เที่ยววัดประจำสามรัชกาล วัดราชบพิธ-วัดราชประดิษฐ
ถึงบัดนี้ผมก็ได้เขียนบล็อกของวัดประจำรัชกาลไปแล้วถึง ๓ รัชกาล คือ วัดราชโอรสารามประจำรัชกาลที่ ๓,วัดโพธิ์ ประจำรัชกาลที่ ๑ และวัดอรุณราชวราราม ประจำรัชกาลที่ ๒ในครั้งนี้ก็จะได้เขียนรีวิวถึงวัดประจำรัชกาลทีเดียวถึง ๓ รัชกาลเลย เราจะมาเริ่มกันที่วัดประจำรัชกาลที่๔ คือ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร กันก่อนวัดราชประดิษฐเป็นวัดหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบยังไงไม่รู้คือเป็นวัดที่มีพื้นที่น้อยมาก ดูไม่ค่อยเหมือนวัด แต่เป็นวัดที่เป็นพระอารามหลวงและยังเป็นถึงวัดประจำรัชกาลที่ ๔ เลย ซึ่งวัดนี้ถือเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างที่เล็กที่สุด บริเวณที่สร้างวัดราชประดิษฐนั้นเดิมทีเคยเป็นสวนกาแฟหลวง ต่อมารัชกาลที่๔ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดประจำรัชกาลของพระองค์ขึ้นบริเวณนี้ตามธรรมเนียมการสร้างราชธานีในสมัยโบราณนั้น จะต้องมีวัดสำคัญ ๓ วัดอยู่ในเมืองได้แก่ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐ์ซึ่งขณะนั้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีวัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะแล้วขาดแต่วัดราชประดิษฐ์ รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดนี้ว่าวัดราชประดิษฐ
ก่อนเข้าวัดเราจะพบว่าที่กำแพงวัดมีลักษณะเป็นใบเสมาล้อมรอบไปหมด และมีเสาเสมาหลักอยู่ด้วย ซึ่งนั่นเป็นที่มาของสร้อยนามต่อท้ายวัดที่ว่าสถิตมหาสีมาราม เพื่อเป็นการสื่อวัดนี้เป็นวัดที่มีเสมาล้อมรอบอยู่ทั่ว พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐถือเป็นอาคารหลักของวัดเลย เนื่องจากวัดนี้มีพื้นที่น้อยทำให้ในเขตพุทธาวาสจึงมีเพียงพระวิหารหลวงหลังนี้หลังเดียวที่เป็นหลักและใช้เป็นพระอุโบสถของวัดด้วย
บริเวณที่ตั้งของพระวิหารหลวงนั้นเป็นบริเวณที่มีพื้นดินอ่อน อาจทำให้พระวิหารหลวงทรุดตัวลงได้แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนไทยโบราณก็ได้มีการนำไหกระเทียมถมที่บริเวณพื้นทำให้แข็งแรงขึ้น เห็นเขาบอกว่าบางโอกาสทางวัดจะมีการนำเอาไหกระเทียมออกมาให้คนได้ชมกันด้วยว่าเป็นยังไง ปัจจุบันกำลังมีการบูรณะบริเวณหน้าบันของพระวิหารหลวงอยู่ซึ่งผมเคยอ่านเจอในข่าวเขาบอกว่าวัดนี้ทรุดโทรมมาก ๆ ทำให้ต้องมีการบูรณะกันยกใหญ่ผมไปวัดนี้ครั้งแรกตอนปี ๒๕๕๕ มาจนถึงตอนนี้ ๒๕๕๙ ก็ยังคงมีการบูรณะอยู่อย่างต่อเนื่องในหลายๆ ส่วนของวัด
ตัวพระวิหารหลวงประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อนสวยงามมาก
ด้านในพระวิหารหลวงประดิษฐานพระประธานที่มีนามว่า พระพุทธสิหังคปฏิมากรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่จำลองแบบมาจากพระพุทธสิหิงค์ แต่มีขนาดองค์ที่ใหญ่กว่า
ปกติพระวิหารหลวงจะไม่เปิดยกเว้นเวลาที่พระสงฆ์ทำวัตรสวดมนต์เท่านั้น หรือในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์ก็จะมีการเปิดให้เข้าสักการะพระประธานในพระวิหารหลวง
จิตรกรรมฝาผนังวัดราชประดิษฐนั้นเป็นเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน
ภาพจิตรกรรมที่น่าสนใจก็คือ ภาพจิตรกรรมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงส่องกล้องดูดาวหากมีโอกาสลองไปหาดูนะครับว่าภาพนี้อยู่ส่วนไหนของพระวิหารหลวง
แบบห่างออกมาหน่อย ด้านหลังพระวิหารหลวงมีพระเจดีย์หินอ่อนที่มีนามว่าปาสาณเจดีย์ ประดิษฐานอยู่ ซึ่งลักษณะที่มีพระเจดีย์ประดิษฐานอยู่ด้านหลังพระวิหารหรือพระอุโบสถนั้นก็เพื่อให้ผู้มากราบสักการะสามารถกราบได้ทั้งพระประธานและพระเจดีย์ได้ในคราวเดียวกัน
ที่ฐานของปาสาณเจดีย์ มีพระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราช (สา) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งพระองค์ทรงประทับณ วัดราชประดิษฐแห่งนี้เมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ชีพอยู่พระรูปหล่อองค์นี้หล่อโดยช่างชาวสวิตเซอร์แลนด์
พระที่นั่งทรงธรรม เป็นสถานที่ที่รัชกาลที่ ๔ ทรงใช้สำหรับสดับพระธรรมเทศนา
มีปราสาทที่เป็นศิลปะแบบขอม
ด้านในประดิษฐานพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔
ลองสังเกตที่ฐานของพระบรมรูปให้ดีจะเห็นว่ามีประติมากรรมนูนต่ำเป็นภาพของรัชกาลที่ ๔ประทับในท้องพระโรงโดยมีเหล่าขุนนางเข้าเฝ้า
ภาพสุดท้ายก่อนออกจากวัดราชประดิษฐ ออกจากวัดราชประดิษฐแล้ว เราก็จะพบกับคลองคูเมืองเดิมข้ามไปก็จะถึงวัดต่อไปที่จะเยี่ยมชมกันในวันนี้นั่นคือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารวัดประจำรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๗ แต่ก่อนอื่นเราแวะสักการะอนุสาวรีย์หมูหรืออนุสาวรีย์สหชาติกันก่อน
อนุสาวรีย์หมูนี้สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ(พระราชชนนีของรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗) ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕๐ พรรษาที่สร้างเป็นรูปหมูก็เพราะพระองค์เสด็จพระราชสมภพในปีกุนนั่นเอง ทีนี้ก็จะมาถึงเป้าหมายต่อไปของเรานั่นคือวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามที่ผมได้กล่าวไปว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่๗ อาจจะสงสัยว่าทำไมวัดนี้วัดเดียวถึงเป็นวัดประจำรัชกาลถึงสองรัชกาลคืออย่างนี้ครับ วัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕ นั่นแหละ ทีนี้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖เป็นต้นมา พระองค์ทรงเห็นว่าวัดมีอยู่เยอะแล้วและพระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษามากกว่า จึงได้สร้าง วชิราวุธวิทยาลัยขึ้นมาแทนวัดประจำรัชกาล หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงถือเอาวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์อะไรต่างๆ ขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลแทนที่จะสร้างวัดใหม่ ซึ่งรัชกาลที่ ๗ก็ได้ทรงรับวัดราชบพิธแห่งนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์จึงถือว่าวัดนี้เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๗ ไปด้วย
และก่อนเข้าวัดก็อยากให้ดูที่กำแพงวัดอีกครั้ง วัดราชบพิธก็เหมือนวัดราชประดิษฐตรงนี้มีสร้อยนามว่าสถิตมหาสีมาราม ต่อท้าย ก็มาจากเหตุผลเดียวกันคือมีใบเสมาล้อมรอบที่กำแพงวัดไปหมด ตอกย้ำคำว่า สถิตมหาสีมาราม ทวารบาลของวัดนี้ก็แปลกกว่าวัดอื่นคือเป็นทหารแบบตะวันตกยืนแบกปืนเฝ้าอยู่ วัดราชบพิธเป็นอีกวัดที่มีพื้นที่ไม่กว้างขวางมากนักแต่สิ่งก่อสร้างในวัดล้วนแล้วแต่อลังการทั้งสิ้นว่ากันว่าเป็นรองเพียงวัดพระแก้วเท่านั้น
