ปฏิจจสมุปปาทสูตร (อภิปราย และ คำถาม)
ยอมรับเลยว่า ไม่ค่อยเข้าใจ แต่อยากเข้าใจ
เอาอย่างนี้ เริ่มจากที่เข้าใจก่อน (ถ้าผิด รบกวนผู้รู้ แนะนำด้วยนะครับ)
(1) ความสัมพันธ์
อวิชชา (ignorance) -> สังขาร (fabrications) -> วิญญาณ (consciousness) -> นามรูป (name-form) -> สฬายตนะ (6-sense media) -> ผัสสะ (contact) -> เวทนา (feeling) -> ตัญหา (craving) -> อุปาทาน (clinging/sustenance) -> ภพ (becoming) -> ชาติ (birth) -> ชรา มรณะ ทุกข์ (aging-death, suffering)
(2) ความหมาย * อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 ** แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจ คือ ความหมายแท้ๆ ของคำว่า "รู้" ** "รู้ในอริยสัจ 4" หมายถึง แค่รู้ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือว่า ต้องรู้ขนาดไหน เข้าใจขนาดไหน หรือว่าหมายความถึง รู้ระดับนิพพาน อันนี้ ผมมั่นใจ ว่า ผมไม่เข้าใจ
* สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง มี 3 อย่าง: การคิดปรุงแต่งทางกาย, วาจา, ใจ ** คิดว่าพอเข้าใจอยู่ * วิญญาณ คือ มี 6 อย่าง: วิญญาณของตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ** อันนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า คำว่า วิญญาณ คือ อะไรกันแน่ ** วิญญาณ แบบ life force/qi/ki ใน martial arts, สติรับรู้ (conciousness), วิญญาณ แบบ ผีๆ ไม่เข้าใจ
* นามรูป น่าจะคือ การจับคู่กันของ สัญญา-รูป (ในขันธ์ 5) ซึ่ง สัญญา ได้แก่ การรับรู้ การจำได้ และรูป ได้แก่ วัตถุ ร่างกายต่างๆ (ประกอบด้วย มหาธาตุ 4: ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ) ** อันนี้ก็พอเข้าใจอยู่ * สฬายตนะ 6 อย่าง น่าจะหมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (คิดว่า น่าจะรวมหมายถึง pathway ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น ตา ก็รวม ลูกตา ไป mid-brain ไป occipital lobe ตลอดทั้ง visual pathway แบบนี้มั้ง) ** ในความจริง ก็ยังงงๆ อยู่ว่า ขันธ์ 5 เช่น รูป สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ มันมีนัยไปถึง ระบบของสมองจริงๆมั้ย เช่น เวทนา ~ amygdala, สังขาร ~ prefrontal cortex อะไรแบบนี้ หรือลึกกว่านี้ ยังงงๆอยู่ แต่ก็พอเข้าใจได้กับภาพกว้างๆ * ผัสสะ 6 อย่าง เข้าใจว่า คือ instant contact ของ การเห็นภาพ ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส มีความคิดแวบมา คือ เป็น instance เป็นสิ่งที่เกิดจากสัมผัสขณะนั้น เช่น ตาเห็นแมว (ตา เป็น สฬายตนะ แต่ เห็นแมว เป็นผัสสะ) * เวทนา คือ ความชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ มี 6 อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เห็นขยะ ไม่ชอบ, เห็นภูเขาทะเลสาป ชอบ, เห็นถนน เฉยๆ * ตัญหา คือ ความอยากได้; พระสูตรบทนี้ แบ่งเป็น 6 อย่าง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด ** เข้าใจว่า ตัญหาที่พูดถึงนี้คือ กามตัญหา ** แต่ไม่แน่ใจว่า รวมถึงตัญหาอีกสองชนิดด้วยหรือเปล่า ซึ่งสองชนิดที่ว่า มี *** ภวตัญหา: ความอยากเป็น เช่น อยากรวย อยากเป็นคนสำคัญ อยากให้คนรู้จัก อยากให้คนเห็นภาพเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้โลกรู้จัก อยากให้รู้ว่ากูใหญ่ *** และวิภวตัญหา: ความไม่อยากเป็นในสิ่งไม่พึ่งใจ เช่น ไม่อยากป่วย ไม่อยากแก่ ไม่อยากทำงานเหนื่อยๆ ไม่อยากถูกคนว่ากล่าวติเตียน ไม่อยากถูกดูถูกเหยียดหยาม ** ภวตัญหา กับ วิภวตัญหา น่าจะเกี่ยวข้องมากๆ กับ อัตตา * อุปทาน มี 4 อย่าง คือ การยึดติดกับผัสสะ (sensuality-clinging), การยึดติดกับมุมมองวิธีคิด (view-clinging), การยึดติดกับนิสัยหรือวิธีปฏิบัติ (habit-and-practice-clinging), และการยึดติดกับอัตตา (doctrine-of-self-clinging) ** พอเข้าใจบ้าง แต่ถ้าได้ตัวอย่างดีๆ สำหรับแต่ละหัวข้อ น่าจะช่วยให้กระจ่างขึ้นเยอะ * ภพ มี 3 อย่าง sensual becoming, form becoming, และ formless becoming. ** อันนี้ไม่เข้าใจเลย ภาษาไทย ภพ ไม่เข้าใจ ภาษาอังกฤษ becoming ไม่เข้าใจ * ชาติ คือ การเกิด (คลอดออกมาเป็นเด็กทารก) * แก่ ตาย ทุกข์ อันนี้เข้าใจอยู่
สรุปที่ไม่เข้าใจคือ 1. คำว่า "รู้อริยสัจ 4" แปลว่า รู้เฉยๆ รู้แล้วปฏิบัติด้วย หรือหมายถึง นิพพาน 2. วิญญาณ คือ อะไรกันแน่: life force/qi/ki หรือ สติรับรู้ หรือ วิญญาณผี หรือทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน? 3. ภพ คือ อะไร? อันนี้งงสนิท เดาก็ยังเดาไม่ออกเลย 4. อุปทาน 4 แบบ ตัวอย่าง 4.1 การยึดติดกับผัสสะ เช่น อะไร? บ้านต้องดูทันสมัย สวย ร่มรื่น น่าอยู่แบบนี้ เพลงต้องมีทำนองที่ไพเราะแบบนี้ มีจังหวะการดำเนินคอร์ดแบบนี้ ห้องน้ำต้องกลิ่นสะอาดแบบนี้ ต้มเลือดหมูน้ำซุบต้องกลมกล่อมแบบนี้ ฟูกที่นอนต้องนิ่มสบาย ไม่แข็งไป ไม่ยวบไป ไม่ร้อน แบบนี้ 4.2 การยึดติดกับมุมมองวิธีคิด เราต้องเป็นที่หนึ่ง เราต้องเป็นมหาอำนาจ ผู้บริหารที่เก่งต้องทำให้เราเลื่อนอันดับขึ้นไปสูงขึ้นได้ คนหาเงินได้เยอะๆเป็นคนเก่ง ถ้าได้เงินน้อยแปลว่า ไม่เก่ง 4.3 การยึดติดกับนิสัยหรือวิธีปฏิบัติ มันก็ต้องมีกิจกรรมรับน้อง มันเป็นประเพณี
4.4 การยึดติดกับอัตตา เทคนิคนี้เราคิด เราต้องใช้เทคนิคนี้หละ จะไปใช้อันอื่นได้ยังไง งานนี้มันเด็กๆนะใครๆก็ทำได้ ผมไม่ทำ
ตัวอย่างเหล่านี้ถูกมั้ย? ถ้าไม่ถูก เพราะอะไร? แล้วตัวอย่างแบบไหนที่ถูก?
เรื่องการเชื่อมโยงกับเรื่องอื่น * ตัญหา เป็นปัจจัยที่ 8 * ส่วนกิเลส ได้ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ** ความหลง เชื่อมโยงโดยตรงกับ อวิชชา (ปัจจัยที่ 1) ** ความโลภ กับ ความโกรธ น่าจะเชื่อมโยงกับ ตัญหา (ปัจจัย 8) กับอุปทาน (ปัจจัย 9) ** อัตตา น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับ อุปทาน (ปัจจัย 9) * การปิดวงจร ต้องดับตั้งแต่ต้นทาง คือ อวิชชา เพราะถ้าดับแค่กลางทาง เช่น ดับตัญหา จะดับไม่ได้ เพราะเวทนาที่ยังอยู่จะสร้างตัญหาขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ต้องปิดตั้งแต่ต้นน้ำที่สุด คือ อวิชชา ถึงจะปิดได้ถาวร
Create Date : 09 กันยายน 2561 |
Last Update : 9 กันยายน 2561 12:59:04 น. |
|
0 comments
|
Counter : 987 Pageviews. |
|
|