กรกฏาคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
7 กรกฏาคม 2559
 

ตามหายักษ์วัดโพธิ์ตัวจริง กราบพระอกแตก ณ วัดโพธิ์



ครั้งก่อน ผมได้เขียนถึงวัดราชโอรสารามซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓ ไปแล้ว ต่อไปผมจะได้เขียนรีวิวถึงวัดประจำรัชกาลอีก ๘รัชกาลที่เหลือ

                ในครั้งนี้ผมจะได้เขียนถึงวัดที่เป็นวัดสำคัญอีกวัดหนึ่งของไทยและเป็นวัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑วัดนั้นก็คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันดีในชื่อวัดโพธิ์ วัดนี้เดิมชื่อวัดโพธาราม มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชกาลที่ ๑ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธารามขึ้นใหม่ทั้งพระอารามเสร็จแล้วทรงพระราชทานนามว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส แล้วมาเปลี่ยนเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในสมัยรัชกาลที่ ๔

                วัดโพธิ์แห่งนี้เป็นวัดที่ผมมีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง คือผมเป็นคนชอบเที่ยววัดใช่มั้ยและวัดโพธิ์กับวัดพระแก้วเป็นวัดที่ผมไปบ่อยมาก ๆ แล้วตอนที่เรียนอยู่ปี ๑อาจารย์สอนวิชามนุษย์กับสังคมให้พวกผมจับกลุ่มทำรายงาน จะเกี่ยวกับจิตอาสาหรือทำเกี่ยวกับพวกศิลปวัฒนธรรมก็ได้ซึ่งกลุ่มผมก็เลือกที่จะทำเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม โดยได้มาทำการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่วัดนี้และตอนที่อยู่ปี ๓ พวกผมมีเรียนวิชาวิจัย กลุ่มผมก็ทำวิจัยหัวข้อปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมาท่องเที่ยววัดไทยของชาวญี่ปุ่นก็ได้รับความร่วมมือจากคนญี่ปุ่นในการทำแบบสอบถามงานวิจัยจนผ่านไปได้ด้วยดีแล้วก็ยังเคยพาอาจารย์ชาวญี่ปุ่นมาเที่ยวถึง ๒ ครั้ง

                มาเข้าเรื่องของวัดโพธิ์กันดีกว่าพูดถึงวัดโพธิ์แล้ว สิ่งที่พวกเรานึกถึงก็คงหนีไม่พ้น ยักษ์วัดโพธิ์และผมเชื่อว่าหลายท่านมักจะเข้าใจผิดว่ายักษ์วัดโพธิ์ก็คือรูปปั้นหุ่นจีนหน้าตาขึงขังที่มักปรากฏตามสื่อต่างๆ แต่แท้จริงแล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ วันนี้เราจะได้ไปทำความรู้จักกับยักษ์วัดโพธิ์ตัวจริงเสียงจริงกัน




ก่อนทำความรู้จักกับยักษ์วัดโพธิ์ตัวจริงเรามาทำความรู้จักกับยักษ์หินที่เราเข้าใจผิดกันว่าเป็นยักษ์วัดโพธิ์มาตลอดกันก่อนหุ่นจีนเหล่านี้เรียกว่า ลั่นถัน ครับ นำเข้ามาจากประเทศจีนซึ่งในวัดก็มีอยู่หลายตนทีเดียว



ส่วนยักษ์วัดโพธิ์ตัวจริงอยู่ที่นี่ครับบริเวณซุ้มประตูที่ประมณฑปซึ่งเป็นที่เก็บพระไตรปิฎกปัจจุบันยักษ์วัดโพธิ์เหลืออยู่ ๔ ตน ซึ่งก็เป็นยักษ์จากเรื่องรามเกียรติ์นั่นเองจากตำนานเรื่องท่าเตียนที่ว่ายักษ์วัดโพธิ์ตีกับยักษ์วัดแจ้งนั้นหลังทั้งสองยักษ์ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเตียนโล่งจนถูกเรียกว่าท่าเตียนก็ถูกเทวดาสาปให้เป็นหินเฝ้าประตูวัดอยู่ถึงปัจจุบัน


