:20 น.  

 

อยากปีนภู อยากสัมผัสสายลมหนาวบนภู อยากนอนดูดาวนับดาวบนภู อยากดูดวงอาทิตย์ขึ้นบนภู อยากผจญภัยบนภู
.
.
แต่จะมีใครบ้างหนออยากไปกับเรา

 

โดย: กระต่ายน้อยอยากปีนภู IP: 202.28.181.7 29 พฤศจิกายน 2548 23:36:58 น.  

 

พี่ต่ายเขียนแบบนี้ ล่อให้ใครมาตอบ?

 

โดย: พจ IP: 61.91.198.23 30 พฤศจิกายน 2548 8:55:08 น.  

 

อ่านแล้วเห็นภาพ (แหงสิ ก้อมีภาพประกอบนี่หว่า) น่าไปสัมผัสความหนาวมั่งจัง

 

โดย: ฮก IP: 161.246.1.35 30 พฤศจิกายน 2548 12:55:23 น.  

 

30 พย 47



วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่บนภูกระดึงกันแล้ว แล้วก็ครบรอบ 1 ปี ที่ได้เจอกับเพื่อนกลุ่มฮอบบิทตะลอนทัวร์ด้วย เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ

เช้านี้เราตื่นกันสายมากๆ เนื่องจากเมื่อคืนมีนัดดูดาว (หน้าเต๊นท์) ตอนตีสอง แล้วก็ไม่มีใครคิดจะดูกันหรอก คิดจะนอนมากกว่า แต่เพื่อไม่ให้เสียศรัทธาวัชชี่ที่แบกหนังสือดูดาวมาด้วย เลยหอบผ้านวมที่มีมากมานั่งห่อตัวจนเหมือนซาลาเปาไส้หมูหน้าเต๊นท์ โดยมีวัชชี่เป็นไกด์มองหาดาว

มองไปมองมา ก็ไม่ได้อะไรมากกว่าดาวเต่าเช่นเดิม เลยตัดสินใจได้ว่า กลับไปดูที่ท้องฟาจำลองดีกว่า เอิ้กๆๆๆๆ ว่าแล้ว เราก็คลานกลับไปนอนสลับฟันปลากันตามเดิม

ชีวิตกลางคืนบนภู เรียบง่ายไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเขย่าขวัญอย่างที่เคยแว่วๆมา(บ้าง) มีบ้างบางเวลาที่เราจะได้ยินเสียงหมาหอน แต่ก็เป็นหมาป่าหรือหมาใน แต่เนื่องจากคนมาอยู่กันแยะขนาดนี้ มันคงไม่คิดบุกเข้ามาหรอก จะมีก็แต่พวกกวางลูกหลานเหลนโหลนเพื่อนพ้องนังคำหลัา ที่เดินกันอย่างสง่างามไม่เกรงกลัวผู้คน แถมถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง เดินๆไปต้องระวังขี้กวางไป แถมเจ้าพวกกวางพวกนี้เอง ที่นำทากมาปล่อยให้คนในที่ทำการได้โรยปูนขาวแทนแป้ง เพราะทากจะดูดเลือดกวาง พออิ่มก็จะดีดตัวลงตามพื้นหญ้า พอหิวก็ดีดตัวหาคน (ทำไมไม่กลับไปหากวางฟระ ความจำสั้นจริงๆ)

ชีวิตของกวางที่ใกล้คนนี่เอง ทำให้คนมีเรื่องกับกวางบ่อยครั้ง

กลางดึกคืนหนึ่ง (ต้องใช้คืนหนึ่ง เพราะไม่รู้คืนไหนในสามคืน เอิ้กๆๆๆ ) บ็อบๆอยากไปห้องน้ำกลางดึก ด้วยความที่เป็นปลาทองเพชรฆาต และเพื่อนๆก็มั่นใจในความน่ากลัวของบ็อบๆ เลยปล่อยให้ไปคนเดียว แวบเดียว บ็อบๆก็กลับมาเล่าด้วยความตื่นเต้นว่า ระหว่างทางเดินไปห้องน้ำ ฟ้าก็มืด ไฟก็ไม่มี มีแต่แสงไฟฉายสลัวๆๆ บ็อบๆ ก็เจอ เจอ เจอ เจอ...............

เจอกวางวิ่งตัดหน้า แบบระยะกระชั้นชิด วิ่งแบบกระโดดเผ่นแผล็ว คาดว่า มันคงมาแอบหาของกินตามถังขยะ แล้วดันโชคร้าย เจอบ็อบๆมาเห็นเข้าเลยอาย เพราะตัวเองเป็นกวาง บ่จ้ายยยพุเดิล

ส่วนในคืนสุดท้าย เราก็เจอดี....

ระัหว่างที่กำลังเคลิ้มๆหลับ ฝันว่าได้เตะหมูดุดกับไก่ที่อยู่ปลายขา อยู่ๆเต๊นท์ก็สั่นๆๆๆๆๆ มีแสงแกรกกรากๆๆ พร้อมๆกับย้วยลุกพรวดขึ้นมาโวยวาย ว่าใครมาลองดี ฉายไฟออกไปนอกเต๊นท์ ก็พบลูกตาคู่หนึ่งโชนแสงแดงวาบกลับมา

ใช่แล้ว มันคือกวางน้อยพุเดิลนั่นเอง คราวนี้ มันเหิมเกริมมาขโมยขยะในถุงของเราถึงถิ่น นัยว่า ขยะที่พวกเราสะสมมาตามทางคงยั่วใจมันมาก จนต้องแปลงร่างจากกวางป่า มาเป็นกวางเอ๋ง จะไม่ยั่วใจได้ยังไง ในถุงขยะของเรามีซังข้าวโพดกะเศษมันที่แข็งเหมือนไอติมรวมอยู่ด้วย (ได้มาจากไหน ย้อนกลับไปอ่านเรื่องข้างบนนะจ๊ะ)

หลังจากแน่ใจแล้วว่า กวางเอ๋งมันจะไม่บุกเต๊นท์ของพวกเราโทษฐานโวยวายตอนมันย่องมาขโมย เราก็เลยออกไปดูความเสียหาย พบว่า ขยะที่เราบรรจงรวบรวมไว้กะทุบสถิติที่เครื่องชั่ง กระจัดกระจายหายไปหลายชิ้น จำไว้เลยไอ้กวางเอ๋ง ด้วยเหตุที่มีเรื่องระทึกมาขัดตอนการนอน เราก็เลยตื่นสายอย่างที่บอก

เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อบอกเหตุผลการตื่นสายนั่นเอง

บิดขี้เกียจพอเป็นกระสาย ล้างหน้ากินข้าว ซื้อของที่ระลึกที่หมายตามาหลายวันจนหมดตัวเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาเก็บของกลับบ้านแล้ว


มือขยันเก็บเต๊นท์ มือขี้เกียจยืนถ่ายรูปคนเก็บเต๊นท์


เนื่องจากการลงจากภูเป็นสิ่งทีต้องใช้เวลามากเช่นเดียวกะขาขึ้น เผื่อเวลาตามเก็บเพื่อนที่กลิ้งมาด้วย เราก็เลยต้องบอกลาภูกระดึงกันตั้งแต่สายๆ แบกเป้ไปให้ลูกหาบช่วย ส่วนถุงขยะถือต่อ แต่เปลี่ยนเวียนไปตามวาระ ขืนถือคนเดียวได้แอบเทขยะทิ้งตามทางแน่ๆ

ขาลงจากภูเราต้องพึ่งไม้เท้าวิเศษยิ่งกว่าขามา เพราะการลงภูเขาที่ชันๆ จำเป็นต้องเซฟเข่าให้ดี ไม่งั้นระบมแน่ๆ เพราะเราต้องเดินลง ข้อเท้ากะเข่าต้องรับน้ำหนัก(อึ๋มๆ)ค่อนข้างมาก ไม้เท้าจะกลายมาเป็นเครื่องผ่อนน้ำหนักให้ได้ ตอนที่เดินไปหลังแป มีเสียงนกกระจอกแซวมาว่่า "อุ้ย ดูสิ คนแก่ใช้ไม้่เท้าด้วย!" ฟังแล้ว อยากแปลงร่างเป็นอั้งชิกกง ใช้ท่าไม้พลองตีนกให้รู้แล้วรู้รอดไป นอกจากนั้น มันยังแซวไม่เลิก ลามปามมาถึงถุงขยะที่แบกมาอีก ไม่เก็บลงมาก็อย่าพูดมาก เดี๋ยวไม้พลองจะได้ทำงานอีกหนึ่งเพลงมวย

เพราะไอ้กลุ่มนกกระจอกนี่แหละ ที่ทำให้พวกเราทะยานลงภูด้วยความไวสูงสุด เท่าที่ซานต้าแบกถุงขยะ เอ้ย ถุงของขวัญจะทำได้ ลงมาเร็วแล้วยังเก็บขยะอีกต่างหาก สายตาก็คอยชำเลืิอง แน่จริงไม่มีไม้เท้าก็ลงมาดิๆๆๆๆ แต่ท่านผู้อ่านที่รัก ที่คิดจะไปภู อย่าทำตามเลยนะ ไม่แนะนำ เพราะผลของการอยากเอาชนะ กลับมาถึงที่ราบนั่งครางฮือๆ ปวดขาอ่ะ มาเร็วเกิน แถมมานั่งรอลูกหาบอีก