พระระเบียงคดเป็นวงกลม ขณะที่ผมกำลังนั่งพิมพ์อยู่นี้พระระเบียงคดกำลังอยู่ในระหว่างบูรณะ
ว่ากันว่าผังของวัดนี้จำลองแบบมาจากวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
เข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถกัน
แม้ภายนอกพระอุโบสถจะสร้างด้วยศิลปะแบบไทยแต่ด้านในกลับตกแต่งเป็นแบบตะวันตก ดูสวยงามแปลกตา
ส่วนพระประธานในพระอุโบสถนั้นก็มีนามว่าพระพุทธอังคีรส เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นจากทองที่รัชกาลที่ ๕ทรงใช้แต่งพระองค์เมื่อครั้งทรงพระเยาว์องค์พระพุทธอังคีรสนั้นเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบรัตนโกสินทร์อย่างชัดเจนสังเกตได้จากจีวรที่มีรอยยับย่นเหมือนผ้าจริง ๆ เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดประจำรัชกาลที่๕ และรัชกาลที่ ๗ที่ฐานชุกชีของพระประธานจึงมีพระสรีรางคารของทั้งสองพระองค์ประดิษฐานอยู่แต่ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีพระสรีรางคารของรัชกาลที่ ๒ รัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ รวมไปถึงของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ อีกด้วย
พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕เพิ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยี่ยมชมวัดราชบพิธก็คือสุสานหลวง ครับ ซึ่งก็เป็นสุสานที่เก็บพระสรีรางคารของพระมเหสี พระชายา เจ้าจอมพระราชโอรส และพระราชธิดาของรัชกาลที่ ๕ นั่นแหละครับ โดยรัชกาลที่ ๕ทรงมีพระราชประสงค์ให้พระประยูรญาติทั้งหมดได้อยู่ร่วมกันเหมือนเมื่อครั้งยังทรงพระชนม์จึงมีพระราชดำริให้สร้างสุสานหลวงนี้ขึ้น ภายในสุสานหลวงจะมีพระเจดีย์และอนุสาวรีย์มากมายที่เก็บพระสรีรางคารไว้มากมาย ผมจะขอแนะนำที่สำคัญ ๆน่าชมนะครับ
สุนันทานุสาวรีย์ บรรจุพระสรีรางคารของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรือพระนางเรือล่ม พร้อมด้วยพระสรีรางคารของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์พระราชธิดาที่สิ้นพระชนม์ด้วยกันในคราวเรือล่ม
รังษีวัฒนาบรรจุพระสรีรางคารของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าซึ่งถ้าพูดตามประสาชาวบ้านแล้วก็คือ ย่าของในหลวง นั่นเองซึ่งคำว่าวัฒนาในชื่อของอนุสาวรีย์นั้นก็มาจากพระนามเดิมของพระองค์ท่าน คือสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา นอกจากมีพระสรีรางคารของพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าแล้วยังมีพระสรีรางคารของพระโอรส พระธิดาอีกหลายพระองค์ เช่น พระบรมราชชนกหรือแม้แต่สมเด็จย่า และสมเด็จพระพี่นาง ก็บรรจุไว้ที่นี่เช่นกัน เมื่อครั้งที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคตนั้นก็ได้มีการอัญเชิญพระสรีรางคารมาไว้ที่นี่ ซึ่งสมเด็จพระพี่นางได้ตรัสว่าฉันจะอยู่ข้างแม่ ในเวลานั้น สุสานหลวงทรุดโทรมมากสมเด็จพระพี่นางจึงทรงเป็นประธานในการบูรณะสุสานหลวงแห่งนี้และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ได้มีการอัญเชิญพระสรีรางคารมาไว้เคียงกับของสมเด็จย่า สมดังที่ได้เคยตรัสไว้
