ยิปซีพเนจร ตอน ตามกลิ่นจำปาลาว
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พา "น้องๆ" ที่ทำงานไปเที่ยว เป็นการวิ่งตามกลิ่นดอกลั่นทมหรือที่ฝั่งลาวเรียกว่าจำปา ไปไกลถึงจำปาสัก แล้วกลับมายังกัมพูชา ก่อนมาจบที่สยามเมืองยิ้ม ไม่พูดพล่ามทำเพลง ดูรูปเลยแล้วกัน เม้าท์มากเดี๋ยวน้ำหมากหกภาพท้องนาถ่ายผ่านกระจกรถ หลังจากนี้ไม่นาน ฝนก็เทลงมา เทลงมา เทลงมา ตามโปรแกรมคราวนี้ เป็นการเดินทางย้อนรอยอารยธรรมเขมร จากไทย -> ลาว ->กัมพูชา แล้วย้อนกลับมายังไทยอีกครั้ง เส้นทางที่ใช้จึงเป็นพื้นที่บริเวณอีสานตอนล่าง หรือที่เรียกกันว่า แอ่งโคราชแอ่งโคราชในวันนี้ เขียวชอุ่มไปด้วยทุ่งนาในหน้าฝน เห็นแล้วอยากวิ่งลงไปถ่ายภาพใกล้ๆ แต่ทำก็ได้แค่ถ่ายผ่านกระจก เมื่อฝนตกหนัก กิจกรรมในรถก้เปลี่ยนจากการนอนมาเป็นร้องเพลงต่อเพลง ขำก๊ากๆ เมื่อตอนที่เพลงมันลงท้ายด้วยตัว ฮ นกฮูก คนที่จะต่อนึกอยู่นาน จนหัวเราะออกมาว่า "โฮะๆๆๆๆ" แต่ไม่จนมุขฮับ มัน โฮะๆๆๆ แล้วก็ต่อด้วย จิงเกอรืเบล จิงเกอร์เบล บลาๆๆๆ -________-" ปลาไหลชัดๆการเดินทางเข้าลาวในวันนี้ ต้องมีการพ่นยาฆ่าเชื้อที่ล้อรถด้วยฮับ ซาวบาทๆๆ (20 บาท) ภาพนี้ก็ถ่ายจากบนรถ เป็นนางพญา จริงๆแล้วฝนตกอ่ะ ตกมาตลอดทางเลย โปรดสังเกต ร่มสีน่ารักมากกกกกจุดมุ่งหมายของการเดินทางไกลคือ ปราสาทหินวัดพู ซึ่งการจะไปที่นั่นได้ เราต้องข้ามแม่น้ำโขงสองครั้ง ครั้งแรกใช้สะพาน ส่วนครั้งที่สองต้องใช้แพขนานยนต์ ขึ้นฝั่งที่จำปาสักเลย จริงๆแล้ว วัดพู อยู่แผ่นดินเดียวกับฝั่งไทยค่ะ แต่ว่า ไม่มีทางที่จะเข้าไปได้สะดวก เลยต้องใช้การข้ามโขงไปเลาะๆๆๆอยู่ตามฝั่งลาว ก่อนข้ามกลับมา จำปาสักในสายหมอก มองจากแพกลางโขง ฝนที่ตกมาตลอดทำให้ทั้งเมฆและหมอกทิ้งตัวลงต่ำ บรรยากาศเงียบสงบและเยือกเย็นและแสนเหงา คนคุมแพกำลังกว้านรอก ดึงสะพานเทียบฝั่งให้สูงพ้นน้ำ ก่อนพาแพออกสู่กลางโขง แม่น้ำโขงช่วงกลางๆลำน้ำ ดูเวิ้งว้างยิ่งใหญ่มากๆ บารายคู่ของวัดพู มองจากยอดภูเกล้าที่ตั้งของตัวปราสาท ยืนมองจากตรงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเล็กกระจ้อยร่อย ทั้งที่จริงแล้วตัวเรานั่นเองที่เล็กเมื่อเทียบกับโลกทั้งใบสีสันของวัดพูในวสันตฤดู คราวก่อนมาช่วงหน้าแล้ง วัดพูสวยแบบโทนสีน้ำตาล แต่วันนี้มาในโทนสีเขียว ตอนนี้ปราสาทได้รับการบูรณะแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ตัวเลขที่เห็นไม่ใช่ใบ้หวย แต่เป็นการบูรณะแบบที่เรียกว่าอนาสติโลซิส เว้าซื่อๆก็คือ การเรียงจิ๊กซอว์สามมิตินั่นเอง เป็นจิ๊กซอว์วัดพู