|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
[12] Nasty stowaways : เหล่าร้ายแฝงกายข้ามประเทศ
...
แน็ตตี้ยัดกระเป๋าเดินทางหนักอึ้งลงในช่องเก็บของหลังรถฟอร์ดแอสคอร์ทคันเล็กของแซลลี่แล้วปิดฝากระโปรงหลังลง
อากาศในยามเช้าตรู่วันนี้ทั้งหนาวและชื้น แผงเมฆสีเทาเหมือนสีของหินชนวนลอยตัวต่ำคืบคลานเข้ามาจากทะเล เป็นโชคของแน็ตตี้ที่เธอคว้าเสื้อกันหนาวหนังแกะเนื้อนุ่มติดมือมาด้วยทั้ง ๆ ที่รู้แน่แก่ใจว่าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันตอนที่เธอเดินทางไปถึงออสเตรเลียแล้ว แน็ตตี้ใช้มือข้างหนึ่งรวบผมยาวสลวยเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้น โค้งฟ้าเบื้องบนดูซบเซา และหญิงสาวพอจะเดาได้ว่าฝนคงลงเม็ดก่อนเที่ยงวัน แต่เธอก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรนัก เพราะเวลานั้นของวันนี้เธอคงกำลังล่องลอยอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเหนือทวีปยุโรป และกำลังนั่งดูโทรทัศน์พร้อมกับฟังเสียงครางกระหึ่มของเครื่องบิน
"เรียบร้อยแล้วนะ?"
แซลลี่ถามอย่างร่าเริงในขณะที่กำลังปิดประตูบ้านของเธอ แน็ตตี้พยักหน้าตอบทั้ง ๆ ที่ในใจว้าวุ่น มั่นใจเหลือเกินว่ายังมีงานอีกนับล้านอย่างที่เธอลืมทำ แต่เอาเถอะ มานึกได้ตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว จิตรกรสาวพยายามทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเขียนรายการเอาไว้แต่นึกอะไรไม่ออกสักอย่าง ถึงกระนั้นไอ้ความรู้สึกยิก ๆ ที่ว่าเธอลืมทำสิ่งสำคัญอะไรไปสักชิ้นกลับไม่ยอมจางหายไปสักที หรือไม่งั้นมันคงจะเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่คุกรุ่นมาตั้งแต่เช้า
แน็ตตี้ผละจากตัวถังรถสีแดงแล้วเดินอ้อมไปหาประตูรถฝั่งผู้โดยสาร แต่ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หญิงสาวจึงหันไปหาแซลลี่ "ขอเวลาอีกแป๊บนึงได้ไหมคะ?"
"ตามสบายเลย เพราะพี่ไม่ได้เป็นคนที่ต้องรีบไปให้ทันเครื่องบิน"
แน็ตตี้เอ่ยคำขอบคุณแล้วเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งที่เต็มไปด้วยบ้านที่สร้างแบบมีระเบียงยื่นออกมาเรียงรายเป็นแถวยาว และเมื่อเธอเดินไปจนถึงซอยแคบ ๆ ที่อยู่ต่อจากบ้านหลังสุดท้าย จิตรกรสาวก็เห็นฌอนก้าวออกมาจากเงามืด
"คิดแล้วว่าต้องเป็นคุณ" เธอกระซิบเสียงเบา
ฌอนไม่ตอบคำ และแน็ตตี้ถึงกับตะลึงงันเมื่อได้เห็นสภาพอันทรุดโทรมของเขาเต็มตา วงหน้าที่เคยหล่อเหลาคมคายบัดนี้กลับซูบเซียวและเขรอะไปด้วยหนวดเคราสีเข้มที่คงไม่ถูกใบมีดโกนมาหลายวันแล้ว เสื้อผ้าของเขายับยู่สกปรก ผมเผ้ารุงรัง ตัวของเขาเหม็นเปรี้ยวจากกลิ่นเหงื่อและกลิ่นวิสกี้ค้างปีเหมือนกับว่าเขาไปนั่งดวดเหล้าอยู่ในผับมาตลอดทั้งวัน
แต่ดวงตาของเขาทำให้เธอถึงกับอึ้ง