สงัเกตได้ว่า คนขึ้นภูในวันที่เราลงมีแต่ฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะเป็นวันธรรมดาด้วยก็ได้ คาดว่า บนภูในวันนั้นคงเหมือนสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ฝรั่งที่มาส่วนใหญ่สูงอายุทั้งนั้น หนุ่มๆสาวๆมีบ้่างแต่น้อย ทักทายกันมาเฮลโล่ สวัสดีค่ะมาตลอดทาง ไม่ค่อยได้พูดอย่างอื่นหรอก ต่างคนต่างเหนื่อย ถึงไม่เหนื่อยก็นึกบทสนทนาไม่ออกอยู่ดี จนกระทั่ง เราได้ยินเสียงวัชชี่กล่าว "Thank You" ใครแว่วๆข้างหลัง หันไปดูเห็นมันหน้าแดงยิ้มแก้มระเบิดลงมา สอบถามได้ความว่า แหม่ม 2 คนอวบอึ๋มที่เพิ่งสวนทางเราไป กล่าวชมเชยพ่อหนุ่มน้อยว่า "หล่อจัง" แถมตอนนั้นคิววัชชี่ถือถุงขยะด้วย มันเลยดูหล่อด้วย เป็นคนดีด้วย นานเหมือนกัน กว่าวัชชี่จะหมดลมจนพองขนาดไซส์ปกติ


โฉมหน้าคนดี โปรดสังเกตถุงขยะ แฟบกว่าที่น่าจะเป็นเพราะโดนกวางเอ๋งแย่งไปหม่ำ แต่ดีแล้วล่ะ ไม่งั้นหนักกว่านี้แน่ๆ


ลีลาการเก็บขยะของวัชชี่ ขยะอยู่ที่เชิงเขา มันก็ปีนลงไปใช้ขาตั้งกล้องแงะขวดพลาสติคที่เป็นขยะลอยขึ้นมาในรัศมีที่พอเก็บได้ -__--" ขาตั้งกล้องนะเฟ้ย ไม่ใช่ไม้กอล์ฟ


แล้วก็ไม่น่าเชื่อ การทำความดีด้วยการเก็บขยะของเรา ไปเข้าตารายการโทรทัศน์ของช่องสาม รายการอะไรก็ไม่รู้รายการหนึ่ง เขามาถ่ายสารคดีเกี่ยวกับภูกระดึงพอดี แล้วเห็นพวกเรา เดินไปก้มไปเหมือนหาเห็ด แต่ไม่ใช่ เราเก็บขยะ เขาก็เลยปิ๊งไอเดีย ขอถ่ายทำวิธีการเก็บขยะของพวกเรา (มันยากตรงไหนล่ะนั่น)

ที่น่าตลกก็คือ เขาอยากได้ภาพตอนที่พวกเราก้มเก็บ หันซ้ายแลขวา ว่าแล้วพี่หนวดก็เอาขยะในถุงเรานั่นหละไปวางไว้ แล้วให้เราทำท่าเดินไปเก็บอีกรอบ เอิ้กๆๆๆๆ


งานนี้วัชชี่อดนะจ๊ะ เพราะเป็นคิวของเรากะบ็อบๆที่ถือถุงขยะ

หลังจากเดินกันไป เม้าท์กันไป ส่งกำลังใจให้คนที่กำลังขึ้นกันไป เราก็มาถึงด่านท้ายๆของการเดินทางแล้ว นั่นก็คือ ซำแฮก ซำที่เราเกลียดมากๆตอนขามา แต่ตอนนี้ เริ่มใจหายนิดๆแล้ว เพราะเมื่อมาถึงซำนี้ ย่อมหมายถึง การเดินทางของพวกเรากำลังสิ้นสุดลง แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้มาอีกเมื่อไำหร่



อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา เราลงมาถึงเชิงภูตอนบ่ายสอง (ก่ายยเช็คเวลาให้ด้วย) เอาขยะที่เราลากกันมาไปคืน เอ้ย ไปให้เจ้าหน้าที่ขึ้นชั่งกิโล โดยมีพี่หนวดตากล้องคนเดิมตามมาถ่ายภาพตอนเราเอาขยะที่เก็บมาตลอด 3 วัน ทิ้งลงถังขยะที่เชิงภู ซึ่งทางอุทยานก็ได้มอบใบประกาศคุณงามความดีขนขยะลงภูให้ด้วย แม่ต้องปลื้มแน่เลย ลูกสาวเราเป็นคนดี เอิ้กๆๆ