ตนสีแดงนี้ชื่อ แสงอาทิตย์เป็นหลานของทศกัณฐ์

สีเขียวตนนี้ชื่อ ขรเป็นน้องชายของทศกัณฐ์ และเป็นบิดาของแสงอาทิตย์

สัทธาสูรเป็นกษัตริย์ครองเมืองอัสดงค์ และเป็นสหายของทศกัณฐ์ โดนหนุมานฆ่าตาย


ไมยราพยักษ์ที่สะกดทัพและลักพาตัวพระรามไปยังเมืองบาดาล

                    จุดเด่นที่สุดของวัดโพธิ์ที่เชิญชวนให้คนเข้ามากราบสักการะกันมากที่สุดและมักปรากฏในแผ่นพับโฆษณาการท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็คือองค์พระพุทธไสยาส(เคยอ่านหนังสือของพระวัดโพธิ์รูปหนึ่ง ท่านกล่าวว่าคำว่าไสยาสต้องสะกดแบบนี้เพราะถ้าเป็นไสยาสน์ จะเป็นการสนธิกับคำว่า อาสน์ ซึ่งหมายถึงนั่งแต่นี่คือพระนอน) เป็นพระพุทธไสยาสที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานครบริเวณที่เป็นพระวิหารพระนอนนั้น เดิมเคยเป็นวังของกรมหลวงนรินทรเทวีหรือพระองค์เจ้าหญิงกุ เป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) ของรัชกาลที่ ๑





ตอนที่ผมไปสัมภาษณ์คนญี่ปุ่นถามว่ามาดูอะไรที่วัดโพธิ์ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ตอบว่ามาดูพระนอนองค์นี้ ซึ่งวัดโพธิ์มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก


พระวิหารพระพุทธไสยาสสำหรับท่านที่ไม่เคยไปนะครับ เวลาจะเข้าไปเราต้องถอดรองเท้าใส่ถุงของทางวัดหิ้วเข้าไปด้วยเวลาจะออกมาก็ต้องคืน


วิหารพระพุทธไสยาส มองจากด้านนอกวัด






                 ถึงจะมีเจดีย์มากมายแต่เจดีย์ที่เด่นที่สุดมีอยู่ด้วยกันสี่องค์ เรียกรวมกันว่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาลซึ่งเป็นพระเจดีย์ประจำของรัชกาลที่ ๑-๔

               จุดเริ่มต้นของการสร้างพระมหาเจดีย์สี่รัชกาลนั้นก็มาจากตอนที่รัชกาลที่๑ ทรงขึ้นครองราชย์ ซึ่งขณะนั้น พระศรีสรรเพชญ์ พระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐาน ณวัดพระศรีสรรเพชญ์ในกรุงศรีอยุธยาถูกไฟเผาจนเหลือแต่โกลน(แกนขี้ผึ้งที่ใช้หล่อพระ) และรัชกาลที่ ๑ทรงมีพระราชดำริที่จะหลอมโกลนนั้นเพื่อหล่อเป็นองค์พระศรีสรรเพชญ์ขึ้นมาใหม่แต่ก็มีคนทักว่าการเอาพระองค์พระมาหลอมใหม่มันไม่ดีให้สร้างเป็นพระเจดีย์บรรจุโกลนขององค์พระแทนดีกว่าภายหลังพระเจดีย์นั้นจึงมีนามว่า พระเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณก็มาจากนามของพระศรีสรรเพชญ์ และถือเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑

                ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ได้ทรงสร้างพระเจดีย์เพื่ออุทิศพระราชกุศลให้แก่รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นพระบรมราชชนกและสร้างขึ้นเป็นการส่วนพระองค์อีกหนึ่งองค์ ทำให้เกิดมีพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๒ที่มีนามว่า พระเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน และพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๓ คือพระเจดีย์มุนีบัตบริขาร

จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ก็ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ที่จำลองแบบมาจากพระเจดีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัยที่อยุธยาและได้นามว่า พระเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย การสร้างพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลนี้ยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่๕ เพราะไม่มีพื้นที่วัดพอที่จะสร้างแล้ว และทรงมีพระราชดำริว่ารัชกาลที่ ๑-๔นั้นทรงเคยเห็นมาทั้งหมด จึงควรที่จะมีพระเจดีย์อยู่ด้วยกัน (รัชกาลที่ ๔พระราชสมภพในสมัยรัชกาลที่ ๑ และเมื่อมีพระชนมายุได้ ๖ พรรษา รัชกาลที่ ๑ก็สวรรคต)


(จากซ้าย)พระเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย ประจำรัชกาลที่ ๔,พระเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทานประจำรัชกาลที่ ๒,พระเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ ประจำรัชกาลที่ ๑,พระเจดีย์มุนีบัตบริขารประจำรัชกาลที่ ๓

พระระเบียงรอบๆ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้หลายองค์มาก




          อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อมาวัดโพธิ์ก็คือจารึกวัดโพธิ์ ที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกแห่งความทรงจำของโลกซึ่งจารึกเหล่านี้ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพวิชาความรู้ทั้งด้านวรรณคดี หรือจะเป็นการแพทย์แผนโบราณ ฯลฯแล้วนำไปติดไว้ที่วัดโพธิ์และอีกหลาย ๆ วัด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน ทำให้วัดโพธิ์ได้รับการยกย่องว่าเป็น“มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย”