ลูกตาทั้งคู่จมลึก วงดำที่ล้อมอยู่โดยรอบบอกชัดถึงภาวะอดนอนผนวกกับการมีชีวิตอันทรมานในยามตื่น โครงข่ายเส้นเลือดสานอยู่บนตาขาวจนแดงก่ำ รูม่านตาขยายกว้างและแววตาเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันและกันอย่างเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ แน็ตตี้อับจนคำพูด ความรู้สึกผิดท่วมท้นขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกโกรธขึ้งก็ยังคงอยู่
ท้ายที่สุดฌอนก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนา
"ผม...มองเห็น" เขาพึมพำ สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับหญิงสาวจนน่าอึดอัด "ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ควรมองเห็น"
เสียงของเขาแหบต่ำและไม่มีแววเยาะหยันเจือปนอยู่แม้แต่น้อย ชายหนุ่มก้มหน้าลง ขยับปลายเท้าเล็กน้อยแล้วหดตัวซุกลงหาไออุ่นจากเสื้อคลุมสีเข้มราวกับรู้สึกว่าอากาศเย็นฉ่ำในตอนเช้าวันนี้มันหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูกดำ ลมทะเลเค็ม ๆ แทรกตัวผ่านร่างทั้งสอง พัดพาให้เส้นผมเหนียวเหนอะของเขาสะบัดไหวก่อนที่จะพลิ้วตัวผ่านซอยแคบ ๆ นั้นไป เสียงคลื่นซัดฝั่งดังแว่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอโดยมีเสียงร้องแหลมจากนกนางนวลแทรกขึ้นมาเป็นครั้งคราว
"ผมถูกสาป นาตาชา ผมโดนคำสาปแช่ง" ฌอนยกสายตาขึ้นมาสำรวจใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง "คุณกำลังอยู่ในอันตราย" เขากระซิบพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกี่ยวลอนผมสีน้ำตาลแดงของเธอที่พลิ้วไปตามแรงลม
แน็ตตี้ไม่ได้สะบัดหนี หากปล่อยให้เขาไล้ปลายนิ้วลงมาตามเรือนผมจนมาแตะอยู่ที่หัวไหล่แล้วจึงถามขึ้น "อันตรายจากไหน? จากคุณงั้นเรอะ?"
ฌอนปล่อยมือจากบ่าของเธอด้วยท่าทีละห้อยหาพลางจ้องตาเธออีกครั้ง เขาทำสีหน้าเหมือนกำลังเห็นใจเธออย่างเต็มที่ "คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก" เขาตอบเรียบ ๆ "คุณควรจะกลัว เขา มากกว่า"
"ใคร?"
"ผู้ชายในเงามืด ขุนนางใหญ่แห่งภูตคนนั้น"
แน็ตตี้เกือบจะหลุดปากหัวเราะออกมาอยู่แล้ว แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของคู่สนทนาทำให้เธอรักษาอาการเงียบขรึมและเยือกเย็นเอาไว้ได้ เธอเคยอ่านเจอบทความเกี่ยวกับอาการทางประสาทที่อาจเกิดตามมาจากการบาดเจ็บสาหัส -และก็ไม่มีใครรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้ในคืนที่เขาออกไปเดินเร่ร่อนอยู่บนเนินเขานั่น
ถึงกระนั้นร่องรอยของอารมณ์ขบขันก็ยังฉายผ่านออกมาทางสีหน้าของหญิงสาว และฌอนก็จับสังเกตมันได้ เขาถึงกับโคลงศีรษะน้อย ๆ "เขาอยากได้ตัวคุณนะ นาตาชา จะเพราะความรักหรือความใคร่ก็แล้วแต่ แต่เขาต้องการคุณไปเป็นราชินี คุณอย่าเชื่อเขานะ เขาคือเจ้าแห่งการหลอกลวง ถ้าคุณหลงเชื่อเขา คุณจะสูญเสียทุกอย่าง แม้แต่วิญญาณของคุณก็จะโดนทอดทิ้ง"
