ที่ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน คุณลุงทานิกูจิ (Taniguchi) ซึ่งเป็นโฮสของผม มองจากหน้าต่างจะเห็นปราสาทฮิเมจิ (Himeji- jo , Jo /โจะ/โยะ = ปราสาท ) ที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก บางคนเรียกชื่อว่า " Shirasagi-jo" หรือ ปราสาทนกกระเรียนขาว (White Egret Castle) เวลากลางคืน จะมีไฟส่องไปที่ปราสาท ดูไกลๆ จะเห็นเหมือนกระเรียนขาวกางปีกเล็กน้อย แต่สำหรับผมกลับเห็นเป็นสตรีญี่ปุ่นใส่ชุดขาวและสวมเสื้อยูกาตะ (Yukata) สีดำทับ ดูสง่าและเงียบขรึมน่าเกรงขาม แต่ช่วงดีที่สุดจะเป็นปลายมีนาหรือต้นเมษาเพราะต้นซากุระ (Sakura / Cherry blossom) รอบๆ ปราสาทพร้อมใจกันผลิดอกบานสะพรั่งสีชมพู สดใส และสวยหวานแหว๋วเกินกว่าจะหาคำบรรยายครับ คืนแรก คุณลุงผอ.และครู พาครูฝรั่งและผมไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารมีชื่อแบบญี่ปุ่น นั่งห้อยเท้าได้สบายๆ พร้อมเครื่องทำความร้อนช่วยให้เท้าอบอุ่น อาหารที่เจ้าภาพสั่ง ได้รับการลำเลียงจากพนักงานสาวๆมาบริการเป็นชุดๆ ห้าคนก็ห้าชุด แต่ละจานประดิษฐ์ประดอยดูสวยงามน่ารัก เป็นทั้งอาหารตาและอาหารปาก อ้อ! มีที่เป็นจานกลางด้วย คือ ซาชิมิ (Sashimi-คนไทยเรียก "ปลาดิบ") ประกอบไปด้วยแซลมอน (salmon ) ทูน่า (Maguro) หมึกยักษ์ (Tako) หมึกเล็ก (Ika) หอยเชลล์ (Hotate) และ ผัดสดต่างๆ ผมคีบทูน่าจุ่มโชยุผสมวาซาบิ ลองชิมดู ของเขาสดจริงๆ และกลั้วคอด้วยเหล้าสาเกร้อน( Osake ) ก็อร่อยดีครับ
สัปดาห์ต่อมานักเรียนไทยเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพความหนาวเย็นในญี่ปุ่นได้แล้ว ผมตระเวนเยี่ยมบางโรง เจอนักเรียนหญิงของเราใส่ชุดนักเรียนของโฮส ส่วนโฮสก็ใส่ของสาวไทยเป็นการแลกเปลี่ยนกันและที่โรงเรียนฮิเมจินิชิ คุณลุงได้ให้เวลาฝ่ายไทยสิบโมงถึงเที่ยง ก็มีการนำเสนอวีซีดีเกี่ยวกับประเทศไทยสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นภาษาญี่ปุ่น ตามด้วยการแสดงรำไทยของนักเรียนไทยทั้งระดับคลาสสิคและรำวงมาตรฐาน จบลงด้วยการเชิญครูและนักเรียนญี่ปุ่นร่วมรำด้วย ท้ายสุดก็ทานอาหารร่วมกันโดยฝ่ายเรามีทั้งต้มยำกุ้งรสอ่อนๆ หมูทอดกระเทียมพริกไทย ไข่เจียวหมูสับ (ขายได้ทุกงาน) และข้าวหอมมะลิร้อนๆ ที่นักเรียนขนไปจากไทย ก็อร่อยและสนุกสนานกันดี ผมบอกญี่ปุ่นว่าถ้าอยากชิมอาหารไทยรสชาติแท้ๆแบบมืออาชีพและผลไม้รสดีหลากหลายซึ่งมีตลอดปีและไม่แพงก็ต้องไปเที่ยวเมืองไทย ผมเจอมังคุดที่ญี่ปุ่น ตกใจมาก ผลละ 100 บาท / 120 บาท (แพงเว่อร์อ่ะครับ)
ผมมัวแต่ยุ่งกับกิจกรรมต่างๆจนเกือบลืมไปเลยว่าที่ตัดสินใจยอมมาญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมืองฮิเมจิ ก็เพราะมีวาระแอบแฝงอยู่ในใจ คืออยากเจอผู้หญิงคนนึงซึ่งผมเคยคบกับเค้าตอนเป็นนักเรียน ELICOS ที่ Curtin University, Western Australia และเธออยู่ที่เมืองนี้ ผมแอบขอให้ทางโรงเรียนช่วยเช็คข้อมูลก็ทราบว่า เธอได้เข้าพิธีแต่งงานกับหนุ่มญี่ปุ่นตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว ก็นะ เหมือนอย่างที่เค้าว่า ถ้าคุณ " Lucky in game " ก็จะต้อง " Unlucky in love " มั้ง คงต้องปล่อยให้เป็นแค่เพียงความทรงจำดีๆในอดีตละกัน ยังงัยก็ขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ช่วยลุ้นช่วยเชียร์เป็นอย่างมากเลยครับ