และแล้ว เราก็บอกลาภูกระดึง หลังจากสัมภาระมาถึงเรียบร้อย เราก็ลากสังขารแบกของขึ้นรถสองแถวเพื่อไปที่ท่ารถ บขส ไปจังหวัดขอนแก่น ตามคำเชิญชวนของเจ้าก่้ายยยที่มีบ้านญาติอยู่ที่โน่น เพื่อไปนั่งรถทัวร์ไฮโซกลับกรุงเทพ เป็นของปลอบขวัญร่างกายที่ล้ามากๆ และนี่คือวิวสุดท้ายของภูกระดึงที่เรามองเห็นจากรถสองแถว



เห็นแล้ว คิดถึงช่วงเวลาที่เรายืนกันตรงหน้าผาเพื่อดูพระอาทิตย์ตก คิดถึงเส้นทางที่เป็นทุ่งกว้างกับต้นสน คิดถึงมิตรภาพ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่อยู่บนนั้น ลาก่อนเน้อ แล้วเราจะกลับมาอีก...



จากเวลาที่ยาวนานกับวันวานที่เลยไป
จะมีภาพที่ใจยังจดจำไว้ทุกคืนวัน
ผ่านไปเร็วดูราวเหมือนฝัน ภาพความหลังครั้งนั้นไม่เคยเก่า
ย้ำและเตือนในหัวใจเรา ตลอดเวลา

เปรียบดังเป็นนักเดินทาง ที่รอนแรมหนทางไกล
ย่อมมีเรื่องราวมากมายมากับทางไกลที่ได้เดินมา
สู่ปลายทางในการค้นหา ผ่านภูผา ขุนเขาที่กว้างใหญ่
ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในใจ ไม่อาจลืมเลือน

ล่วงเลยผ่านไป ถูกกลืนกับกาลเวลา
ไม่พบอะไรยั่งยืน ดุจกระแสน้ำที่ไม่คืนกลับมา
หันมองกลับไป ก็มีแต่ความทรงจำ
ชีวิตที่เคยผ่านมา เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและน้ำตาเก็บไว้

จากทางไกลที่เดินมา สู่เวลาที่เดินไป
ไม่มีหนทางใดที่จะนำวันนั้นหวนคืนมา
เก็บความจริงในการค้นหา เป็นบันทึกล้ำค่าและยิ่งใหญ่
เขียนเรื่องราวเอาไว้ในใจ ตลอดเวลา

 

โดย: Meliot Baggins 30 พฤศจิกายน 2548 20:04:25 น.  

 

บทส่งท้าย ทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากขาดวัชชี่ไป ในฐานะคนชวนและผู้ประสานงานที่คล่องแคล่วว่องไว ขอบคุณมากๆค่ะ

ขอบคุณก่ายยยมาร น้องย้วย และ บ็อบๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่น่ารักและแสนดี ถ้าเราไปภูกระดึงอีกครั้งโดยไม่มีเพื่อนกลุ่มนี้ไปด้วย ภูกระดึงคงหมดความงามและความสนุกไปแยะเชียว

ยกเว้น เราจะไปเดทกะหนุ่มสองต่อสองนะจ๊ะ เอิ้กๆๆๆ *ปาดน้ำลายและน้ำหมาก*

 

โดย: Meliot Baggins 30 พฤศจิกายน 2548 20:12:16 น.  

 

จบได้อย่างสงยงามจริงๆ
มีกลอนส่งท้ายด้วย
อยากไปอีกจังเลยอ่ะ

เมื่อตอนสงกรานต์ปีที่แล้ว ผมนั่งรถไปกับพี่ ไปแข่งตกปลาที่จังหวัดเลย
ผ่านถนนเส้นนี้ด้วยแหละ เห็นแล้วคิดถึงจริงๆ

 

โดย: ก่ายยย... 30 พฤศจิกายน 2548 20:49:34 น.  

 

สงสัยป้าแกจะชอบแถวนั้นจริงๆ อุตสาห์ลงทุนไปตั้งร้านอาหารเชียว (สังเกตดูรูปข้างบน) อุ.....อุ.......

 

โดย: ฮก IP: 161.246.1.33 1 ธันวาคม 2548 9:32:19 น.  