แน็ตตี้รู้สึกถึงความหวาดผวาอันเย็นเยียบที่พุ่งตัวขึ้นมาตามแนวสันหลัง
"ผมรู้ดีว่าเขาพยายามจีบคุณผ่านทางความฝัน"
ลมหายใจของหญิงสาวกระตุก เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? แน็ตตี้ไม่เคยเล่าเรื่องฝันร้ายของเธอให้ใครฟังเลยสักครั้ง ไม่แม้กระทั่งกับรู้ธตี้
หญิงสาวอ้าปากขึ้น ตั้งใจจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ฌอนหยุดเธอไว้ด้วยการแตะปลายนิ้วเย็น ๆ ลงกับริมฝีปากของเธอ แววในดวงตาของแน็ตตี้กร้าวขึ้นแต่เธอบังคับตัวเองเอาไว้ไม่ให้สะบัดหนี นิ้วของชายหนุ่มเย็นเฉียบราวกับน้ำทะเล เหมือนนิ้วของคนตาย
"เขาจะตามคุณไป นาตาชา เขาคลั่งไคล้คุณมาก ผมรู้ดี เพราะ เขา เป็นคนทำให้ผมเป็นแบบนี้เพื่อแก้แค้นในสิ่งที่ผมกับคุณไว้ เขาทำให้ผมมองเห็นสิ่งสยดสยองในเวลากลางคืน และเปิดดวงตาของผมให้มองเห็นดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ดินแดนที่อยู่ใต้แผ่นดิน"
ชายหนุ่มชะงัก เขากระพริบตาช้า ๆ เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
"ผมขอโทษ นาตาชา สำหรับทุกอย่างที่ผมทำลงไป ตอนนี้ผมเห็น... เห็นสิ่งที่อยู่ ภายใน ร่างกายคน ในตัวของคุณมีดวงไฟดวงใหญ่ที่กำลังลุกไหม้ส่องสว่าง มันเหมือนเป็นสัญญาณให้พวกนั้น พวกนั้นถูกดึงดูดให้เข้ามาหาคุณ... เอ่อ... เหมือนแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ คุณเป็นคนหล่อเลี้ยงพวกมัน นาตาชา ตัวคุณเอง งานของคุณ" เขายิ้มเจื่อน "ไอ้ภาพวาดบ้า ๆ พวกนั้นแหล่ะ"
เขาละมือไปจากเธออย่างช้า ๆ ในเวลานั้นต่างฝ่ายต่างเงียบงัน มีเพียงสายลมยามเช้ากับอารมณ์และความทรงจำอันยาวนานเท่านั้นที่ไหลเวียนผ่านระหว่างคนทั้งสอง ในที่สุดสายตาของฌอนก็ละไปจากวงหน้าของหญิงสาวแล้วเพ่งมองอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของเธอ เขาซุกตัวลึกเข้าไปในเสื้อคลุมก่อนพูดขึ้น
"ผมต้องไปแล้ว"
จากนั้นก็ก้าวผ่านเธอไปโดยไม่รอฟังคำตอบ เขาเดินคอตกข้ามถนนไปอีกฟากก่อนบ่ายหน้าตรงไปยังชายฝั่งทะเล
แน็ตตี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ไม่แน่ใจว่าเธอควรจะหัวเราะเยาะเขาดีหรือควรจะกลัวในสิ่งที่เขาเพิ่งจะเอ่ยปากบอกกับเธอดี หญิงสาวยืนอยู่ริมถนนอย่างนั้นเป็นเวลานานจนกระทั่งเสียงของแซลลี่ที่ตะโกนข้ามฝั่งถนนมาช่วยปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ซุกมือสองข้างลงไปหาไออุ่นในกระเป๋าเสื้อแล้วจึงหันหลังเดินกลับมาหาแซลลี่ที่ยืนรออยู่ข้างรถ
"ไอ้เฮงซวยนั่นมันต้องการอะไรอีกหล่ะ?" แซลลี่ถามในพลางสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกสู่ถนนสายหลักที่ตรงเข้าสู่ตัวเมืองกัลเวย์
"เขาแค่อยากมาบอกลา" แน็ตตี้ตอบแบบเหม่อ ๆ
"พี่ยังแปลกใจที่เธอยังยอมพูดกับมันอีก" แซลลี่ตั้งข้อสังเกต
"ฉันก็ยังแปลกใจตัวเองอยู่เลยค่ะ"
...
ค่ำคืนคืบคลานเข้ามา และราตรีกาลอันมืดมิดแผ่ตัวลงปกคลุมแผ่นดินเหมือนผ้าปูเตียงที่ถักทอขึ้นจากขนนกอ่อนนุ่ม
ในขณะที่เครื่องบินของนาตาชากำลังร่อนอยู่เหนือภูมิภาคตะวันออกกลาง การเตรียมการเดินทางเพื่อแลกเปลี่ยนคฤหาสน์ของเหล่าภูตก็กำลังเริ่มขึ้น บริเวณลานด้านนอกคฤหาสน์ล้นหลามไปด้วยบรรดาภูตหลายขนาดหลากประเภท พวกที่โชคดีมีปีกเป็นของตัวเองต่างพากันบินฉวัดเฉวียนไปทั่วด้วยความตื่นเต้นกับการรอคอยให้พระจันทร์วันเพ็ญเคลื่อนขึ้นสู่จุดสูงสุดของโค้งฟ้า ในขณะที่สมาชิกภูตตนอื่น ๆ ที่ไม่ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านในฐานะไกด์นำเที่ยวต่างก็เสาะหาพาหนะสำหรับโดยสารกันได้เป็นที่เรียบร้อย มันดูเหมือนเป็นการชุมนุมของเหล่าสรรพสัตว์ที่มีตั้งแต่ผีเสื้อกลางคืน ผีเสื้อธรรมดา แมลงปอ นกกระจอก ไปจนถึงเหยี่ยว นกฮูกและนกอินทรีย์ ซึ่งต่างถูกบังคับควบคุมด้วยบังเหียนวิเศษที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อการเดินทางครั้งนี้โดยเฉพาะ
ส่วนม้าโดยสารของเหล่าขุนนางยังคงถูกกักตัวไว้ในคอก ซึ่งผู้ที่มีสิทธิขี่ม้าเหล่านี้ได้ก็มีแต่ภูตที่ทำหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าเท่านั้น ม้าทั้งหมดจะถูกจูงออกมาเมื่อใกล้ถึงกำหนดการเดินทางเพราะพวกมันออกจะขี้ตกใจและมีอารมณ์แปรปรวนอยู่เสมอ หรือหากจะว่ากันตรง ๆ ก็คือพวกมันเป็นม้าอารมณ์บูดตลอดชาตินั่นแหล่ะ
เวทมนตร์ของคณะผู้ร่ายเวทเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว รอคอยเพียงแสงนำโชคจากพระจันทร์เต็มดวงยามที่มันเคลื่อนสู่จุดสูงสุดของโค้งฟ้าเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเวทมนตร์ของภูตแฟรี่จะแข็งแกร่งที่สุดในยามที่จันทร์ทอแสงกระจ่างที่สุดนั่นเอง
เนินดินโล่งเตียนถูกอาบไล้ไปด้วยแสงขาวนวลลออที่สาดส่องไปจนถึงมุมมืดตามขอบโดยรอบของทุ่งหญ้าเหมือนสายน้ำนมที่หกกระฉอกออกไป ต้นไม้ที่ขึ้นเรียงรายอยู่โดยรอบขอบทุ่งขยับไหวในสายลมแห้งแห่งเที่ยงคืนราวกับกำลังอำนวยพรให้คณะภูตเดินทางโดยสวัสดิภาพ อำนาจแห่งเวทที่กล้าแข็งขึ้นทำให้เหล่านกและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหยุดการส่งเสียง แล้วพากันมานั่งจุมปุ๊กหรือไม่ก็เกาะอยู่ตามกิ่งไม้เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คณะภูตที่ถูกคัดเลือกให้อยู่เฝ้าบ้านได้แก่ภูตฮอบที่มีความสุขุมรอบคอบกลุ่มหนึ่งกับเอฟล์สองสามตนที่โชคร้ายจากการจับไม้สั้นไม้ยาวแยกตัวออกไปนั่งหงอยอยู่บนเนินหญ้าอีกฟากหนึ่ง พวกมันเฝ้ามองการเตรียมการเดินทางด้วยใบหน้าบูดบึ้งและริมฝีปากยู่ยื่น
หนึ่งในคณะผู้ร่ายเวทที่เป็นภูตชราและมีความเชี่ยวชาญเป็นเลิศนามว่ากัลแกร์รี่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ เพ่งสายตามองดูดวงจันทร์นิ่งอยู่เป็นนาน เหล่าภูตทั้งหลายต่างพากันเงยหน้ามองตามขึ้นไปอย่างพร้อมเพรียง
ผู้ร่ายเวทจอมเจ้าเล่ห์ละตาลงมากวาดมองซ้ายมองขวาเพื่อสำรวจหมู่ชนจนแน่ใจว่าทุกตัวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าหมดแล้วจึงค่อย ๆ ม้วนชายแขนเสื้อที่ทั้งยาวและหนักขึ้นเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาโรเล็กซ์บนข้อมือ (ที่ซื้อต่อมาจากช่างบัดกรีโลหะขี้โม้ที่เดินทางผ่านมาแถวนี้ ของปลอมแหงแซะแต่เลียนแบบของจริงได้เหมือนเปี๊ยบ)
จากนั้นจอมเวทชราก็คลายม้วนชายแขนเสื้อให้กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนชูไม้เท้าที่สลักจากไม้ฮาเซลเก่าคร่ำคร่าสู่อากาศ พร้อมประกาศก้องราวฟ้าถล่ม
"ได้เวลาแล้ว!"
เพลิงเย็นสีขาวเจิดจ้าปะทุออกจากปลายไม้เท้า พุ่งเป็นสายขึ้นไประเบิดกลางโค้งฟ้าที่เรียบเนียนราวผิวกำมะหยี่ ผู้ร่ายเวทท่านอื่นค่อย ๆ ยันตัวลุกยืนอย่างระโหยโรยแรงพร้อมจุ๊ปากจิ๊กจั๊กและส่ายหัวเหี่ยว ๆ ไปมา ไอ้แก่กัลแกร์รี่ชอบทำตัวเด่นแบบนี้เสมอละ
แต่กระนั้นคำประกาศของจอมเวทก็ได้รับการตอบสนองด้วยเสียงโห่ร้องถล่มทลาย และเหล่าภูตก็เริ่มจัดแถวเข้าเป็นขบวนยิ่งใหญ่ ยืดยาวและคดเคี้ยวเลี้ยวรอบเนินเขาแห่งนั้นทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใด
วัวสองสามตัวที่ยืนมองอยู่แถวนั้นตัดสินใจได้ว่ารู้สึกเอียนกับกิจกรรมนี้เต็มทีแล้ว พวกมันออกเดินช้า ๆ กลับไปหาฝูงเพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ตรงมุมสงบด้านในสุดของทุ่งหญ้าซึ่งปลอดภัยจากการโดนพวกเอลฟ์เด็ก ๆ เดินเหยียบ
...
บริเวณขอบด้านนอกสุดของเนินหญ้าด้านใต้ลมและถูกครอบไว้ด้วยคาถาบังตาคือที่ซุ่มซ่อนสังเกตการณ์ของทู'ลลอชและสมุนของนาง
"ไปกันยัง?" ผีโบกี้ตนหนึ่งกระซิบขึ้น
ทู'ลลอชถอนหายใจเฮือก นางหมุนตัวกลับแล้วต่อยโครมเข้ากลางแสกหน้าของผีโชคร้าย เจ้าโบกี้ร้องจ๊ากในขณะที่กลิ้งหลุน ๆ ลงไปตามลาดเนิน
"ข้าบอกแล้วไงว่าให้ "รอก่อน"" ทู'ลลอชย้ำเสียงเย็นเฉียบพลางกวาดสายตาพิฆาตไปทั่ว เหล่าลูกน้องที่นางคัดเลือกให้ร่วมขบวนการครั้งนี้มีหลากหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจที่ดุร้ายที่สุด น่าขยะแขยงที่สุดและมีความฉลาดแกมโกงมากที่สุดเท่าที่นางจะสรรหามาได้ ปีศาจหลายตนมีปีกที่ไปขโมยมายื่นออกจากแผ่นหลังในมุมแปลก ๆ มีทั้งปีกตัวด้วง ปีกนกนางนวล ปีกนกแก้วออสเตรเลีย ลูกปีศาจโอกรีย์ตนหนึ่งอุตส่าห์ลงทุนไปขโมยปีกอีแร้งคู่สวยมาจากสวนสัตว์กัลเวย์เชียวนะ ส่วนพวกที่ไม่สามารถหาอุปกรณ์เสริมจากแมลงหรือนกได้ก็จำยอมต้องใช้วิธีการเดินทางแบบดั้งเดิมอันได้แก่ไม้กวาดที่ทำจากกิ่งเบิร์ชและหญ้าแห้วหมูที่มัดเป็นฟ่อนด้วยเชือก
แม้ว่าพวกปีศาจที่ถูกคัดเลือกมาจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่ทู'ลลอชมั่นใจว่านางได้เลือกผู้ร่วมงานโดยพิจารณาจากความสามารถอันโดดเด่นและมีกลิ่นตัวเหม็นน้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้ว
เมื่อเหล่าลูกสมุนพากันหลบตาลงต่ำด้วยท่าทีเชื่อฟังอย่างพร้อมเพรียงแล้ว นางจึงหันหลับไปให้ความสนใจกับการเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ
ฟินวาร์รา โรบิน กู๊ดเฟลโล่ และผู้รับใช้ใกล้ชิดต่างขึ้นขี่อยู่บนหลังอาชาพ่วงพีสีดำสนิทเรียบร้อยแล้ว (อย่างน้อยอีตานั่นก็พอจะมีรสนิยมอยู่บ้างแฮะ ทู'ลลอชคิดเรื่อยเปื่อย) และกำลังเคลื่อนขบวนผ่านฝูงชนเพื่อยังบริเวณหัวแถว ธงยาวรูปสามเหลี่ยมประดับด้วยผ้าไหมสีสดในมือของพลขับม้าที่รายล้อมอยู่รอบกายท่านเจ้าโบกสะบัดปลิวไสวอยู่ในสายลมแรง
ทู'ลลอชพ่นลมฟู่ให้ตัวเองเมื่อนางลากดวงตาสีขาวขุ่นไปทั่วกลุ่มผู้ชุมนุม ช่างมากมายเหลือเกิน! การรวมพลนั่นทำให้คณะภูตดำของนางดูปัญญาอ่อนและกระจอกงอกง่อยไปในพริบตา ฟินวาร์ราน่าจะมีภูตใต้บังคับบัญชาอยู่หลายร้อนตนในขณะที่นางมีสมุนอยู่ไม่ครบหกโหลดีด้วยซ้ำ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นพวกผีโบกี้กะเลวกะลาดกับญาติพี่น้องของมัน ผีที่ไม่มีใครในโลกนี้กลัวกันแล้วนอกจากเด็กขวัญอ่อนกับพวกขี้เมาปัญญานิ่มเท่านั้น
แม่มดแห่งป่าส่ายศีรษะที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยเรือนผมสีดำสนิทไปมา นางมองเห็นฟินวาร์ราให้สัญญาณ และแทบจะในทันทีนั้นที่คณะภูตเริ่มเคลื่อนขบวนพร้อมกับเสียงประโคมกลอง ฟลู้ท ปี่ฝรั่ง เสียงขับร้องและวงเครื่องสายดังสนั่นขึ้น เสียงแปร่งแปร๋นของดนตรีและการร้องเล่นเต้นรำน่าเวียนหัวโถมถลาเข้าใส่เหล่าภูตดำเหมือนคลื่นเหม็นเน่าของสายน้ำบริสุทธิ์จากขุนเขา และทู'ลลอชได้ยินเสียงโก่งคออ้วกโอ้กอ้ากดังมาจากลูกน้องหลายตนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ขบวนแห่เคลื่อนตัวคดเคี้ยวไปตามลาดเขาแล้วชักแถวข้ามทุ่งหญ้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ต้นไม้และทุ่งกว้างสว่างไสวไปด้วยประกายเวทมนตร์ขาวเรืองที่พุ่งตัวเป็นสายโค้งออกจากกลางขบวน เหล่านางไม้ตัวจ้อย ภูตบัตเตอร์ฮัมและภูตควิกซ์โฉบเฉวียนไปมาอยู่ระหว่างแถวของผู้เดินทาง แสงจันทร์วันเพ็ญกระจ่างสาดส่องลงมาสะท้อนเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายของเหล่าภูตและพาหนะเป็นประกายสว่างไสวงดงาม
ฟินวาร์ราขับม้าของตนไปจนถึงชายทุ่ง แต่แทนที่จะมุ่งตรงเข้าไปในแนวป่าโปร่ง อาชาของท่านเจ้ากลับลอยตัวขึ้นสู่อากาศคล้ายกำลังเดินขึ้นไปตามลาดเนินที่ไม่มีใครมองเห็น ผู้ติดตามต่างพากันทำตาม และในไม่ช้ากว่าครึ่งของขบวนก็ลอยละล่องอยู่กลางเวหา พาหนะที่ถูกยืมตัวมาเริ่มขยับปีก ก่อให้เกิดเสียงฮัมต่ำ ๆ ที่ดังกลบเสียงขับร้องและเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ สัตว์พาหนะทุกตัวต่างอยู่ในระเบียบเรียบร้อย คอยเคลื่อนที่ตามตัวหน้าโดยไม่มีอาการขัดขืนดิ้นรน ไม่ว่าจะเป็นริ้นตัวจ้อยไปจนถึงพญาอินทรีย์ผยองต่างถูกสยบให้อยู่ใต้อำนาจแห่งเวทมนตร์จากบังเหียนวิเศษที่ฟั่นขึ้นจากใยแมงมุมบางเบา
เมื่อส่วนท้ายของขบวนเคลื่อนพ้นตีนเขาและเริ่มเดินข้ามทุ่งหญ้าไปสู่เส้นทางลอยฟ้า ทู'ลลอชก็ขยับลุกยืนขึ้นแล้วก้าวออกมาสู่แสงสว่าง
ผีน้อยโบกี้เจ้าเก่ายื่นหน้าข้ามหัวไหล่ของนางอีกหน "ไปกันยัง?" มันถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ทู'ลลอชไม่มีอารมณ์ที่จะลงไม้ลงมือกับมันอีก นางยอมรับว่าการได้เฝ้ามองดูการแห่แหนแบบนั้นก่อให้เกิดแรงดลใจได้อย่างประหลาด นางได้แต่เพียงพยักหน้าโดยแทบจะไม่ได้ใส่ใจกับคาถาบังตาที่นางร่ายพรมลงบนใบหน้าของลูกสมุนจนเปียกชุ่มไปหมดแล้ว
"ไปได้" นางอนุมัติ
เสียงงึมงำหนัก ๆ ว่า "ได้เวลาซะที" และ "ในที่สุด" ดังระงมขึ้นในขณะที่เหล่าปีศาจลุกออกจากที่ซ่อนตัวแคบ ๆ ที่พวกมันคุดคู้อยู่มากว่าค่อนคืน และเมื่อได้รับสัญญาณจากทู'ลลอช พวกมันก็ชักแถวเดินแบบลับ ๆ ล่อ ๆ ข้ามทุ่งไปหาท้ายขบวนของคณะเดินทาง ส่วนปลายหางของเวทมนตร์โบกสะบัดกวัดไกวไปทั่วบริเวณคล้ายหางของงูที่กำลังอารมณ์เสีย และเมื่อทู'ลลอชสานต่อเวทมนตร์ของนางเสริมเข้าไป สายของมนตราก็ย้อยต่ำลงมาหายักษ์โทรลล์คู่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าของนาง พวกมันไขว่คว้าลงมากำไว้แน่น
เหล่าสมุนปีศาจพากันกระโจนขึ้นไปบนสายใยเวทพร้อมเสียงตุ้บเบา ๆ จากนั้นจึงเริ่มขยับปีกที่ขโมยมาอย่างบ้าคลั่ง เว้นแต่นางมารทู'ลลอชที่มีเวทมนตร์แห่งอีกาอยู่ในกายทำให้นางสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้โดยไม่ต้องอาศัยปีก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้นางได้มากโดยเฉพาะในช่วงที่ต้องวุ่นอยู่กับการร่ายเวทบังตาให้กับลูกน้องทั้งโขยงเพื่อไม่ให้พวกภูตขาวมองเห็น
เมื่อสมุนชุดสุดท้ายโดดเข้ามาอยู่ในข่ายเวทมนตร์เรียบร้อยแล้ว บรรดาเหล่าร้ายทั้งหลายก็เริ่มทำตัวตามสบาย พื้นดินด้านล่างทิ้งตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ และเมื่อพวกมันมองไปทางท้ายขบวนของภูตขาวที่ล่องลอยอยู่เบื้องหน้า พลพรรคปีศาจก็พากันหัวเราะออกมาอย่างย่ามใจ
ทู'ลลอชไม่รู้หรอกว่าการเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลายาวนานเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอะไรนักหนา นางรู้จักคาถาบังตาเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับที่นางรู้จักทุกซอกทุกมุมของหม้อต้มยาส่วนตัว และนางสามารถร่ายเวทบทนี้ได้ทุกที่ทุกโอกาสตามแต่ใจปรารถนา
นางมารมองตรงไปยังแถวขบวนขนาดใหญ่ที่ส่องประกายระยิบวิบวับอยู่เบื้องหน้า และคิดว่านางมองเห็นธงประจำตัวของฟินวาร์ราโบกสะบัดอยู่ไหว ๆ
โอ้ นี่ถ้าหมอนั่นรู้เข้า!
ทู'ลลอชพยายามข่มใจตัวเองไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นแหกปากหัวเราะร่าออกมาอย่างผู้พิชิต แล้วหันไปไตร่ตรองถึงเวลาสองสามสัปดาห์ข้างหน้า รวมไปถึงสิ่งที่นางต้องลงมือทำเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเหนือหัวแห่งภูตจะไม่มีวันได้นางมนุษย์น่าขยะแขยงคนนั้นมาไว้ในครอบครองเป็นอันขาด
(จบบทที่ 12)
******************************
ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)
******************************
หมายเหตุ : เพิ่งเห็นว่า Link เก่า ๆ มันจะค่อย ๆ หายไปจากหน้าจอค่ะ ตอนนี้ link ของตอนแรกหายไปแล้ว เลยเอามาลงไว้ตรงนี้นะคะ
[1] Dream in a field of wild flowers : ความฝันกลางทุ่งดอกไม้ป่า
| |
Create Date : 22 กรกฎาคม 2548 |
|
2 comments |
Last Update : 22 กรกฎาคม 2548 10:56:47 น. |
Counter : 448 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: pakae IP: 61.90.123.250 22 กรกฎาคม 2548 16:59:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Poceille 22 กรกฎาคม 2548 18:47:17 น. |
|
|
|
|
|
|
|
น่าสงสารฌอนจังนิ น้องโพไม่เอาเรื่องไปแปะไว้ที่ เวป ลพ หรือ พี่แอ๊ด บ้างหรือจ้ะ จะได้ตามอ่านได้ง่ายกว่านี้ ตอนเก่าๆก็จะได้ไม่หายไปด้วย พอจะได้ไหมจ้ะ