ทีนี้เราก็จะเข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถกันบ้างครับเป็นธรรมเนียมของการไปวัดทุกวัด


พระอุโบสถหลังใหญ่มากจนกล้องผมเก็บไม่หมด


พระประธานในพระอุโบสถมีนามว่าพระพุทธเทวปฏิมากร เดิมเคยเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดคูหาสวรรค์(ปัจจุบันอยู่ในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร)เมื่อครั้งที่วัดยังมีนามว่าวัดศาลาสี่หน้า หลังจากที่รัชกาลที่ ๑ทรงสร้างวัดโพธิ์แล้วทรงทราบว่าพระประธานของวัดศาลาสี่หน้านั้นมีพุทธลักษณะที่งดงามจึงได้อัญเชิญมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดโพธิ์แห่งนี้


ที่ฐานขององค์พระประธานเก็บพระสรีรางคารของรัชกาลที่ ๑ อยู่ด้วย

              วัดโพธิ์เป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ครับนอกจากพระอุโบสถแล้ว ยังมีพระวิหารทิศที่รายรอบพระอุโบสถอยู่อีกต่างหากในพระวิหารแต่ละหลังก็ประดิษฐานพระประธานที่ล้วนแล้วแต่มีพุทธลักษณะงดงามทั้งสิ้น


พระวิหารทิศเหนือประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์นามว่า พระพุทธปาลิไลย ภิรัติไตรวิเวกเอกจาริกสมาจาร วิมุติญาณบพิตร เป็นพระพุทธรูปที่เพิ่งหล่อในสมัยรัตนโกสินทร์


พระวิหารทิศใต้ประดิษฐานพระประธานนามว่า พระพุทธชินราช วโรวาทธรรมจักร อัครปฐมเทศนา นราศภบพิตรอัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย มีปัญจวัคคีย์นั่งฟังธรรมอยู่


พระวิหารทิศตะวันออกมุขหน้า ประดิษฐานพระประธานนามว่า พระพุทธมารวิชัย อภัยปรปักษ์อัครพฤกษ์โพธิภิรมย์ อภิสมพุทธบพิตร ประทับใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์อัญเชิญมาจากเมืองสวรรคโลก ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๑ได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปที่ชำรุดจากหัวเมืองเหนือเข้ามาบูรณะในกรุงเทพฯ ถึง๑,๒๔๘ องค์ ทำให้หลายวัดในกรุงเทพฯ มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย


                       และพระอกแตกที่ผมได้จั่วหัวรีวิวนั้นก็อยู่ที่นี่นั่นเองมุขหลังของพระวิหารทิศตะวันออก องค์พระมีนามว่า พระพุทธโลกนาถ ราชมหาสมมติวงศ์องค์อนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ใช่ปางห้ามญาตินะครับ ถ้าเป็นปางห้ามญาติจะยกพระหัตถ์ขวาแต่องค์นี้ยกพระหัตถ์ซ้ายซึ่งเป็นปางที่เรียกว่า ปางห้ามพระแก่นจันทน์ก็มีที่มาจากในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นจากไม้แก่นจันทน์เพื่อกราบไหว้บูชาแทน(นับว่าเป็นพระพุทธรูปองค์แรกของโลก) เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาแล้วพระพุทธรูปแก่นจันทน์ได้ลอยออกจากแท่นคล้ายจะหลีกทางให้พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าจึงทรงยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นห้าม พระแก่นจันทน์ก็หยุดลอย



                    เหตุที่เรียกว่าพระอกแตกก็เป็นเพราะว่าเดิมพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานในพระวิหารในวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงศรีอยุธยา ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก ได้มีลางร้ายเมื่อพระอุระ (อก) ขององค์พระได้ปริแตกออกจนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้อัญเชิญพระพุทธโลกนาถองค์นี้เข้ามาบูรณะยังกรุงเทพฯแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานที่วัดโพธิ์ตราบจนทุกวันนี้โดยมักจะมีสาธุชนมาขอพรในเรื่องของการมีบุตรกับพระโลกนาถนี้บ่อย ๆขนาดฝรั่งชาวเยอรมันก็ยังเคยมาขอลูกจนได้ลูกไปสมปรารถนาต้องกลับมากราบอีกครั้งอย่างที่เคยเป็นข่าวไปแล้ว