สีสันแห่งความสดชื่น ได้มาจากพืชพันธุ์เล็กๆที่ขึ้นอยู่ตลอดสองข้างทางและบนยอดภู ถ่ายไปบ่นกะตัวเองไป อยากได้เลนส์มาโครจังเลย พาหนะที่พาเราไปวัดพูก็คือรถสองแถวสายจำปาสัก - ดาวเรือง (ชื่อร้านค้าปลอดภาษี บริเวณช่องเม็ก อุบลราชธานี) รถที่ฝั่งลาววิ่งชิดขวาฮับทุ่งนาที่จำปาสัก ยามเย็นชาวนาเริ่มกลับบ้าน แต่เด็กๆเริ่มออกมาเล่นสนุก เห็นแล้วคิดถึงตอนเป็นเด็ก ตจว จัง ^^จริงๆแล้ว พวกเราแวะไปคอนพะเพ็งกันมาด้วย แต่เป็นความเศร้า เราไปถึงคอนพะเพ็ง น้ำตกที่อลังการงานสร้างเอาเมื่อตอนทุ่มกว่าๆ เห็นความอลังการเป็นสีดำ มองไปทางไหนก้สีดำๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยต้องฟังเอาแต่เสียงอ่ะ อายเขานะเนี่ยไปดูน้ำตกตอนหนึ่งทุ่มกว่าจะกลับถึงที่พักก็สี่ทุ่ม (ข้าวเย็นสี่ทุ่มฮับ) แต่ก็ยังมีแรงออกมาถ่ายรูปเล่นอีก เราพักกันที่โรงแรมจำปาสักพาเลซ เป็นวังเก่าฮับ วังของเจ้ามหาชีวิตของลาวใต้ ตอนนี้นักลงทุนไทยเข้าไปดำเนินกิจการปรับเป็นโรงแรม คนไทยชอบมาพักที่นี่กันมาก คราวก่อนก็ได้นอนที่ชั้นบน อาคารเก่าที่เป็นวัง แต่คราวนี้เขาให้ไปพักที่อาคารใหม่ ใหม่มากกกกกกกกก กลิ่นสียังฉุนอยู่เลยโอ้ วัชชี่เปลี่ยนอาชีพเนื่องจากความวิบากในวันก่อน ตื่นมาเช้านี้เป็นไข้ตาแดงเลย อาการของคนแก่เริ่มปรากฏ ตามโปรแกรมวิ่งวิบาก วันนี้ต้องไปปีนเขาพระวิหาร (เมื่อวานวัดพู) ทำได้ดีสุดคือ กินยาแก้ไข้แทนข้าว ไม่งั้นไข้ขึ้นหมดแรงเป็นลมกลางทางแน่ๆ ทรมาณเหมือนกันไอ้การมีไข้ทุกสี่ชั่วโมง (หมดฤทธิ์ยา)ทางน้ำเล็กๆ ไหลมาจากฝั่งไทย อยากตามรอยไปเรื่อยๆ แต่ติดที่ป้ายให้ระวังระเบิด ป้ายหัวกระโหลกกระดูกไว้สีแดง ติดอยู่ตลอดสองข้างทาง งานนี้กลัวไม่ได้สังขารกลับไปครบสามสิบสอง เลยต้องเลิกล้มโครงการนักชลประทานข้างๆห้องน้ำ ก็มีป้ายนี้ติดอยู่ เป็นการเข้าห้องน้ำที่ท้ามฤตยูดี ตอนนี้กลับมาครบสามสิบสองฮับ ไม่มีอะไรหล่นหาย แม้แต่หัวใจ วิ้ววววววว ธงชาติเขมรบนปราสาทเขาพระวิหาร ทางขึ้นน่ะอยู่ฝั่งไทย แต่เดินๆไป กลายเป็นเขมร สนุกดีฮับ เดินข้ามเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไปๆมาๆบนนั้นมีซากปืนเก่าสมัยสงครามหลงเหลืออยู่ด้วย คราวก่อน ยังมีซากเฮลิคอปเตอร์ที่โดนเจ้าปืนกระบอกนี้สอยร่วงให้ดูด้วย คราวนี้หาไม่เจอ หรือเก็บขายเป็นเศษเหล็กไปแล้วก็ไม่รู้ภาพนี้ชอบๆๆ เหมือนตาสามคนนั่นโดนยิงเลย เอิ้กๆๆๆ ถ่ายภาพนี้เสร็จกำลังจะเดินลงเขา มีหนุ่มเขมรมาทักด้วยว่า "เที่ยวแล้วสนุกดีมั้ย" กำลังจะหันไปตอบ ก็พอดีที่มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาพี่แกพอดี