 

อ่านไปหัวเราะไป 55555
ป้าน่าจะเขียนเรื่องลงขายหัวเราะน้ะ รับรองรุ่ง เอิ้ก

แล้วตกลงขยะที่ถูลากถูกังมาสามวัน ทำลายสถิติหรือเปล่าป้า
แต่ยังไงก็ >>ทางอุทยานก็ได้มอบใบประกาศคุณงามความดีขนขยะลงภูให้ด้วย แม่ต้องปลื้มแน่เลย ลูกสาวเราเป็นคนดี

สุดท้าย มาตามเช็ดน้ำลายและน้ำหมากของป้า
*ได้เป็นกะละมังเลยแหละ*

 

โดย: ลุงเอง (melkor ) 1 ธันวาคม 2548 10:37:40 น.  

 

ช่วงตอบจอมอ

"แต่จะมีใครบ้างหนออยากไปกับเรา" โดย: กระต่ายน้อยอยากปีนภู

"น่าไปสัมผัสความหนาวมั่งจัง" โดย: ฮก

>>>ไปพร้อมกันเลยก็แล้วกันนะ คุณกระต่ายทั้งสอง ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชมรมฮอบบิทอ้วนกลมปีนภู

"สงสัยป้าแกจะชอบแถวนั้นจริงๆ อุตสาห์ลงทุนไปตั้งร้านอาหารเชียว (สังเกตดูรูปข้างบน) อุ.....อุ......." โดย: ฮก

>>> ขอโทษนะจ๊ะ ชื่ออะฮั้นอ่ะตอนนี้เป็นยี่ห้อหมูหยอง ตราแม่กิมจูไปแล้วย่ะ

"ป้าน่าจะเขียนเรื่องลงขายหัวเราะนะ รับรองรุ่ง เอิ้ก" โดย:ลุงเอง

>>> *ตบเข่าดังฉาด* มิน่า เขียนงานวิชาการแล้วร่วง ต้องขายหัวเราะนี่เองถึงจะรุ่ง นึกแล้วเชียว ว่าทำไมไม่ก้าวหน้าในทางสายนี้ซะที เปลี่ยนอาชีพๆๆๆๆๆ เอิ้กๆๆๆ

ว่าแต่ตอนเก็บน้ำลายน้ำหมากอ่ะ ระวังกระเซ็นเข้าปากไปนะลุง เดี๋ยวจะกลายเป็นทายาทมารไปโดยไม่รู้ตัว โฮะ ๆๆๆๆ

 

โดย: ป้า กิม จู (Meliot Baggins ) 1 ธันวาคม 2548 19:26:58 น.  

 

"อยากสัมผัสสายลมหนาวบนภู... แต่จะมีใครบ้างหนออยากไปกับเรา" โดย: กระต่ายน้อยอยากปีนภู

ไปหน้าร้อนได้มั้ยป้า ทุกวันนี้เราก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว

ถ้าไปหน้าหนาว คงต้องหาคนมาให้ความอบอุ่น
ผิงหัวป้ากระต่ายได้มั้ยล่ะ

 

โดย: กิมจิ IP: 69.85.173.196 4 ธันวาคม 2548 1:23:43 น.  

 

ตอนอยู่บนนั้น สัญญากับตัวเองไว้ว่า ให้ตายยังไง จะไม่ไปอีก T_T (*ก็มันเหนื่อยมากนี่นา*)

แต่ตอนนี้ ความลำบากต่างๆ มันจำไม่ได้แล้วหล่ะ เหลือไว้ก็แต่ความสนุก..ความฮา..แล้วรูปขำๆ เอิ้ก..

ไว้ไปกันอีกนะ (*แต่ให้เรียนจบซะก่อนนะ..อิอิ..รู้สึกเหมือนเป็นนักเรียนเลยแหะ.. ..ฮา*)

 

โดย: บ๊อบๆ IP: 203.170.228.231 4 ธันวาคม 2548 14:31:13 น.  

 

โหวตให้ป้าไปแล้วน้ะ อิ อิ สาขาเรื่องขำขำ เอ๊ย ไดอารี่ อะไรซักอย่างนี่แหละ

 

โดย: มะเอง (melkor ) 5 ธันวาคม 2548 10:22:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Meliot Baggins
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ ... กลับมาแล้วค่ะ



อัพบล็อกใหม่แล้วค่ะ
... ชมสวนที่คาดว่า จะอังกิ๊ด อังกฤษได้ที่กรุ๊ป เมื่อดอกไม้บาน


Photobucket ...ภาพงานกระดาษของขวัญวันแต่งงาน ที่กรุ๊ป งานกระดาษ
ค่ะ
Friends' blogs
[Add Meliot Baggins's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.