                 สุดท้ายเราจะไปกันที่พระวิหารทิศตะวันตกที่ประดิษฐานพระประธานปางนาคปรกนามว่า พระพุทธชินสีห์มุนีนาถ อุรคอาสน์บัลลังก์อุทธังทิศภาคนาคปรก ดิลกภพบพิตร ซึ่งนับว่าเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกที่ค่อนข้างแปลกเล็กน้อยคือองค์พระเป็นปางมารวิชัยแทนที่จะเป็นปางสมาธิ (เกร็ดความรู้จากชื่อองค์พระอุรคอาสน์บัลลังก์ ก็หมายถึงพญานาคที่ขดตัวเป็นแท่นให้พระพุทธเจ้าประทับเพราะคำว่า อุรค หมายถึง งู)

เดินเที่ยวชมวัดกันมาเยอะแล้วอาจจะเมื่อยเอาได้ ก็ไม่ต้องห่วง ลองทำตามท่าของฤๅษีดัดตนดู อาจจะหายเมื่อยก็ได้ซึ่งฤๅษีดัดตนนี้เป็นตำราแก้อาการเมื่อยขบต่าง ๆ ที่รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นแล้วนำไปไว้ที่วัดโพธิ์






พระฤๅษีตนนี้แปลกหน่อยมีใบหน้าเป็นกวาง ซึ่งท่านมีนามว่า พระฤๅษีกไลโกฏ ปรากฏในเรื่องรามเกียรติ์ด้วย โดยฤๅษีกไลโกฏเป็น๑ ใน ๕ พระฤๅษีที่ท้าวทศรถอัญเชิญมาทำพิธีขอบุตรจากพระอิศวร ได้โอรสสี่องค์คือพระราม พระพรต พระลักษมณ์ และพระสัตรุดเหตุที่ท่านมีหน้าเป็นกวางก็เพราะมีมารดาเป็นกวางนั่นเอง


                    ต่อไปเราจะเยี่ยมชมศาลาการเปรียญกันซึ่งศาลาการเปรียญหลังนี้เป็นพระอุโบสถเก่าของวัดโพธิ์ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัดโพธารามในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อรัชกาลที่ ๑ ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์แล้วก็ได้ทรงแปลงพระอุโบสถหลังเก่าให้เป็นศาลาการเปรียญ


                  ด้านในประดิษฐานพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์หนึ่งของวัดนามว่าพระศาสดา ศาลาการเปรียญจะเปิดในวันอาทิตย์ ก็จะมีเด็ก ๆนักเรียนในแถบนั้นเข้าไปเล่นกันเต็มไปหมด

                  สำหรับท่านที่ต้องการเดินทางมาวัดโพธิ์นะครับก็สามารถมาได้โดยรถเมล์สาย , , , , ๑๒, ๒๕, ๓๒, ๔๔, ๔๗, ๔๘, ๕๓, ๘๒ หรือถ้าเป็นรถปรับอากาศก็เป็นสาย ปอ.๑, ปอ.พ. ๔, ปอ.๕๐๗, ปอ.๕๐๘, ปอ.๑๒, ปอ.๔๔, ปอ.๔๘หรือหากมาทางเรือก็สามารถมาได้ทางเรือด่วนเจ้าพระยาลงที่ท่าเตียนแล้วเดินอีกนิดหน่อยก็จะถึงวัดครับ





Create Date : 07 กรกฎาคม 2559
Last Update : 7 กรกฎาคม 2559 1:19:08 น. 6 comments
Counter : 10067 Pageviews.  
 
 
 
 
ตามไปด้วยนะคะ
 
 

โดย: One Step to Joy วันที่: 7 กรกฎาคม 2559 เวลา:2:46:52 น.  

 
 
 


*~*~*~*..แวะมาทักทายจ๊ะ..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..*~*~*~*

..HappY BrightDaY..
 
 

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 7 กรกฎาคม 2559 เวลา:14:11:00 น.  

 
 
 
ขอให้มีความสุขเช่นกันครับ
 
 

โดย: เอกบุรุษ สุดขอบฟ้า วันที่: 7 กรกฎาคม 2559 เวลา:22:20:20 น.  

 
 
 
thx u crab
 
 

โดย: Kavanich96 วันที่: 8 กรกฎาคม 2559 เวลา:4:22:14 น.  

 
 
 
ตามไปเที่ยววัดโพธิ์ด้วยครับ อ่านประวัติจุใจมากๆ
 
 

โดย: ทนายอ้วน วันที่: 8 กรกฎาคม 2559 เวลา:11:45:44 น.  

 
 
 
ได้ความรู้เยอะเลยครับ ผมก็เข้าใจผิดมาตลอดว่าวัดยักษ์โพธิ์คือยักษ์จีน
 
 

โดย: ไอฟายน้อย (Ces ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2559 เวลา:7:00:40 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

เอกบุรุษ สุดขอบฟ้า
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เอกบุรุษ สุดขอบฟ้า's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com