เสาวภาประดิษฐาน บรรจุพระสรีรางคารของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถซึ่งทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกของไทย ทรงเป็นพระราชชนนีของรัชกาลที่๖ และรัชกาลที่ ๗ ซึ่งคำว่าเสาวภานั้นก็มาจากพระนามเดิมของพระองค์คือสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี นอกจากนี้แล้วก็ยังมีพระสรีรางคารของพระโอรสพระธิดา และพระนัดดาอีกหลายพระองค์เช่น เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ (ต้นราชสกุลจักรพงษ์ ของฮิวโก้-จุลจักร นั่นเอง) หรือของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ (ตาของฮิวโก้)ก็บรรจุไว้ที่นี่เช่นกัน
สุขุมาลนฤมิตร์ บรรจุพระสรีรางคารของ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระวรราชเทวี และพระราชโอรส พระราชธิดา รวมไปถึงพระมารดาและพระเชษฐภคินีของพระองค์ด้วย พระราชโอรสที่สำคัญๆของสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรีนั้น ก็เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ต้นราชสกุล บริพัตร
พระปรางค์สามยอดแบบลพบุรีบรรจุพระสรีรางคารของ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา พร้อมด้วยพระประยูรญาติ พระโอรสและพระธิดา องค์ที่สำคัญ ๆก็ได้แก่ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร ต้นราชสกุลยุคล และเจ้านายในราชสกุลยุคลอีกหลายองค์เช่น พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ พระบิดาของท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล
อนุสาวรีย์เจ้าจอมมารดาอ่วมซึ่งเจ้าจอมมารดาอ่วมนั้นเป็นพระมารดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ต้นราชสกุล กิติยากร ว่ากันตามประสาชาวบ้านก็คือปู่ของพระราชินี นั่นเอง แน่นอนว่าพระสรีรางคารของพระองค์ก็บรรจุไว้ที่นี่นอกจากนั้นก็ยังมีพระชายา และเจ้านายในราชสกุลกิติยากรอีกหลายองค์ รวมไปถึงคุณพุ่มเจนเซ่น ก็มีอัฐิบรรจุไว้ที่นี่ด้วย
ฉัตรชยานุสรณ์ประดิษฐานพระสรีรางคารของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรฉัตรไชยากรกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งการรถไฟไทย รวมทั้งพระสรีรางคารของพระชายาพระโอรสและพระธิดา
ที่บรรจุพระสรีรางคารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ต้นราชสกุลรพีพัฒน์ ซึ่งทรงเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย รวมไปถึงพระมารดาของพระองค์และเจ้านายในราชสกุลรพีพัฒน์อีกหลายองค์ด้วย ครับก็จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการรีวิวในตอนนี้ที่พาชมวัดประจำรัชกาลถึงสามรัชกาลหากมีเวลาก็อยากให้ได้มาเยี่ยมชมกันนะครับ เพราะนอกจากจะได้ชมศิลปวัฒนธรรมไทยสวย ๆงาม ๆ แล้ว ยังได้ความรู้ในเชิงประวัติศาสตร์อีกด้วย สำหรับการเดินทางนะครับมากันได้ง่าย ๆ วัดราชประดิษฐจะอยู่ในซอย ให้สังเกตทำเนียบองคมนตรีและสวนสราญรมย์(อาคารสีส้ม ๆ มีพระบรมรูปรัชกาลที่ ๔ อยู่ข้างหน้า) อยู่ตรงข้ามวัดพระแก้วเลย เมื่อมาถึงวัดราชประดิษฐแล้วก็เดินข้ามถนน ข้ามคลองมาถึงวัดราชบพิธได้เลย สะดวกดี
Create Date : 09 กรกฎาคม 2559 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2559 21:20:14 น. |
|
4 comments
|
Counter : 3314 Pageviews. |
|
|
|