วัดแห่งกรุงธนบุรี วัดอินทารามวรวิหาร
หลังจากที่ผมได้เคยเขียนรีวิวของวัดประจำทั้งเก้ารัชกาลแห่งราชวงศ์จักรีไปแล้ว ทีนี้เราก็จะได้มาเยี่ยมชมวัดประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมีวัดประจำรัชกาลด้วยเหรอ ขอตอบว่ามีครับ เป็นพระอารามหลวงด้วย วัดนั้นมีชื่อว่า วัดอินทารามวรวิหาร แน่นอนครับว่าในเมื่อเป็นวัดประจำรัชกาลของพระเจ้าตาก หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี วัดนี้จึงตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี
วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วล่ะครับ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้แล้วยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในรัชกาลของพระองค์ วัดนี้มีความสำคัญมาก เมื่อครั้งพระราชชนนีของสมเด็จพระเจ้าตากสินสวรรคต ก็มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่วัดนี้ด้วย
หลังสิ้นรัชกาลของพระเจ้าตาก วัดนี้ก็ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ พระศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) ได้บูรณะวัดนี้ขึ้นมาใหม่แล้วถวายเป็นพระอารามหลวงแด่รัชกาลที่ ๓ แต่ถูกลดฐานะลงจากชั้นเอกลงมาเป็นชั้นตรี
เข้ามาในวัดเราจะเจอพระเจดีย์สามองค์ประดิษฐานอยู่ และที่ระหว่างพระเจดีย์ก็จะมีวิหารน้อย หรือที่ทางวัดเรียกว่า กุฏิพุทธองค์ ตั้งอยู่ ด้านในกุฏิพุทธองค์ทั้งสี่หลังนั้นมีแต่สิ่งน่าสนใจทั้งนั้น
หลังที่ ๑ ประดิษฐานพระนอน สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ดูเก่ามากทีเดียว
หลังที่ ๒ ก็ประดิษฐานพระนอนเหมือนกัน แต่เป็นพระนอนที่อาจจะหาชมยากนิดนึง เป็นพระนอนในปางที่เขาเรียกว่า ปางถวายพระเพลิง โดยมพระมหากัสสปะถวายบังคมพระบรมศพที่เบื้องพระบาท ก็มีที่มาจากพุทธประวัติในตอนหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ในครั้งนั้นมีการเตรียมจะถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่จุดยังไงไฟก็ไม่ติด เหมือนพระพุทธเจ้าจะทรงรอให้พระมหากัสสปะที่ขณะนั้นอยู่ระหว่างการธุดงค์มาร่วมพิธี จนเมื่อพระมหากัสสปะมาถึงแล้ว ได้่ถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทก็ได้ยื่นออกมาเหมือนรับการถวายบังคม แล้วไฟก็ติดขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์
หลังที่ ๓ ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
หลังที่ ๔ พระนอนตะแคงซ้าย ดูแปลกประหลาดหาชมได้ยาก ก็มีที่มาจากพุทธประวัติอีกแล้ว ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในช่วงเข้าพรรษานั้น ได้ทรงทำการแสดงยมกปาฏิหาริย์เหนือต้นมะม่วง โดยเนรมิตพระองค์เองขึ้นอีกองค์หนึ่งแล้วแสดงปาฏิหาริย์กันไปเป็นคู่ ๆ สมมติพระพุทธเจ้าทรงอยู่ในอิริยาบถตะแคงขวา องค์ที่เนรมิตขึ้นมาก็จะอยู่ในอิริยาบถตะแคงซ้ายเหมือนพระนอนองค์นี้ อะไรทำนองนั้น
ทีนี้ก็จะได้เข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถกัน พระอุโบสถหลังนี้เป็นหลังใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
พระประธานในพระอุโบสถมีนามว่า พระพุทธชินวร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย พระศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) ผู้สร้างวัดนี้ได้ไปพบขณะที่พ่อค้าซุงทางเหนือกำลังนำพระองค์นี้ล่องมากับแพ จึงขอเช่ามาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
ด้านหลังหรือด้านหน้าของพระอุโบสถก็ไม่รู้ จำไม่ได้
มีพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประดิษฐานอยู่
วัดนี้เหมือนจะแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่สร้างใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กับส่วนที่เป็นส่วนเดิมตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีที่อยู่ติดริมคลอง ซึ่งก็ยังคงมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ ไปชมกันเลย
มาถึง เราจะพบกับพระวิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์
พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกรรมฐาน
พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขณะทรงผนวช ซึ่งมีเรื่องเล่าอยู่เหมือนกันว่า เมื่อครั้งพระเจ้าตากทรงผนวชนั้น ก็ได้ทรงพบกับพระภิกษุทองด้วง และได้กลายเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่ง ทั้งพระเจ้าตากและพระภิกษุทองด้วงออกบิณฑบาตด้วยกัน ก็มีอาแปะคนหนึ่งเข้ามาพูดว่า "ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นกษัตริย์สององค์เดินบิณฑบาตด้วยกัน" ซึ่งภิกษุทองด้วงนั้นต่อมาก็คือ รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง
ออกจากพระวิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแล้ว ก็จะพบกับพระอุโบสถเก่าสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า วิหารธัมมัสสวนะ ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่หลายองค์
ที่สำคัญที่สุดคือ พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลายท่านอาจสงสัยตั้งแต่บล็อกก่อน ๆ แล้วว่าพระพุทธรูปฉลองพระองค์คืออะไร ก็จะได้อธิบายกันตรงนี้ครับ พระพุทธรูปฉลองพระองค์ก็คือพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศพระราชกุศลให้แก่พระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ และมีความเชื่อว่าดวงพระวิญญาณจะมาสถิตรวมกับพระพุทธรูปนั้นนั่นเอง
พูดถึงเรื่องพระพุทธรูปฉลองพระองค์ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เราคงรู้กันใช่มั้ยครับว่ารัชกาลที่ ๑ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ส่วนรัชกาลที่ ๒ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งไม่ใช่พระนามโดยแท้จริงของทั้งสองพระองค์เลย แต่เหตุเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งคนสมัยนั้นจะเรียกสมัยรัชกาลที่ ๑ ว่า แผ่นดินต้น เรียกสมัยรัชกาลที่ ๒ ว่า แผ่นดินกลาง ส่วนรัชกาลที่ ๓ ก็เป็นแผ่นดินปลาย
รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชดำริว่ามันดูไม่เป็นมงคล จึงได้สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์นามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้าสุราลัย (ต่อมาเปลี่ยนเป็๋น นภาลัย) แล้วให้เรียกรัชกาลที่ ๑ กับรัชกาลที่ ๒ ตามชื่อของพระพุทธรูปทั้งสององค์นั้น ปัจจุบันทั้งพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและพระพุทธเลิศหล้านภาลัยประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ออกนอกเรื่องไปซะัไกลเลย กลับมาครับกลับมา
ในบริเวณนั้นยังมีสิ่งสำคัญมาก ๆ คือ พระเจดีย์ที่บรรจุพระราชสรีรางคารของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และกรมหลวงบาทบริจาริกา (สอน) ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระองค์
ของพระเจ้าตากก็จะมีความอลังการมากกว่าหน่อย
ของกรมหลวงบาทบริจาริกา (สอน)
พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อิริยาบถทรงม้าแบบที่วงเวียนใหญ่ มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอนุสาวรีย์ที่อยู่ในลักษณะขี่ม้าแบบนี้ด้วย อาจจะเคยอ่านตามเว็บต่าง ๆ แล้วล่ะ ก็คือว่า หากม้ายืนด้วยขาทั้งสี่ขา ก็แสดงว่าผู้ขี่ม้านั้นเสียชีวิตโดยอายุขัยธรรมดา ถ้าม้ายกขาหน้าข้างใดข้างหนึ่ง หมายถึงว่าผู้ขี่ม้าได้รับบาดเจ็บในสนามรบแล้วเสียชีวิตในเวลาต่อมา และถ้าม้ายกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้น หมายความว่าผู้ขี่ม้าพลีชีพในสนามรบ
ลากันไปด้วยภาพของสมเด็จพระเจ้าตากสินในยามเย็นครับ
สำหรับวัดอินทารามวรวิหารนั้น สามารถเดินทางมาได้โดยรถเมล์สาย ๔๓ และ ๔ ที่ผ่านหน้าวัด หรือท่านที่มาจากทางถนนเพชรเกษม เมื่อมาถึงแยกบางยี่เรือแล้ว ก็ให้ลงแล้วต่อรถซูบารุเข้าไปอีกนิดหน่อย หรือหากเดินไหวก็สามารถเดินเข้ามาได้ครับ ละแวกนั้นมีวัดให้แวะไหว้พระหลายวัดมากครับ อาจจะจัดเป็นวอล์กแรลลี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังได้
Create Date : 27 กรกฎาคม 2559 |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2559 23:32:35 น. |
|
3 comments
|
Counter : 15362 Pageviews. |
|
|
|