ท่าทางจะเป็นอีหนูตัวจริงโทรมา "เนียงสลันบอง" น้องรักพี่นะจ๊ะบนเขาพระวิหาร มีเด็กๆมาวิ่งขายของเยอะมากกกกกกกกก ประมาณว่าประกบตัวนักท่องเที่ยวเลย ไปคราวหน้ากะทำตัวเป็นสาวท้องถิ่น จะได้ไม่ต้องตอบคำถามว่า "ไม่เอาค่ะ ไม่ซื้อค่ะ พี่ถ่ายเองสวยกว่า" (ว่าไปนั่น เอิ้กๆๆๆ)ฉวยโอกาสตอนน้องๆเขาเผลอ ถ่ายรูปมาซะเลย ไปคราวหน้า จะเอาไปขายแข่งมั่ง ชอบภาพนี้ เด็กน้อยกับแมลงปอ แต่ถ่ายแล้วเบลอ ชัดเลยว่า กลับลงมาต้องถอยกล้องที่มีเลนส์เทเล เหล่านักเดินทาง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เส้นทางนี้ก็คงเต็มไปด้วยเหล่าผู้แสวงบุญหลายจุดบนเขาพระวิหาร เป็นที่ชมวิวที่เราสามารถเห็นทั้งฝั่งไทย ลาว และ กัมพูชา โดยเฉพาะบนบริเวณจุดสูงสุดของเขา เป็นหน้าผาตัดดิ่งไปยังประเทศเขมรที่อยู่เบื้องล่าง เห็นวิวนั้นแล้ว...ก็อยากแบ่งปันให้ใครอีกคนได้มาเห็นด้วย จารึกสมัยใหม่ อีกสักสองสามร้อยปีมันก็คงเก่าชอบอ่าน แล้วพยายามคิดไปถึงอดีตเมื่อคนเหล่านี้ได้เดินผ่านมาผ้าขาวม้าเขมร คราวก่อนซื้อมาแยะแล้ว พันคอโพกหัวจนเป็นสาวเพื่อชีวิตอยู่นาน ตอนนี้ไม่เพื่อชีวิตใครแล้ว เพื่อชีวิตตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอดเลย เลยขี้เกียจซื้อ ถ่ายรูปมาแทน ประหยัดฮับวันสุดท้ายมาแวะที่ปราสาทเมืองต่ำ ก่อนปีนขึ้นภูพนมรุ้ง อากาศดี แต่อาการคนปีนย่ำแย่ ปีนไปหลับไปเพราะฤทธิ์ยาสังเกตเห็นตามตัวเมืองของอีสาน จะมีป้ายคุณตำรวจยืนยิ้มแฉ่งถือกุหลาบด้วยท่าทางต่างๆ ติดอยู่เต็มไปหมด อยากถ่ายรูปคู่กะป้าย แต่ไม่มีใครเล่นด้วย ไม่มีตากล้องอ่ะ เลยต้องจำใจถ่ายแต่ป้ายมาแทน แงปราสาทเมืองต่ำในแสงที่แลปกไปจากที่เห็น เมื่อก่อนจะเป็นลูกเมียน้อย หมายถึงจะวิ่งไปหาพนมรุ้งก่อนลงมาเมืองต่ำ ลงมาทีไร เมืองต่ำก็มืดแล้วทุกที มาคราวนี้เลยแวะเมืองต่ำก่อนเลย เดี๋ยวจะน้อยใจ แมลงปอคู่ที่สระน้ำของปราสาท ยิ่งยืนยันว่าต้องถอยกล้องใหม่อย่างแน่ๆ ถ้ารักจะแอบถ่ายภาพแมลงปอต่อไปในอนาคต FZ30 จ๋า รอป้าก่อนนนนนนนนนเฮือกสุดท้ายแล้ว ดอกจำปาสีชมพูที่พนมรุ้ง ส่งท้ายพร้อมชีวิตของเจ้าของบล็อก ที่ยังเดี้ยงมาจนถึงวันนี้ถามว่า ไปเที่ยวปราสาทมาจริงเหรอ ตอบว่าจริงฮ่ะถามว่า แล้วภาพปราสาทอื่นๆมันไปไหนโม้ดดดดดดดดตอบว่า......... ขี้เกียจถ่ายแล้วฮ่ะ แบบว่า เกิดอาการเบื่อปราสาทหินอย่างแรง ขออำภัยจริงๆ ปล.เล่าเรื่องคราวนี้อาจไม่สนุกเท่าไหร่ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูสุขภาพฮับ กราบขออภัยท่านผู้มีอุปการคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย