...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
[17] Shelter from the storm : ที่พักใจ




...


"พระเจ้า ใครหนออารมณ์บูดตั้งแต่เช้าเลยเนี่ย"


กวินโดลีนพูดลอย ๆ ขึ้นมาในขณะที่เธอเดินผ่านประตูที่เปิดสู่ระเบียงบ้านออกมาลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแน็ตตี้ "นั่นมัน กลิ่นชาคาโมมายด์นี่นา เอ๋ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นเธอดื่มมันคือตอนคืนก่อนสอบไล่วันสุดท้าย จำได้ลาง ๆ ว่าเธอเกลียดมันจะตายไม่ใช่เรอะ?"


"ก็ยังเกลียดอยู่" แน็ตตี้ตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางวางถ้วยชาลง "แต่ฉันอยากกินอะไรสักอย่างที่ช่วยผ่อนคลาย เมื่อคืนฉัน...นอนไม่ค่อยหลับน่ะ"


รอบกายของสองสาวเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงสดใสของสรรพสัตว์ที่ดังออกมาจากแนวป่า ฝูงนกหงษ์หยกสีแดงสดที่ทำรังอยู่บนกลอเรียสกำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่แถวถาดใส่อาหารนก ในขณะที่นกฟริ้นซ์ที่มีขนาดเล็กและปราดเปรียวกว่าบินโฉบเข้ามาขอส่วนแบ่งอาหาร ไก่งวงป่าผู้โดดเดี่ยวคุ้ยเขี่ยกองใบไม้ และที่เกาะอยู่บนยอดต้นฮูปไพน์คือนกกระตั้วหงอนเหลืองที่กรีดเสียงใส่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มันมองเห็น


เม็ดฝนอุ่น ๆ ยังคงพร่างพรมลงมาอย่างต่อเนื่อง เสียงฝนที่ตกผ่านผืนพรมใบไม้ในป่าแว่วเบาสอดประสานไปกับเสียงหรีดหริ่งของแมลงได้อย่างไพเราะลงตัว แสงสว่างยามเช้านุ่มนวลเหมือนแสงในความฝัน และต้นไม้เตี้ยที่ถูกปลูกอยู่ในสวนก็ถูกสายหมอกโอบล้อมไว้จนดูเหมือนประตูลับที่นำเข้าสู่ดินแดนแห่งภูตตามตำนาน


ในบรรดาสถานที่ที่กวินโดลีนพาเพื่อนสาวไปเที่ยว และภาพของทิวทัศน์หลากหลายที่จิตรกรสาวได้เห็นมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านไปนั้น แน็ตตี้โปรดปรานบรรยากาศของจูนิเปอร์เฮ้าส์แห่งนี้มากที่สุด


กวินโดลีนวางแก้วกาแฟลงแล้วเอนหลังพิงพนักแข็ง ๆ ของเก้าอี้ ยกสองมือขึ้นหนุนต้นคอไว้พลางสูดลมหายใจเข้าลึก "ฉันชอบอากาศตอนเช้าแบบนี้นะ" เธอถอนหายใจ "มันทำให้ฉันรู้สึกคุ้มค่ากับสิ่งที่ลงแรงลงใจไป" เรือนผมยาวดกหนาของเธอสยายลงประแนวบ่าเหมือนสายธารทองคำ


ทั้งสองนั่งนิ่ง จนกวินโดลีนขยับตัวไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากยกขึ้นจิบและก็ชะงักก่อนเอ่ยปากถามขึ้น "นั่นหัวไปโดนอะไรมา?"


แน็ตตี้ยกมือขึ้นไล้ปลายนิ้วไปตามรอยช้ำบริเวณขมับโดยอัตโนมัติ แม้แผลฟกช้ำนั้นจะมีขนาดเล็ก แต่สีคล้ำของมันโดดเด่นอยู่บนผิวขาวละเอียด ยิ่งแน็ตตี้รวบผมทั้งหมดไปผูกไว้เป็นหางม้า ยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอกระจ่างเกลี้ยงเกลามากขึ้นกว่าปกติ


จิตรกรสาวเหลือบตามองกวินโดลีน แววแห่งความยุ่งยากลำบากใจฉายชัดบนวงหน้าและไม่ยอมปริปากตอบคำถามใด ๆ ในทันที ฝูงนกหงษ์หยกแตกกลุ่มจากไปแล้ว และเสียงที่ได้ยินเหลือเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคาและเสียงใบไม้ที่ไหวล้อลม ในขณะที่กวินโดลีนเองก็นั่งเงียบ รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างแต่ก็ไม่ได้รุกเร้าด้วยการตั้งคำถามเพิ่มเติม


"ฉันมีเรื่องอยากจะเล่าให้เธอฟัง" ในที่สุดแน็ตตี้ก็เริ่มการสนทนาพลางหยิบช้อนออกจากถ้วยชา "แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด"


กวินโดลีนไหวไหล่ "ฉันจะพยายาม" เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง


แน็ตตี้สบตาเพื่อนสนิทพร้อมยิ้มบาง ๆ ด้วยความซาบซึ้ง "เธอเคยฝันบ้างไหม?" เธอถามขึ้นหลังจากเงียบไปชั่วครู่


กวินโดลีนยักไหล่ "เคยสิ ใคร ๆ เขาก็ฝันกันไม่ใช่เหรอ?"


"ก็ใช่ แต่เธอเคยจำความฝันของตัวเองได้แบบติดตาบ้างไหมล่ะ?"


"ก็มีบ้าง มีอยู่คืนนึงฉันฝันว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในฉากจบของเรื่องบ้านเล็กในป่าใหญ่*แล้วไม่อยากจะตื่นเลยเพราะดันไปตกหลุมรักอีตาไมเคิล แลนดอนเข้าเต็มเปา"


แน็ตตี้ยิ้มแป้น "ใครจะอดใจได้?" เธอแซวกลับ "แต่เธอเคยควบคุมความฝันของตัวเองได้บ้างหรือเปล่า?"


"ไม่หรอก ไม่เคย ตอนฝันมันเหมือนฉันกำลังดูหนังหรือไม่บางทีก็มีส่วนร่วมแสดงด้วย แต่ควบคุมอะไรไม่ได้"


"ฉันลองค้นดูแล้ว เขาเรียกความฝันแบบที่ฉันพูดถึงว่าฝันกระจ่าง"


กวินโดลีนพยักหน้าหงึกหงัก "มีนักจัดรายการผู้หญิงคนนึงชอบพูดถึงเรื่องนี้ออกอากาศอยู่บ่อย ๆ" พอเห็นแน็ตตี้ทำหน้างง ๆ กวินโดลีนก็รีบอธิบายต่อ "คือ ฉันจำชื่อไม่ได้หรอก แต่หล่อนเป็นคนทำนายฝัน อาชีพน่าสนใจดี อ้าว ไปนอกเรื่องแล้วเรา"


"ไม่เป็นไร" แน็ตตี้ถอนหายใจ "เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้มันอาจจะฟังดูแปลก ๆ นะ แต่ว่า... ฉันฝันแบบนั้น" เธอเริ่มเท้าความ "ฝันติด ๆ กันมานานหลายเดือนแล้ว"


"ฝันซ้ำ ๆ เดิมงั้นเหรอ?" กวินโดลีนทำหน้ายุ่ง


แน็ตตี้ส่ายหน้า "ก็ไม่เชิง แต่ฝันถึงผู้ชายคนเดิม กับสถานการณ์คล้าย ๆ เดิม"


กวินโดลีนเกือบจะหลุดปากพูดล้อเลียนอะไรออกไปเพื่อช่วยลดความตึงเครียดของแน็ตตี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังของคนเล่าแล้วก็ตัดสินใจเงียบเสีย


แน็ตตี้ยกตัวอย่างความฝันบางเรื่องขึ้นมาเล่าให้เพื่อนสาวฟังอย่างคร่าว ๆ แต่ไม่ลืมที่จะพูดถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงอิทธิพลของบุรุษแปลกประหลาดผู้นั้นที่มีต่อเธอ ไม่ว่าจะเป็นพลังทางเพศอันเร่าร้อนรุนแรงที่แผ่ซ่านออกจากกายของชายผู้นั้น และความรู้สึกลึกล้ำที่ว่าแน็ตตี้คือสมบัติส่วนตัวของเขา ใบหน้าของจิตรกรสาวแดงก่ำยามที่เธอบรรยายลึกลงไปในรายละเอียด แต่ด้วยความช่วยเหลือและคำให้กำลังใจอ่อนโยนจากจากกวินโดลีนทำให้เธอสามารถถ่ายทอดความรู้สึกในความฝันออกมาได้ค่อนข้างครบถ้วน


"แน่ใจนะว่าเป็นผู้ชายคนเดียวกัน" กวินโดลีนถามย้ำในระหว่างที่แน็ตตี้หยุดพักดื่มชาสมุนไพร


คนถูกถามพยักหน้า "แน่ใจอย่างที่สุด แม้บางทีเขาจะปลอมตัวมาในร่างของอัศวินหรือนักกวี แต่ฉันก็รู้ว่าเป็นเขา เขาไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน"


"ดูท่าว่าจะเป็นหนุ่มสุดเซ็กซี่เลยนะนั่น" กวินโดลีนออกความเห็นพร้อมเผยอยิ้มด้วยท่าทางเพ้อฝัน


"เฮ้ อย่าเข้าใจผิดนะ" แน็ตตี้โพล่งขึ้นพลางขยับลุกขึ้นนั่งหลังตรง "เขาหล่อมากก็จริง แต่ก็เท่านั้นแหล่ะ เขาบุกรุกล่วงล้ำเข้ามาจุ้นจ้านกับฉัน และถึงแม้ว่าร่างกายของฉันจะตอบสนองต่อการเล้าโลมของเขา แต่ส่วนลึกของฉันยังคงกรีดร้องต่อต้าน สิ่งที่เขาทำกับฉันมันไม่ใช่การขืนใจแต่ก็ไม่ได้เกิดจากความรักเหมือนกัน เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันมีรูปสเก็ตช์ของเขาติดอยู่ในกระเป๋า"


หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน สักพักก็กลับมาพร้อมกระดาษวาดเขียนในมือ เธอยื่นให้กวินโดลีนที่รับภาพวาดนั้นไปพิจารณาด้วยสีหน้าชื่นชม แต่จะเพราะชื่นชมฝีมือการวาดภาพของแน็ตตี้ หรือชื่นชมคุณลักษณะของบุรุษในภาพวาดนั้นก็สุดที่แน็ตตี้จะเดาได้


"หล่อระเบิดจริง ๆ แฮะ" กวินโดลีนว่าพลางวางกระดาษวาดเขียนแผ่นนั้นลงบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดมุ่น "แต่ฉันก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสอะไรเลยนะแน็ตตี้ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะสนุกกับมันให้สะใจไปเลย เพราะยังไงเสียมันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นนี่นา"


"นั่นแหล่ะคือปัญหา มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนความฝันตามปกติน่ะสิ ฉันรู้สึกตัวตลอดเวลา ถ้าเกิดฝันว่ากำลังเดินอยู่ในป่าแล้วอยากจะลงไปว่ายน้ำในลำธารฉันก็ทำได้ และถ้าฉันอยากจะวิ่งหนีเขาฉันก็วิ่งได้ ฉันรู้สึกถึงลมอุ่น ๆ บนแก้ม ต้นหญ้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า แล้วก็ได้กลิ่นของดินด้วยนะ" จิตรกรสาวส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นแตะรอยฟกช้ำด้วยท่าทางขยะแขยง "แล้วจากความฝันเมื่อคืน ฉันก็ได้ไอ้แผลนี่มา"


"เธอกำลังบอกว่าอีตานั่นทำร้ายร่างกายเธองั้นเหรอ?"


"เปล่า เขาไม่ได้ทำอะไรฉัน เขาแค่ไล่ตามฉันแล้วฉันหกล้ม แต่..."


กวินโดลีนส่ายหน้า "เดี๋ยว เดี๋ยว นี่เธอกำลังบอกว่าเธอได้แผลนั่นมาจากในความฝันงั้นเรอะ? พระเจ้า แน็ตตี้ เธออาจจะเอาหัวไปโหม่งกับอะไรสักอย่างโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ฉันเป็นแบบนั้นออกจะบ่อย จนทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแผลที่จำไม่ได้แล้วว่าเกิดจากอะไรมั่ง"


แน็ตตี้โน้มตัวมาข้างหน้า และเมื่อเธอเริ่มพูดอีกครั้ง เสียงของเธอก็สั่นระริก "ก็ใช่ แต่ฉันรู้ว่าไอ้แผลนี่มันไม่มีอยู่ตรงนี้ตอนก่อนที่ฉันจะเข้านอนเมื่อคืน ไม่งั้นฉันก็ต้องเห็นตอนส่องกระจกในห้องน้ำแล้ว แม้ตอนนั้นฉันจะปล่อยผมก็เถอะ เชื่อฉันสิ ฉันต้องเห็นมันแน่"


"ไม่งั้นก็ ตอนนอนเธออาจจะดิ้นเอาหัวไปโขกโต๊ะหัวเตียงหรืออะไรสักอย่างเข้าก็ได้นี่"


แน็ตตี้ยักไหล่ แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน


กวินโดลีนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบา "นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฉันฟังล่ะก็ ฉันคงขำกลิ้งแถมยกเอาหนังสยองขวัญเรื่องนึงที่เคยออกอากาศไปเมื่อหลายปีก่อนมาแซวแล้ว" เธอถอนใจเฮือก "เอาเถอะ ไม่ว่าฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องที่เธอเล่ามา แต่ฉันรู้ว่าเธอเชื่อในสิ่งที่เธอเจอ"


"ฉันเองก็ไม่รู้ว่าฉันเชื่อมันหรือเปล่า แต่ตอนนี้มันกำลังทำลายชีวิตของฉัน -ฉันฝันแบบนี้แทบจะทุกคืน! เธอรู้ไหมว่ามันทำอะไรกับฉันบ้าง? ฉันแทบจะทำงานไม่ได้เพราะในสมองมีแต่เรื่องของหมอนั่น ในสตูดิโอก็เต็มไปด้วยรูปสเก็ตช์ของหมอนั่นและโลกของเขาอยู่เป็นโหล ๆ ฉันเคยหวังว่าการได้มาพักร้อนครั้งนี้จะช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากอะไรก็ตามที่ทำให้ความฝันนั่นเกิดขึ้นมา แต่มันกลับตามมารังควานฉันอีก ดูสิ!" เธอชี้แผลช้ำพร้อมกระพริบเปลือกตาเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ "มันกำลังทำให้ฉันคลั่งตาย กวินโดลีน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว"


"เคยคิดจะไปหาหมอบ้างหรือเปล่า? บางทีมันอาจเป็นอาการที่ความทรงจำเลวร้ายเก่า ๆ พยายามจะดันตัวเองกลับขึ้นมา"


แน็ตตี้พ่นลมออกทางจมูกพลางยกมือขึ้นป้ายตาอย่างลวก ๆ "ชีวิตตอนเด็กของฉันสุขสบายดีนี่ ไม่เคยถูกทารุณกรรมทางเพศ ไม่เคยถูกลักพาตัวหรือถูกทอดทิ้ง"


"ฉันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น" กวินโดลีนแย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในขณะที่เอื้อมมือไปแตะแขนคู่สนทนา "ฉันหมายถึงพวกความบกพร่องทางจิตบางประเภทที่พยายามจะแสดงอาการออกมา" คนพูดยิ้มหวาน "ก็ดูสิ พวกศิลปินน่ะชอบมีความคิดพิศดารในหัวกันทุกคน ใช่ปะ?"


แน็ตตี้ควานหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าขึ้นมาสั่งน้ำมูก "แต่ฉันว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น"


"บางทีเธออาจแค่อยากนอนกับเขาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปก็ได้"


"ไม่มีทาง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำ"


"อ้าว ไหงงั้น?"


แน็ตตี้ยักไหล่ "พูดไม่ถูกเหมือนกัน แต่ฉันรู้ว่าถ้าฉันยอมทอดกายให้เขาเมื่อไหร่ นั่นคือจุดจบ ฉันจะตกอยู่ใต้อำนาจของเขาโดยสมบูรณ์"


กวินโดลีนยิ้มยั่ว "แต่จากที่เธอเล่ามาแล้ว มันก็ไม่เลวนักหรอกนะ"


"แต่ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นนี่ เขาดูดีมีเสน่ห์ แต่..."


"ไม่ใช่สเป็ค"


"ไม่ใช่แน่นอน" แน็ตตี้ไหล่ตก "ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะกวินโดลีน? ฉันจะกลายเป็นคนบ้าไหม?"


"คงไม่บ้าไปกว่าเดิมหรอก โทษทีเพื่อน แค่แซวเล่นน่ะ" เจ้าของบ้านเงียบชั่วอึดใจ "เอางี้ ถ้าไม่อยากไปหาหมอหรือจิตแพทย์ล่ะก็ ฉันว่าเธอน่าจะลองใช้ศาสตร์อีกด้านหนึ่งดูนะ"


"อะไรนะ เธอหมายถึงให้ฉันไปหาพระหรือหมอผีเรอะ?" คนพูดตาเหลือก "ไม่สิ เธอหมายถึงพวกคนทรงงั้นสิ! โฮ้ย พวกนั้นน่ะหลงงมงายอะไรไม่เข้าเรื่อง"


กวินโดลีนเลิกคิ้ว "นี่ ว่าแต่เขา ตัวเองก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ"


แน็ตตี้ยิ้มแหย "เออเนอะ"


"ที่จริงแล้วเนี่ย ฉันกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างที่ชาวบ้านเขาใช้กัน พอดีฉันรู้จักกับใครบางคนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับตำนานโบราณ บางทีเขาอาจจะพอช่วยได้"


"ตำนานโบราณงั้นเหรอ?"


"ไม่เฉพาะแค่นั้นหรอกจ้ะ แต่รวมไปถึงขนบธรรมเนียมปฏิบัติเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติและการรักษาแบบดั้งเดิมด้วย"


"พวกที่รักษาตาปลา กำจัดกลิ่นปาก การเลี้ยงภูติผีไว้เป็นบริวาร รวมถึงการแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำน่ะนะ?"


กวินโดลีนหัวเราะก๊าก "ม่ายช่ายสักหน่อย!"


"โฮ้ย ไม่รู้ละ แต่ฉันคิดว่าไอ้ที่จะให้ไปนั่งเล่าความรู้สึกของตัวเองให้คุณตาแก่หงำเหงือกที่ทำตัวเป็นฤษีทรงชุดผ้าดิบแถมไว้หนวดเครายาวถึงง่ามขามันไม่ใช่วิธีการรักษาที่ถูกต้องสักนิด"


"คนนั้นเขายังไม่แก่ขนาดนั้น แถมหนวดก็สั้นจุ๊ดจู๋ นอกจากนี้นะ เธอยังเคยเจอเขามาแล้วด้วย"


แน็ตตี้หลิ่วตาลงเมื่อพอจะเดาอะไรบางอย่างออก "นี่เธอคิดจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ฉันหรือไงยะ?"


"เปล่าเลยที่รัก อีตานั่นต่างหากที่เป็นฝ่ายถามถึงเธอมาตลอดสัปดาห์"


"ฉันไม่ได้พูดเล่นนะยะ ยายกวินโดลีน"


กวินโดลีนจ้องหน้าเพื่อนสาวด้วยดวงตาเคร่งขรึม "ฉันก็ไม่ได้พูดเล่นเหมือนกัน แอลไล กัลโลเวย์เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก เขาเป็นเหมือนสารานุกรมตำนานพื้นบ้านที่มีชีวิตเดินไปเดินมาได้ ถ้าไอ้ความฝันนี่มันมีอะไรมากไปกว่าอาการของผู้หญิงที่มีปัญหาความกดดันทางเพศแล้วละก็ เขาน่าจะพอวินิจฉัยได้"


แน็ตตี้เอนตัวไปด้านหลัง หน้าผากยับย่น "ไม่รู้สินะ ก็เพิ่งเคยเจอกันครั้งเดียว"


"เขาเป็นคนดีใช้ได้นา" กวินโดลีนเสนอ


"ไม่ใช่อย่างนั้น" แน็ตตี้แย้งหมับ "เพียงแต่ว่า... คือ ฉันไม่อยากให้เขาคิดว่าฉันเป็นคนบ้าน่ะสิ"


"แต่ฉันว่าเขาคงคิดไปเรียบร้อยแล้วล่ะ"


"ไหงงั้นล่ะ? เธอไปปากโป้งบอกอะไรเขาฮึ?"


กวินโดลีนทำหน้าเหรอหรา "ไม่ได้พูดอะไรสักกะคำ!"


แน็ตตี้ถอนใจเฮือกใหญ่ "เอาเถอะ ลองดูก็ได้ ไม่เสียหายอะไรนี่"


"ดีมากสาวน้อย เดี๋ยวฉันจะโทรหาเขาเช้านี้เลย" พูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ "ใครจะรู้ บางทีการได้คุยเรื่องโบราณกันกระจุ๋งกระจิ๋ง จิบชาจีนกันคนละแก้ว แกล้มแซนวิชเต้าหู้กันคนละชิ้น อะไรต่อมิอะไรก็เกิดขึ้นได้"


"อ๋อย พอเหอะ" แน็ตตี้ครางพลางเหลือกตาขึ้นฟ้า "ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย อีกอย่าง เขาคบหาอยู่กับผู้หญิงที่ชื่อคาริฮาชิอะไรนั่นอยู่ไม่ใช่เหรอ?"


"กริษาย่ะ เอ... ไม่รู้สิ" กวินโดลีนตอบตรง ๆ "ตอนที่ทั้งคู่แสดงด้วยกันบนเวทีน่ะก็เหมือนเป็นแฟนกันหรอก แต่พอลงมาแล้ว... แทบจะคุยกันไม่เกินสองคำด้วยซ้ำ"


กวินโดลีนยักไหล่ เอื้อมมือไปคว้าแก้วกาแฟมายกดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นสองสาวก็นั่งมองผืนป่าผ่านม่านฝนบางเบา เจ้าไก่งวงคุ้ยดินแครก ๆ อยู่ใต้ถาดอาหารนก เก็บกินเมล็ดพืชที่นกแม็คพายขนลายเขี่ยกระจายลงมาด้านล่าง


เวลาผ่านไปพักใหญ่ ก่อนที่แน็ตตี้จะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามขึ้นว่า "เขาถามถึงฉันจริง ๆ เหรอ?"


กวินโดลีนหัวเราะ



...



บ้านเลขที่ถูกเขียนไว้ด้านหลังของซองจดหมายเก่า


"แน่ใจนะว่าจะไม่ไปด้วย?" แน็ตตี้ถามย้ำในขณะที่รับซองจดหมายนั้นมาแล้วยัดลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ฝนหยุดตกแล้ว ทิ้งไว้เพียงสายหมอกชื้นที่เหมือนจะเคลือบอยู่บนทุกสิ่งทุกอย่าง


"ไม่ละ มีงานต้องทำอีกเพียบเลย อีกอย่าง ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ"


"โห ฮ่าฮ่า แล้วถ้าเกิดอีตานั่นแปลงร่างเป็นฆาตรกรใจโหดขึ้นมาล่ะ?"


กวินโดลีนถอนใจพรืดพลางค้อนขวับ "โอ รีบ ๆ ไปเถอะน่า แล้วค่อยเจอกัน ว่าแต่ แน่ใจนะว่าไปถูก"


หนนี้เป็นทีของแน็ตตี้ที่แกล้วทำท่าฉิว "นี่ ฉันอ่านแผนที่เป็นย่ะ" เธอแกล้งกระแทกเสียงตอบพลางตะกายขึ้นไปนั่งบนรถโตโยต้าสตาร์เล็ทสีเขียวเมทัลลิกของกวินโดลีน


"แล้วอย่าเอารถไปจิ้มใครเข้าล่ะ -ฉันเพิ่งจะผ่อนหมด"


แน็ตตี้ส่งยิ้มแบบเดียวกับรอยยิ้มของนางมารร้ายมาให้ "เชื่อมือฉันเถอะน่า" หญิงสาวก้มหน้าลงมองก่อนถามเสียงใสซื่อ "เอ... ไหนช่วยบอกอีกทีสิว่าต้องเหยียบเบรคตรงไหนอ่ะ?"


กวินโดลีนได้แต่ส่ายหน้าในขณะที่แน็ตตี้สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกสู่ถนนใหญ่ เจ้าของบ้านยืนมองจนรถห้าประตูคันเล็กเลี้ยวหายไปจากสายตาแล้ว ก่อนที่จะถอนหายใจยาวเหยียดแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป



...



แน็ตตี้ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกตกประหม่ามากกว่ากัน -คนที่เธอกำลังจะเดินทางไปหา หรือว่าสาเหตุที่ทำให้เธอต้องไปพบหน้าเขาคนนั้น


ตอนที่หญิงสาวขับรถผ่านสัญญาณจราจรตรงแยกอัลเดอเลย์ เธอพยายามรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับแอลไล กัลโลเวย์ออกจากสมองอย่างสุดความสามารถ ด้วยความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นมาตลอดสัปดาห์ แถมพ่วงด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่เธอกระดกเข้าไปในคืนที่ได้พบเขาเป็นครั้งแรกทำให้ความทรงจำของเธอเกี่ยวกับเขายิ่งพร่าเลือน เธอจำเสียงดนตรีได้ จำรอยยิ้มขัดเขินของเขาได้ และอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอัฟริกา แต่ไม่สามารถระลึกถึงอะไรไปได้มากกว่านั้น


ในช่วงเวลาที่ชีวิตมีปัญหา แน็ตตี้ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบวิ่งหาความช่วยเหลือจากคนอื่น ดังนั้นความคิดที่ว่าเธอกำลังแล่นไปคุยกับบุคคลที่แทบจะนับได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่น มันไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่เชื่อใจเขา เพราะจากลักษณะที่กวินโดลีนพูดมาก็พอบอกได้ว่าเขาเป็นคนดีที่เชื่อถือได้ เพราะกวินโดลีนเองก็ไม่เคยคบหากับคนซี้ซั้ว ไม่หรอก มันน่าจะเป็นความรู้สึกกลัวที่เขาจะหัวเราะเยาะเธอเอามากกว่า


แม้ว่ากวินโดลีนจะแสดงท่าทางเข้าอกเข้าใจเธอดี แต่แน็ตตี้รู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเธอไม่ได้เชื่อเรื่องที่เธอเล่าออกมาสักเท่าไหร่ เอาเถอะ ไม่เป็นไร น้อยใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง


"แต่ว่า..." จิตรกรสาวครุ่นคิด "ถ้ากวินโดลีนเป็นฝ่ายที่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังบ้างล่ะ? ฉันจะทำอย่างไร?" และแน็ตตี้ก็ตอบคำถามนั้นได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน


หญิงสาวจอดรถข้างทางเพื่อดูแผนที่อีกครั้ง แอลไลพักอยู่ในเขตชานเมืองที่เรียกว่านิวฟาร์ม และจากแผนที่มันก็ดูเหมือนจะหาไม่ยากสักเท่าไหร่ เธอท่องจำชื่อถนนจนขึ้นใจก่อนจะออกรถอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองโดยลอดอุโมงค์ถนนไอโวลี่


เธอขับรถผ่านร้านกาแฟหนวดแมว ในใจคิดอยู่ว่าน่าจะแวะจอดลงไปทักทายซาร่าห์ที่คงกำลังโหมงานอย่างหนักเพื่อลดความกระวนกระวายเกี่ยวกับงานแต่งงานที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่เธอก็ไม่ได้ทำตามที่ใจคิดด้วยเกรงว่าหากเธอแวะที่นี่แล้วคงต้องพยายามหาข้ออ้างต่าง ๆ นานาเพื่อจะได้ไม่ต้องไปพบหน้าแอลไล


หญิงสาวพร่ำเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าที่เธอเดินทางมานี่ก็เพื่อปรึกษาเรื่องความฝันเท่านั้น แต่ลึก ๆ ลงไปในใจแล้วเธอเองก็อยากพบเขาอีกครั้ง เธอคงต้องยอมรับตรง ๆ ว่าเธอรู้สึกถูกชะตากับเขาตั้งแต่คืนแรกที่พบกัน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานพอควรแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ค่อยจะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับใครไปได้ไกลกว่าความเป็นเพื่อน


ยกเว้นแต่กับไอ้หน้าตัวเมียฌอน ลาเวลล์นั่น จิตรกรสาวคั่งแค้น ดีนะที่ไม่สัมพันธ์กันมากไปกว่านั้น ขอบคุณสวรรค์


อากาศปลอดโปร่งขึ้นตามลำดับเมื่อแน็ตตี้หลุดออกมาจากเขตภูเขา และเมื่อรถทะลุผ่านอุโมงค์ออกมา แสงอาทิตย์นวลจางก็แทรกตัวผ่านแผงเมฆด้านบนลงมากระทบกับกระจกหน้ารถ


หญิงสาวเกือบจะขับเลยทางเลี้ยวไปโลเวอร์โบเวน เทอเรส เพราะมัวแต่คอยมองรถบรรทุกพ่วงคันมหึมาที่ไล่กวดตามหลังมาติด ๆ เธอขับรถพลางนับถนนไปพลาง แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกสัญญาณไฟเข้าสู่ถนนเค้นท์ที่ตัดกับถนนบรุนสิก ที่พักของแอลไลคืออพาตเม้นท์หลังเก่าที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเลยทางแยกไปนิดเดียว และในขณะที่เธอจอดรถเทียบทางเท้า แน็ตตี้ก็ยังอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกไม่ได้ ก็ตึกนั้นแสนจะโบราณ สีฟ้าหมอง ๆ ของฝาผนังหลุดออกมาเป็นริ้ว และขอบหน้าต่างก็เก่าจนผุเกือบหมด


จิตรกรสาวล็อครถ ตรวจสอบบ้านเลขที่อีกครั้งก่อนเดินตรงขึ้นมาตามทางเดิน ชายชราหน้าตาบอกบุญไม่รับนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าตึก กำลังสูบกล้องยาที่กลิ่นเหมือนขี้วัว และเมื่อเธอเดินผ่าน เขาก็พึมพำอะไรบางอย่างออกมาด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แน็ตตี้ทำได้เพียงกล่าวคำสวัสดีพร้อมส่งยิ้มให้ ก่อนจะรีบก้าวพรวดผ่านเขาไปสู่ทางเดินโล่ง


ห้องพักของแอลไลอยู่ชั้นล่างเยื้องไปทางด้านหลังของตึก เมื่อหญิงสาวไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องก็ต้องใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ชั่วขณะ เธอมองเห็นสวนขนาดใหญ่ด้านหลังตึกผ่านทางประตูอีกบานที่เปิดกว้างอยู่ตรงปลายสุดของทางเดิน ส่วนประตูห้องพักอีกห้องหนึ่ง(ที่เธอคิดว่าเป็นห้องของชายชราตรงบันได)เปิดค้างทิ้งไว้ กลิ่นมันฝรั่งทอดจนไหม้เหม็นหืนล่องลอยออกมาคละเคล้ากับสายลมด้านนอก หญิงแก่นางหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากประตูแล้วจ้องมองเธอแน่วนิ่ง แน็ตตี้เองก็ยืนสบสายตานั้นอย่างท้าทาย ก่อนจะหันมามองเลขที่ที่ติดอยู่ตรงหน้าประตูห้องตรงหน้าเพื่อความแน่ใจแล้วจึงยกมือขึ้นเคาะประตู


แอลไลเปิดประตูออกรับเกือบจะในทันที และจากผิวแก้มที่แดงระเรื่อของเขาทำให้แน็ตตี้พอจะเดาออกว่าเขาคงจะเร่งรีบจัดระเบียบห้องพักจนวินาทีสุดท้าย


ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งมองหน้าผู้มาเยือนอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะผลิตคำพูดตะกุกตะกักออกมาได้ "เอ่อ คุณนาตาชาครับ คือ เชิญเข้ามาก่อนครับ เชิญครับ"


สำเนียงแปร่ง ๆ ของเขายิ่งฟังแปลกหูหนักขึ้นไปกว่าเก่าหลังจากที่เธอได้ยินแต่สำเนียงของคนออสเตรเลียมาตลอดสัปดาห์ เจ้าของห้องถอยหลังออกไปเพื่อเปิดทางให้ แน็ตตี้กล่าวขอบคุณก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน



เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพด้านนอกของตัวตึกที่สุดแสนจะโทรม ทำให้แน็ตตี้อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นสภาพด้านในห้องพัก ตัวห้องกว้างโล่งและโปร่งลม แสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านบานเกร็ดของแนวหน้าต่างในห้องทำงานเข้ามาด้านใน และมีประตูในส่วนของห้องครัวที่เปิดอออกสู่ระเบียงเล็ก ๆ ได้ แมวสีเทาเงินตัวหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับจานอาหารบนบันได และเมื่อแน็ตตี้เดินเข้าไปใกล้ มันก็เงยหน้าขึ้นกระพริบตาปริบ ๆ ให้เธอแล้วก้มหัวโต ๆ ลงไปหาจานอาหารอีกรอบ


"อ๋อ มันชื่อแรคคูนครับ" แอลไลชี้แจงเมื่อเขามองตามสายตาของหญิงสาวไป "มันเคยเป็นแมวจรจัด แต่รู้สึกว่าตอนนี้มันจะรับอุปการะผมไว้ในฐานะเจ้านายแล้ว"


"ห้องสวยจังค่ะ" แน็ตตี้เอ่ยปากชมพลางมองไปรอบ ๆ กีต้าร์ของแอลไลตั้งอยู่บนขาตั้งในห้องรับแขกหลัก ฝาผนังมีแต่รูปภาพติดเต็มไปหมด ทั้งภาพงานแสดงดนตรี ภาพศิลปะแบบอบอริจินส์ รวมไปถึงโปสเตอร์งานนิทรรศการและสถานที่ท่องเที่ยว รู้สึกว่าเจ้าของห้องจะเลือกรูปภาพจากโทนสีมากกว่าหัวข้อเรื่องที่พิมพ์ลงบนกระดาษ


พื้นห้องเป็นไม้กระดาน ทาสีเขียวอมฟ้าที่เมื่อมองแวบแรกจะดูหลอกตามาก แต่พอผ่านไปสักระยะกลับดูสวยดี มีพรมวางกระจายอยู่ทั่วไป มีตู้หนังสือที่เหมือนเพิ่งทำขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ และเครื่องสเตอริโอโทรม ๆ ที่กำลังเล่นเพลงของไมล์ เดวิส คลออยู่เบา ๆ แม้ห้องจะยังดูรกไม่เป็นระเบียบมากนักแต่มันก็ให้ความรู้สึกสงบเรียบง่ายแฝงอยู่อย่างน่าอัศจรรย์


"รับน้ำชาไหมครับ?" แอลไลถามพลางบิดนิ้วตัวเองไปมาด้วยความตื่นเต้น


แน็ตตี้ยกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูง "ขอเป็นกาแฟแทนได้ไหมคะ?" เธอต่อรอง


แอลไอยิ้ม "ไม่มีปัญหาครับ ผมแอบจิ๊กถ้วยกรองกาแฟของกวินโดลีนมาสองสามอัน"


"รับรองว่าจะไม่ไปฟ้องเจ้าของร้านค่ะ" แน็ตตี้แซวพลางเดินจากห้องรับแขกหลักเข้าไปในห้องทำงาน โต๊ะตัวเล็กตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มีคอมพิวเตอร์แลปท็อปบุโรทั่งวางอยู่เคียงกับตั้งแผ่นซีดีและกองกระดาษ ลมที่พัดผ่านหน้าต่างบานเกร็ดที่เปิดอยู่เข้ามานั้นอุ่นและชื้นแต่ยังพอทนรับได้ ด้านนอกคือสวนที่ถูกกำหนดอาณาเขตด้วยต้นมัลเบอร์รี่ต้นใหญ่กับต้นมะม่วงลูกดกที่ขึ้นกันอยู่คนละฟาก พื้นหญ้าถูกตัดจนสั้นสวย แต่บริเวณแปลงดอกไม้กลับรกเรื้อไปด้วยวัชพืช มีรถเก่า ๆ สองสามคันจอดอยู่ในโรงรถที่ทั้งเก่าและผุแถมไม่มีประตูกั้นที่สร้างอยู่ตรงปลายสุดของพื้นที่สนาม


แน็ตตี้หันหลังกลับแล้วก็เห็นภาพพิมพ์จากงานเขียนชิ้นหนึ่งของตัวเองที่ชื่อ เรือหาปลาแห่งกัลเวย์ยามอัศดง แปะติดอยู่บนฝาผนัง ทำเอาเธอทั้งเขินทั้งปลื้มในขณะที่เดินออกมาทางห้องครัวแล้ววางกระเป๋าลงบนโซฟาตัวหนึ่ง


"ห้องนี้น่าสนใจดีนะคะ" ว่าพลางยืนพิงกับเคาท์เตอร์ เจ้าแรคคูนเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเดินส่ายอาด ๆ เข้ามาหา ส่งเสียงหม่าว ๆ เรียกร้องความสนใจพลางไถตัวไปตามขา แน็ตตี้จึงก้มลงไปเกาหลังใบหูยุ่ง ๆ ของมัน


แอลไลยักไหล่ "ของฟรีน่ะฮะ เลยพูดอะไรมากไม่ได้"


"คุณทำได้ยังไงอ่ะ?"


เจ้าของห้องหนุ่มปิดฝาตัวกรองกาแฟก่อนหันมาหาพลางเช็ดมือกับกางเกงยีนส์สีซีด "ก็ตึกนี้กำลังจะถูกปรับปรุงเร็ว ๆ นี้น่ะครับ เลยไม่มีนโยบายรับคนพักเข้ามาใหม่ พอดีผมรู้จักกับคนในสำนักงานจัดการที่ดิน เขาเลยยอมให้ผมใช้ห้องได้ชั่วคราว"


"แล้วเขาจะให้อยู่อีกนานแค่ไหนคะ?"


แอลไลยักไหล่อีกรอบ "อาจจะอีกเดือนนึง อีกปีนึง ไม่มีใครรู้หรอกครับ ผมย้ายเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฏาคม นี่ถ้าเขาจะซ่อมแซมใหม่ทั้งตึกคงต้องใช้งบประมาณมหาศาลเพราะตึกมันโทรมจนจะถล่มลงมาอยู่แล้ว ทางโน้นเขาเลยต้องรอคนมาร่วมทุน แต่สภาพของที่นี่ยังดีกว่าพวกห้องเช่าตามบาร์ที่ผมเคยอยู่ตั้งเยอะ"


"ดิฉันชอบห้องนี้นะคะ"


แอลไลอมยิ้ม "ขอบคุณครับ"


"พอจะพาเดินชมบ้านได้ไหมคะเนี่ย?" แน็ตตี้ถามในขณะที่ทั้งคู่รอให้น้ำกาแฟหยดผ่านแผ่นกรอง


"ได้แน่นอนครับ แต่มันไม่ค่อยมีอะไรให้ดูสักเท่าไหร่หรอกนะฮะ..." เจ้าของห้องเดินนำผ่านห้องหลัก "ตรงนี้ผมเหมาเอาว่าเป็นห้องทำงานเพราะส่วนใหญ่แล้วผมจะนั่งทำโน่นทำนี่อยู่ตรงนี้"


"งานเกี่ยวกับการศึกษาตำนานโบราณเหรอคะ?"


แน็ตตี้สังเกตเห็นรอยแดงระเรื่อปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของคู่สนทนา "นั่นเป็นส่วนหนึ่งครับ ผมเป็นนักโบราณคดีและก็เป็นนักเขียนสมัครเล่นด้วย จะว่าไปมันก็เกี่ยวโยงกันทั้งนั้น ดนตรี ประวัติศาสตร์ ตำนาน เอาเป็นว่าผมรับงานเกือบทุกประเภทจากคนหลาย ๆ สาขาวิชา แต่ส่วนมากแล้วผมจะศึกษาเพื่อสนองความอยากรู้ของตัวเองมากกว่าครับ"


"ดูเอาจริงเอาจังมาเลยนะเนี่ย" เธอตั้งข้อสังเกตพลางชี้มือไปทางแลปท็อป


แอลไลยิ้ม "เครื่องมือหากินชิ้นเดียวของผมเลยนะครับนั่น" เขาตอบ "อ้อ มีกีต้าร์อีกตัว สองสิ่งนี้ไปไหนมาไหนกับผมมาตลอด ส่วนที่เหลือเป็นของที่ได้มาใช้ชั่วคราว มีทั้งที่ยืมเขามา กราบอ้อนวอนขอมาและก็แอบจิ๊กมา"


"ดิฉันมีเครื่องแมคอยู่ที่บ้านเหมือนกันค่ะ ใช้สำหรับส่งอีเมล์กับใบส่งสินค้า รู้สึกเหมือนว่าเป็นขยะมาตั้งไว้อย่างไรก็ไม่รู้"


คู่สนทนายักไหล่ "ผมว่ามันก็เป็นสิ่งที่เราอยากให้มันเป็นล่ะครับ" ว่าพลางหันตัวไปรอบ ๆ "ผ่านตรงนี้ไปคือห้องน้ำ ส่วนนี่ห้องนอน แต่เราคงไม่ต้องเข้าไปดูด้านในหรอกนะฮะ เพราะมันสยดสยองมาก มีแต่ของน่ากลัวทั้งนั้น"


"ห้องกว้างดีนะคะ มองจากข้างนอกไม่รู้เลย"


แอลไลเดินกลับไปยังห้องครัว "ที่นี่มีประวัติอยู่เหมือนกันนะครับ ตึกนี้น่าจะเป็นตึกที่เก่าที่สุดในย่านนี้ เคยเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกติดยา โสเภณี ธุรกิจผิดกฏหมายทุกประเภทที่คุณนึกออก เคยมีคนตายด้วยนะฮะ นี่ก็เพิ่งตายไปคนนึง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วครับ นอกจากเสียงทะเลาะของบ๊อบกับฮิลด้า"


"ดิฉันว่าดิฉันเห็นบ๊อบนั่งอยู่ตรงบันได"


"อ๋อ คือ ต้องขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ เขา... ชอบไปนั่งตรงนั้นเป็นประจำ"


"ดิฉันไม่เข้าใจคำพูดของเขาเลยค่ะ"


"ไม่ต้องคิดมาก ไม่ค่อยมีคนฟังออกหรอกครับ เขาก็ไม่เคยทำร้ายใคร แต่เวลาตีกันนี่เสียงดังน่าดูเลย ผมเองก็พยายามไม่สนใจ นี่ครับ กาแฟของคุณได้แล้ว รับนมหรือน้ำตาลด้วยไหมฮะ?"


"ไม่ทั้งสองอย่างค่ะ ขอบคุณ"


"นี่ครับ เราหาที่นั่งกันดีกว่าไหม?"



แน็ตตี้พยักหน้าเห็นด้วยก่อนหันหลังแล้วเดินนำตรงไปยังเก้าอี้โซฟาตัวหนึ่งที่แท้จริงแล้วคือฟูกปูเตียงเก่า ๆ ส่วนแอลไลลงนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ตัวเล็กอีกตัว ทั้งสองใช้เวลาจิบกาแฟโดยไม่มีการสนทนาใด ๆ ยกเว้นแต่เสียงเพลงแผ่วเบาที่คลออยู่เป็นฉากหลัง และนาน ๆ ครั้งแน็ตตี้ถึงจะได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนัก ๆ เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน


ตัวของแอลไลเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแม้จะยังมีทีท่าตื่นเต้นอยู่บ้าง แน็ตตี้แอบอมยิ้มอยู่หลังถ้วยกาแฟ วันนี้ชายหนุ่มแต่งกายสบาย ๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำตัวโคร่งที่ทำให้ผมสีสนิมของเขาโดดเด่นขึ้น และในยามนั้นใจของหญิงสาวก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับกริษาอีกครั้งโดยอัตโนมัติ


ในที่สุดแอลไลก็เป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา "เห็นกวินโดลีนบอกว่าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับฝันร้ายหรือครับ?"


แน็ตตี้แก้มแดง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนงี่เง่าขึ้นมาในทันที เมื่อแอลไลสังเกตเห็นอาการกระอักกระอ่วนของเธอเข้าจึงพูดขึ้น "ถ้าคุณยังไม่สบายใจที่จะเล่าให้ผมฟังในตอนนี้ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงเสียผมก็ยังเหมือนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณ"


แน็ตตี้อดยิ้มไม่ได้เมื่อเขาเป็นคนพูดประโยคที่เธอคิดอยู่ในสมองมาก่อนหน้านี้ จิตรกรสาวพยายามข่มความรู้สึกหวาบไหวแปลก ๆ ที่ประทุขึ้นมาอีกครั้งลงแล้วเอ่ยตอบ "ไม่ทราบสิคะ ดิฉันแค่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนงี่เง่า เพราะมันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นเอง"


แอลไลจิบกาแฟก่อนพูดต่อ "มันก็ไม่เสมอไปนะครับ ความฝันถือเป็นสิ่งสำคัญตามความเชื่อของชนชาติต่าง ๆ มานาน จะมีแต่สังคมตะวันตกของเราเท่านั้นล่ะครับที่บอกพวกเด็ก ๆ ว่ามันไม่มีความหมายอะไร"


"ดิฉันมักจะคิดว่ามันเป็นแค่... เอ่อ แค่จินตนาการเพ้อฝันเท่านั้น"


แอลไลยิ้มกว้างพลางวางแก้วกาแฟลง "ชาวคริสต์รุ่นแรกคงไม่เห็นด้วยกับคุณแน่ครับ เพราะพวกเขาเชื่อว่าความฝันคือสาส์นจากพระเจ้า ในขณะที่ชาวเคลท์ใช้ความฝันเป็นแรงบันดาลใจในการออกผจญภัย และมีความเชื่อจำนวนหนึ่งที่พวกเรามักจะอ้างว่าเป็นความเชื่อของคนในประเทศด้อยพัฒนาที่ว่าความฝันคือประตูสู่ดินแดนแห่งวิญญาณ ใช้เป็นหนทางติดต่อกับคนตายและใช้ในการทำนายความเป็นไปที่ใกล้จะเกิดขึ้น"


คนพูดถอนใจพลางเกาคางตัวเอง "แม้กระทั่งฟรอยด์กับจุงยังเห็นว่าความฝันไม่ใช่แค่ผลพวงจากปฏิกิริยาทางเคมีและไฟฟ้า แนวคิดเกี่ยวกับนรก ศิลปะ บทเพลงและโคลงกลอนโบราณส่วนมากเกิดจากความฝันเกือบทั้งนั้น ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดที่ใช้สรุปแนวคิดทั้งหมดก็คือ เราสามารถพบกับวิญญาณได้ในความฝัน" แอลไลยิ้ม "ผมคิดว่าสจ๊วต กอร์ดอนเป็นคนพูดประโยคนี้นะฮะ"


แน็ตตี้กลืนน้ำลายลงคอ นี่เขาคงไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันเกือบจะตรงเป้าอยู่แล้ว หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในทันที กลัวในสิ่งที่เขาอาจจะพูดตามออกมา ความรู้สึกของเธอพัฒนาจากความคิดว่าตัวเองงี่เง่าเหมือนเด็กไปจนเกือบถึงขั้นหวาดผวา แอลไลทำให้เธอรู้สึกมั่นคงได้อย่างน่าอัศจรรย์ทั้ง ๆ ที่เธอแทบจะไม่รู้จักตัวตนของเขาเลย แต่เธอรู้ดีว่าเขาจะไม่หัวเราะเยาะเธอแน่ และที่สำคัญไปกว่านั้น เขาจะเชื่อเธอ



แอลไลทอดสายตามองหญิงสาวและสังเกตเห็นแววว้าวุ่นใจบนวงหน้า ส่วนหนึ่งของเขายังคงตื่นเต้นอยู่ไม่หายที่ได้เห็นเธอมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงเธอมากกว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่หนักหนาสาหัสเกิดขึ้นกับเธอเพราะไม่งั้นเธอคงไม่มาหาเขาถึงที่นี่ ทว่าแอลไลยังไม่อยากเร่งเร้าให้เธอพูดออกมา เขาต้องทำให้เธอไว้เนื้อเชื่อใจเขาเสียก่อน ตัวชายหนุ่มเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี เพราะในโลกใบนี้มีคนหยิบมือเดียวที่เขาสามารถพูดออกมาได้เต็มปากว่าเป็นคนที่ทรงคุณค่าและน่านับถือ


แน็ตตี้กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โครงหน้าของเธอกระจ่างใสในแสงตะวันยามเที่ยง แอลไลใช้เวลาแห่งความเงียบงันนั้นเฝ้ามองเธอ เขารู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้านี้อายุยี่สิบเจ็ดปีซึ่งอ่อนกว่าเขาสองสามปี แต่ในยามนี้เธอกลับดูอ่อนเยาว์ เธอเป็นคนสวยด้วยโครงหน้าหวานละมุนแบบสตรีชาวยุโรป และในวินาทีนั้นที่แอลไลฉุกคิดขึ้นมาว่าหน้าตาของเธอช่างคล้ายกับดาราที่ชื่อนาตาสชา คินสกี้


ชายหนุ่มอมยิ้มพลางสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็จางลงเมื่อเขาพิจารณาวงหน้าของเธอให้ลึกซึ้งขึ้น เขามองเห็นความอ่อนล้าฝังแน่นอยู่ในตัวเธอ ความอ่อนล้าที่มากกว่าภาวะนอนไม่หลับเพียงไม่กี่คืน


เธอผู้นี้เป็นศิลปินโดยสายเลือด และเป็นจิตรกรที่มีฝีมือดีเยี่ยมคนหนึ่งที่แอลไลเคยรู้จักเพราะเขาติดตามความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะอย่างใกล้ชิด แต่ในเวลานี้เธอไม่ได้ต้องการคำวิจารณ์หรือแฟนผลงาน เธอต้องการแค่เพื่อนสักคน


ชายหนุ่มหยิบแก้วกาแฟมาถือไว้แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างกับเธอบนฟูก จิตรกรสาวหันขวับมามองด้วยแววตาสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าแอลไลไม่ได้มีทีท่าจะคุกคามทำร้ายเธอ แน็ตตี้จึงเบาใจลง


"เอาอย่างงี้ไหมฮะ" ชายหนุ่มเสนอเสียงนุ่มเบา "เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนั้นกันตอนนี้ดีกว่า คุณอยากออกไปเดินเล่นไหม? แล้วจะได้แวะหาอะไรทานด้วย"


แน็ตตี้ยิ้ม และในเวลานั้นเองที่ความเหนื่อยล้าทั้งหลายหลุดลอยหายไป "คุณรู้ไหมว่านั่นคือสิ่งที่ฉันอยากทำมากที่สุดเลยล่ะค่ะ"



...



แน็ตตี้ยัดคุกกี้ชิ้นสุดท้ายเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างมีความสุข


"ไม่แบ่งผมบ้างเลย" แอลไลประท้วงยิ้ม ๆ


แน็ตตี้ส่ายหน้า "ไม่มีทาง เสียใจค่ะ มันอร่อยเกินกว่าจะตัดใจแบ่งให้ใครได้" เธอตอบพลางหยิบเศษเล็กเศษน้อยที่ยังเหลืออยู่เข้าปาก


"ที่จริงคุณน่าจะซื้อมาสักสองอัน" แอลไลแกล้งทำหน้างอ


แน็ตตี้ยักไหล่แล้วยิ้มยิงฟันให้เขาเหมือนเด็ก ๆ "ฉันว่าคุณพูดถูก"


สองหนุ่มสาวเดินลัดเลาะอยู่ในอาณาเขตของตลาดนัดริมน้ำอันสับสนวุ่นวาย ในตลาดประกอบด้วยร้านเล็กร้านน้อยนับร้อยแผงที่ขายของทุกอย่างตั้งแต่ผ้าถุงไปจนถึงเครื่องเรือนและอาหารการกิน แสงอาทิตย์กระจ่างใสแทรกตัวผ่านแผงเมฆลงมาในขณะที่ทั้งคู่เดินทอดน่องชมตลาด หากสายลมเย็นจากแม่น้ำช่วยรักษาอุณหภูมิของอากาศไม่ให้ร้อนอ้าวจนเกินทน


ตลาดนัดแห่งนี้น่าสนใจเพราะเป็นแหล่งรวมสรรพสิ่งทั้งเก่าและใหม่ แม้ว่าจะถูกจัดตั้งอยู่ภายใต้เงาร่มของอาคารสำนักงานสูงใหญ่ที่สร้างจากกระจกและเหล็กกล้า แต่ตัวตลาดเองกลับเปล่งรัศมีของมันออกมาเด่นชัด มันเป็นบรรยากาศที่ผสมผสานกันระหว่างวิถีชีวิตของคนในยุคกลาง ยุคยิปปี้และฮิปปี้ สายน้ำใหญ่ไหลเรื่อยขนาบอยู่ด้านข้างก็มีส่วนช่วยแต่งเติมบรรยากาศให้แตกต่างไปด้วยภาพของเรือกลไฟแบบมีกังหันพัดน้ำเหมือนเรือสไตล์มิซซิสซิปปี้จอดเทียบท่าอยู่แถวนั้น


เมื่อหญิงสาวกลืนเศษคุกกี้ชิ้นสุดท้ายลงคอไปแล้วจึงหันไปหาคนข้าง ๆ แล้วพูดต่อ "ตกลงว่าคุณเกิดที่เคสสิค แล้วก็เข้าเรียนในมหาลัยออกซ์ฟอร์ด" แน็ตตี้เอานิ้วจิ้มจมูกตัวเองแล้วทำเสียงจึ๊กจั๊ก "แล้วอะไรต่อล่ะคะ?"


แอลไลกลั้นหัวเราะกึก ๆ "คนทั่วไปมักสร้างภาพพจน์ผิด ๆ ให้ออกซ์ฟอร์ดกับเคมบริจด์อยู่เรื่อยเลย... กว่าจะจบมาได้นี่เลือดตาแทบกระเด็นเชียวนะครับ"


"ก็คงงั้นล่ะค่ะ ไหนจะต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำเย็น ๆ ตอนตีสี่ ไหนจะโดนยัดขนมปังปิ้งร้อน ๆ เข้าเป้ากางเกง คุณเคยโดนบ้างไหม?"


"เฉียด ๆ เหมือนกันครับ แต่ผมก็ฝ่าฟันผ่านมาได้พร้อมปริญญาเกียรตินิยมในสาขาวิชาว่าด้วยตำนานโบราณของโลก เอกทางตำนานพื้นบ้านเคลทิก จากนั้นก็ทำตัวว่างงานอยู่สองสามปี ท่องเที่ยวไปเรื่อย ก็ไปในที่ที่คนอื่นเขาไปกันนั่นล่ะครับ แคนาดา สหรัฐ อัฟริกา..."


"โฮ้ย งั้นไม่ต้องเล่าดีกว่ามั้งคะ! ที่ที่คนอื่นเขาไปกัน ฮึ!"


แอลไลทำท่าตกใจ "ขอโทษครับ ผมแค่จะเล่าให้คุณเห็นภาพกว้าง ๆ"


แน็ตตี้เอื้อมมือไปแตะแขนคู่สนทนา "ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ" เธอสารภาพพร้อมยิ้มกว้าง


"ผมว่าผมเองก็คงทำท่าเหมือนกำลังเล่ากิจวัตรประจำวันอยู่แน่ ๆ เลย" แอลไลทำท่าคล้ายสำนึกผิด


"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เล่าต่อสิคะ กำลังสนุกสุดชีวิตเลย"


"คราวนี้ผมรู้ว่าคุณแกล้วแซวผมแน่" ชายหนุ่มแสร้งถอนหายใจเหนื่อยหน่าย "พอผมกลับไปอังกฤษ ก็ไปลงเรียนต่อที่ออกซ์ฟอร์ดอีกสักพักจนจบด็อกเตอร์โดยทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับตำนานเคลทิกในโลกปัจจุบัน"


"ฟังดูซับซ้อนดีจัง"


คนเล่ายักไหล่ "ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ตอนผมออกไปท่องเที่ยวก็เจียดเวลาไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนชาติต่าง ๆ กับพวกโครงสร้างความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์เวทมนตร์เอาไว้บ้าง แถมยังโชคดีที่หน้าตาผมเป็นพวกรับแขกเลยทำให้ผู้คนกล้าเข้ามาพูดคุยด้วย"


"เห็นด้วยค่ะ"


ชายหนุ่มยิ้มเขิน "ขอบคุณครับ ในโลกนี้มีคนบางประเภทที่เข้าถึงได้ยาก และหน้าตาแบบผมนี่ก็ช่วยทำให้งานสะดวกขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ"


แน็ตตี้ขมวดคิ้ว "เดี๋ยวนะคะ คุณว่าคุณจบด็อกเตอร์? หมายถึงปริญญาเอกงั้นหรือคะ? งั้นคุณก็ต้องเป็นศาสตราจารย์กัลโลเวย์แล้วน่ะสิ?"


แอลไลหัวเราะ "พระเจ้า ไม่มีใครเรียกผมแบบนั้นมาเป็นชาติแล้วนะเนี่ย ขนาดตอนเป็นอาจารย์ยังไม่มีใครเรียกเลยครับ" ดูท่าว่าคนพูดจะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขันไปเสียแล้ว "ผมอายุแค่ยี่สิบเก้าเองนะ เห็นแก่พระเยซูเจ้าเถอะครับ คงเป็นศาสตราจารย์ไม่ได้หรอกมั้งฮะ? แต่จะว่าไป...มันก็ทั้งใช่และไม่ใช่ ถ้าเป็นในสหรัฐก็จะเป็นอย่างที่คุณว่า แต่ถ้าเป็นที่บ้านผมมันก็แค่ตำแหน่งทางวิชาการเท่านั้น ด็อกเตอร์ อืม ผมว่าผมยอมรับได้นะ แต่ถ้าจะเรียกเป็นศาสตราจารย์เลยนี่? พระเจ้า ไม่เอาดีกว่าครับ"


แน็ตตี้มองคู่สนทนาด้วยใบหน้าขึงขัง "ฉันว่าฟังดูดีออกนะคะ มันทำให้คุณดูแตกต่างไปจากคนอื่น"


"คุณอยากให้ผมหาซื้อสูทเก่า ๆ มีรอยแมลงแทะมาใส่ สวมแว่นตาทรงพระจันทร์ครึ่งดวงแล้วก็หวีผมให้เถิก ๆ ยีให้ฟู ๆ เหมือนรังนกอย่างนั้นหรือครับ?"


จิตรกรสาวนิ่วหัวคิ้ว "ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่เรียกว่า คุณด็อกกัลโลเวย์ ก็เท่ไม่หยอกแล้ว"


"อ๋าว ตะนี้เลยฟังเหมือนชื่อคนนอกกฏหมายไปเลยแฮะ"



สองหนุ่มสาวเดินวนเวียนอย่างไร้จุดหมาย แวะดูสินค้าหลากหลายที่วางขายตามร้านต่าง ๆ โดยไม่ได้พูดถึงความฝันของจิตรกรสาวเลยแม้สักคำเดียว หากกลับพึงพอใจที่จะค้นหาความเป็นตัวตนของแต่ละฝ่ายมากกว่า


"แล้วคุณล่ะครับ?" หนนี้แอลไลเป็นฝ่ายถาม


หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด "ถ้าคุณอ่านบทความพวกนั้นหมดแล้วก็คงรู้จักฉันดีพอกับที่ฉันรู้จักตัวเองแล้วล่ะค่ะ"


"มันก็จริงอยู่ แต่ที่ผมอ่านนั่นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการวาดภาพมากกว่าเรื่องชีวิตส่วนตัวนี่นา"


"อะไรนะ นี่คุณอยากรู้ว่าฉันใช้มือข้างไหนจับพู่กัน หรือใช้อะไรผสมออกมาให้เป็นสีอำพันไหม้ด้วยหรือคะ?"


ชายหนุ่มอมยิ้ม "ที่จริงคืออยากถามว่าเวลาคุณวาดก้อนเมฆเนี่ยต้องปัดพู่กันกี่ครั้งต่างหากล่ะครับ"


"ถ้าเป็นเมฆเซอร์รัสก็ประมาณห้าร้อยกะอีกสี่ครั้ง ส่วนเมฆนิมบัสจะมากกว่านั้น... เอ๋ นี่เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย... เอางี้ละกันค่ะ ฉันจบปริญญาด้านจิตรกรรมจากวิทยาลัยโรยัล อคาเดมี่ในลอนดอน-"


คราวนี้เป็นทีของแอลไลที่ใช้นิ้วจิ้มจมูกตัวเองแล้วส่งเสียงแบบเดียวกับที่แน็ตตี้เคยล้อเขาไว้ก่อนหน้านี้


แน็ตตี้ถอนหายใจเฮือก "โดนเข้าบ้างแล้วไหมล่ะเรา ฉันขายภาพวาดแรกในชีวิตได้ตอนอายุสิบสอง -ได้สตางค์มาตั้งห้าปอนด์เชียวนะคะ ขอบอก หลังจากจบจากวิทยาลัยศิลปะแล้วก็เตร็ดเตร่อยู่ในดับลินช่วงหนึ่ง วาดภาพศิลปะโบฮีเมียนขายยังชีพ จากนั้นก็เดินทางไปนิวฟอร์ดในอเมริกาเหนือ และก็โชคดีสุด ๆ ที่ได้ไปเรียนเพิ่มเติมกับคุณจิลลี่ คอปเปอร์คอร์นอยู่พักหนึ่ง นี่แหล่ะค่ะชีวิตจิตรกร"


แอลไลพยักหน้าหงึกหงัก "ผมรู้ว่าคุณสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่ยักรู้ว่าที่จริงแล้วคุณจิลลี่เป็นครูของคุณด้วย"


แน็ตตี้เอียงคอยิ้ม "ก็ไม่เชิงเป็นครูหรอกค่ะ เป็นผู้ชี้แนะมากกว่า จิลลี่เป็นคนแนะนำให้ฉันลองเปลี่ยนมาวาดภาพสีน้ำแทนสีน้ำมัน และสอนให้ฉันมองหาความงามภายในสิ่งต่าง ๆ มากกว่าการมองเพียงเปลือกนอก ฉันว่าฉันคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากเธอ หลังจากนั้นฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นต่ออีกสักพักแล้วจึงตัดสินใจกลับบ้านเพื่อหาช่องทางสร้างเนื้อสร้างตัว"


แน็ตตี้เล่าต่อไปโดยไม่สะดุด และพบว่าตัวเธอเองเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดยอมเล่าถึงเรื่องส่วนตัวบางเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวและปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่ออาชีพของเธอในแบบที่ไม่เคยปริปากบอกใครมาก่อนเว้นแต่กับกวินโดลีนและซาร่าห์เท่านั้น เธอเองก็แปลกใจไม่น้อยที่พบว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้และพูดคุยด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ


"โอ๊ะ เดี๋ยวนะครับ" จู่ ๆ แอลไลก็ขัดจังหวะขึ้นพลางมุดศีรษะลอดผืนผ้าใบกันแดดของร้านค้าร้านหนึ่งเข้าไป "ไหนคุณลองสวมนี่ดูหน่อยสิครับ" เขาโผล่กลับออกมาพร้อมหมวกฟางสานปีกกว้างประดับด้วยริบบิ้นสีเขียวเข้มในมือ แน็ตตี้รับหมวกมาสวมลงบนศีรษะแล้วหมุนไปส่องดูเงาของตัวเองในกระจกที่คนขายหมวกชี้ทางให้


"ไม่มีที่ติเลยครับ" แอลไลยิ้มกว้าง "คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนที่สวมหมวกแล้วสวยมาก"


แน็ตตี้หันไปหาสตรีเจ้าของร้านแล้วถามขึ้น "เขาได้ค่าโฆษณาด้วยไหมคะเนี่ย?"


คุณป้ายิ้มหวานก่อนตอบกลับ "ไม่หรอกค่ะ แต่ดิฉันจะลดราคาให้ คนผิวขาวแบบคุณควรจะหาหมวกสวมไว้บ้างก็ดีนะคะ"


"ใคร ๆ ก็พูดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ใบนี้เท่าไหร่คะ?"


"ธรรมดาดิฉันขายหกสิบดอลล่าร์ งานฝีมือล้วนนะคะเนี่ย แต่สำหรับคุณจะลดให้เหลือห้าสิบดอลล่าร์ค่ะ"


"ตกลงค่ะ" แน็ตตี้ตอบรับพลางควักกระเป๋าสตางค์ออกมา


หญิงสาวจ่ายเงินค่าหมวกแล้วสวมมันลงบนศีรษะ เมื่อเธอหันไปเห็นแอลไลที่กำลังอมยิ้มโดยยกมุมปากขึ้นเพียงข้างเดียว ความรู้สึกหวามไหวก็ไหลพล่านไปทั่วร่าง


"มันเหมาะกับคุณมากครับ" เขาเอ่ยปากชมพลางจ้องหน้าเธอแน่วนิ่ง


"ขอบคุณค่ะ" คนถูกชมตอบกลับอย่างจริงใจ หากแล้วกลับแยกเขี้ยวใส่คู่สนทนา "แต่ถ้ามีใครหัวเราะเยาะแล้วบอกว่าฉันเหมือนยายเพิ้งขึ้นมาล่ะก็ คุณตายแน่ ท่านศาสตราจารย์"


"แบบนี้ต้องลองครับ" ชายหนุ่มตอบกลับในขณะที่พาเธอเดินฝ่าเข้าไปในฝูงชนที่คับคั่ง



...









(มีต่อค่ะ)






.....................................................................


หมายเหตุ :

* เอารูปละครทีวีเรื่องบ้านเล็กในป่าใหญ่ (Little House on The Prairie) มาฝากค่ะ ชายหนุ่มคนเดียวในภาพนี้คือคุณ Michael Landon ขวัญใจของกวินโดลีนเขาล่ะ







Create Date : 03 ตุลาคม 2548
Last Update : 3 ตุลาคม 2548 16:50:05 น. 2 comments
Counter : 651 Pageviews.

 
(ต่อจากข้างบนค่ะ)


...


"มันย่อมาจากอะไรคะ? อลันหรือเปล่า?"


"ไม่ใช่ครับ"


"อองฟองเซ่ล่ะ?"


"อู้ฮู"


"เอ่อ... อัลออยดิอุส?"


"ไม่ถูก!"


"งั้น! อลัสแตร์"


"โห ไม่ ไม่ครับ"


"งั้นต้องเป็นอัลเบิร์ตแหง๋ ๆ"


ชายหนุ่มหัวเราะ "มันไม่ได้ย่อมาจากอะไรทั้งนั้นครับ แอลไลก็คือแอลไล"


แน็ตตี้จ้องหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงง "เป็นไปได้ไงคะ?"


เขายักไหล่ "แม่เคยพูดบ่อย ๆ ว่าแม่คิดว่าผมปฏิสนธิขึ้นมาในตรอกเล็ก ๆ ตรงไหนสักแห่งน่ะครับ"


แน็ตตี้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิกแขนคู่สนทนาหมับ "คุณหลอกฉันนี่!"


เขาแกล้งผงะถอยหลังเพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้าย "ผมเปล่านะครับ นี่เรื่องจริงเลย สาบานได้! แม่เชื่อว่ามันเป็นซอยที่อยู่แถวด้านหลังของบาร์เหล้าที่ชื่อโรสแอนด์เคราน์ในเคสสิค"


"ฉันไม่เชื่อคุณหรอก"


แอลไลถอนใจเฮือกใหญ่ "ดูซิ ผมกำลังคิดว่าคุณไว้ใจผมแล้วเสียอีก"


"แน้! แล้วที่บอกว่า "คิดว่า" คุณปฏิสนธิขึ้นมาในตรอกนั่นมันหมายความว่าไง?"


"คือ เรื่องมันมีอยู่ว่าคืนนั้นแม่ผมเมามากไปหน่อย" คนเล่าออกท่าออกทางเหมือนกำลังกระดกขวดเหล้าขึ้นดื่ม "และคืนนั้นมันเป็นคืนที่อากาศปลอดโปร่งเป็นใจ และแม่ก็พบกับผู้ชายคนนั้น แล้วทั้งคู่ก็ เอ่อ คุณคงพอจะเดาเรื่องต่อจากนั้นได้"


"ในซอยนั่นน่ะนะ"


"ครับผม"


"แล้ว คุณแม่คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่าคะ?"


"แม่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่หรอกครับ เธอเล่าว่าพอจะจำหน้าเขาได้ แล้วก็" แอลไลหัวเราะ "แล้วก็รายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เว้นแต่จำชื่อเขาไม่ได้ แต่มันเป็นคืนแห่งความสุขคืนหนึ่งในชีวิตของแม่เลยนะครับ"


"งั้นคุณก็ไม่เคยพบหน้าพ่อ?" แน็ตตี้ถาม


"ไม่เคยครับ ตอนเป็นวัยรุ่นผมอยากรู้เรื่องพ่อมากเลย แต่กรณีของผมมันไม่เหมือนเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ผมเลยไม่มีข้อมูลในการตามหาเขา"


"น่าเศร้านะคะ"


"โอ้ ไม่รู้สิครับ แม่รักผมมาก คอยดูแลผมมาตลอด อีกอย่าง มันทำให้ผมมีเรื่องสนุก ๆ เล่าให้คนอื่นฟังด้วยไง"



ทั้งคู่เดินเคียงกันขึ้นบันไดขั้นเตี้ยที่สร้างเลียบน้ำตกจำลองเล็ก ๆ แล้วเข้าสู่แถวของผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อีกครั้ง เมื่อทั้งสองเดินผ่านร้านใหญ่ที่วางขายงานไม้แกะสลักหลากหลายรูปแบบก็หยุดแวะชื่นชมความงดงามของงานฝีมือพื้นบ้านอันเรียบง่ายเหล่านั้น


"ฉันว่าฉันน่าจะซื้อของพวกนี้ไปฝากคนที่บ้านนะคะเนี่ย" แน็ตตี้ทำท่าครุ่นคิด


"นี่ครับ" แอลไลยื่นแมวไม้ขายาวมาให้ "ลองดมเนื้อไม้ดูสิครับ กลิ่นของมันหอมมากเลยนะ"


แน็ตตี้สูดลมหายใจเข้าลึก และกลิ่นหอมของไม้ทำให้เธอคิดถึงบรรยากาศของทะเลทรายยามค่ำ "จริงด้วยค่ะ หอมมาก"


แอลไลพยักหน้าสนับสนุนก่อนจะวางแมวไม้ลง เขาพยักเพยิดไปทางเจ้าของร้านที่กำลังสนทนาออกรสอยู่กับลูกค้าที่เป็นชายหนุ่มร่างสูงที่ทำท่าสนใจชิ้นงานที่แกะเป็นรูปนกกาและแมว "ถ้ามีโอกาสคุณน่าจะได้คุยกับคุณจอห์นนะครับ -เขามีความรู้รอบตัวดีมาก เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของควีนสแลนด์ด้วย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งรกรากของคนที่นี่น่ะครับ ผมว่าเขาเป็นศิลปินแห่งท้องทุ่งตัวจริงเลยล่ะ"


แน็ตตี้ก้มลงพิจารณางานไม้ชิ้นเล็ก ๆ แล้วส่ายหน้า "ฉันคงทำงานแบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ ค่ะ ขนาดจะต่อชั้นวางของเองยังทำไม่ได้เลย!"


แอลไลยักไหล่แล้วฉีกยิ้ม "บางทีจอห์นอาจจะวาดรูปลูกกวาดไม่เป็นก็ได้นะครับ โลกนี้มันคงมีการปรับสมดุลในตัวของมันเอง ทำให้แต่ละคนถนัดในงานแต่ละอย่าง และถ้าใครสามารถค้นพบได้ว่าตัวเองเก่งในงานด้านไหนแล้วนั่นถือว่าเป็นโชค"


แน็ตตี้ก้าวออกจากร้านโดยมีแอลไลเดินตามหลัง "งั้นคุณก็ถนัดด้านประวัติศาสตร์กับตำนานเก่าสิคะ" หญิงสาวแซว


แอลไลยักไหล่อีกครั้ง "แต่ผมว่าผมชอบงานดนตรีมากกว่า แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ บางทีอาจจะเป็นงานเขียน"


"แต่เท่าที่จำได้ ฉันว่าคุณเล่นกีต้าร์เก่งมาเลยนะ"


ชายหนุ่มหน้าแดง "คืนนั้นคุณเมานี่นา!"


แน็ตตี้ย่นจมูก "แค่มึน ๆ เองค่ะ แล้วฉันก็ได้ยินคุณเล่นก่อนที่จะเริ่มดื่มนะคะ"


"อ๋อ"



สองหนุ่มสาวแทรกตัวผ่านฝูงชนแล้วก้าวขึ้นไปยืนบนทางเท้าของถนนสายหลัก เหนือขึ้นไปตามถนนนั้นคือทางแยกอันพลุกพล่านโดยมีต้นไม้ใหญ่สองต้นยืนตระหง่านง้ำอยู่ และด้วยเหตุผลบางประการที่ภาพของต้นไม้นั้นทำให้ขนอ่อนตรงท้ายทอยของแอลไลลุกเกรียวขึ้นมาในทันที


แน็ตตี้สังเกตเห็นอาการชะงักงันของเขาและกำลังจะอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่มีคนกลุ่มใหญ่เบียดแทรกเข้ามาเสียก่อน ทำให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นหายวับไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ความทรงจำ


ทั้งคู่ออกเดินไปตามถนนเพื่อกลับไปยังตำแหน่งที่แอลไลจอดรถทิ้งไว้โดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก จนในที่สุดแน็ตตี้จึงเป็นฝ่ายพูดขึ้น


"คุณกริษาร้องเพลงเก่งนะคะ"


"ครับ เธอเป็นนักแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยร่วมงานด้วย เธอเยี่ยมมากจริง ๆ ครับ" แอลไลชมด้วยท่าทีกระตือรือร้น


ลูกโป่งแห่งความหวังที่ก่อตัวขึ้นในใจของแน็ตตี้อย่างช้า ๆ มาตลอดช่วงบ่ายแฟ่บหายไปในทันที แอลไลเป็นผู้ชายคนแรกในรอบหลายปีที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ไม่สิ ไม่ใช่แค่ความสบายใจ แต่เป็นความพึงพอใจมากกว่า และในขณะที่เขากำลังสรรเสริญเยินยอความเก่งกาจของสตรีอื่นออกมาต่อหน้า ทำให้แน็ตตี้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอิจฉาผู้หญิงคนนั้นโดยหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทางเหมือนจะจีบหรือต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาให้มากเกินกว่าความเป็นเพื่อน แต่ถึงกระนั้น-


"คุณรู้ไหมว่าอะไรคือเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด?" แอลไลถามขึ้นโดยไม่ทันสังเกตว่าหญิงสาวไม่ได้ฟังที่เขาเล่ามาเลย แน็ตตี้ส่ายหน้า "ก็เธอดันไปแต่งงานกับคนขับรถแท็กซี่ซื่อบื่อที่ชอบฟังดนตรีพอ ๆ กับหัวผักกาด แปลกดีที่ทั้งคู่ยังรักกันปานจะกลืนกิน"


แน็ตตี้เกือบจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ความรู้สึกโล่งอกโล่งใจที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เธอถึงกับวิงเวียน จิตรกรสาวคว้าแขนคู่สนทนาไว้แล้วยึดให้เขาหยุดเดินอยู่กลางถนน "คืนนี้ทานอาหารเย็นด้วยกันนะคะ?" เธอถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย รอยยิ้มเหยียดกว้างเต็มใบหน้า


ส่วนคนถูกถามทำหน้าแปลกใจสุดขีด "อะไรนะฮะ นี่คุณนัดเดทผมงั้นเหรอ?"


หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดแต่ยังคงยิ้มกว้าง "ก็ลองดูไม่เสียหายอะไรนี่"


แอลไลก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเองด้วยความขัดเขิน ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง "ตกลงครับ"


"ให้ฉันเป็นเจ้ามือนะคะ" หญิงสาวรีบชิงพูดต่อก่อนที่อีกฝ่ายจะทันประท้วง "หยุดเลยค่ะ ฉันขอยืนยันว่าจะเลี้ยงข้าวคุณ ถ้าคุณไม่อยากเห็นจิตรกรนิวลีนชื่อดังระดับโลกออกอาการอาละวาดฟาดหางล่ะก็ ฉันขอแนะนำให้คุณตอบตกลงตามที่ฉันเสนอดีกว่านะคะ"


"ก็ได้ครับ" ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ "ที่ไหนดีครับ?"


แน็ตตี้ถอนหายใจ "คุณเป็นเจ้าถิ่นนี่ คุณเลือกมาแล้วกันค่ะ"


"โอเค อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะครับ?"


"อืม เอาที่รสจัด ๆ หน่อยดีกว่า"


เขายิ้ม "ผมว่าผมต้องชอบคุณแน่ ๆ เลย"


"ขอให้จริงเถอะค่ะ" แน็ตตี้กระเซ้าแล้วควงแขนชายหนุ่มออกเดินกลับเข้าสู่ตัวเมือง









(จบบทที่ 17)



******************************



ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)




******************************






...


ลิงค์ตอนเก่า ๆ ที่ตกขอบกระดานไปแล้วค่ะ

[1] Dream in a field of wild flowers : ความฝันกลางทุ่งดอกไม้ป่า

[2] The artist's craft : ฝีมือจิตรกร

[3] The wild reel : เพลงเต้นรำสุดเหวี่ยง

[4] The faerie lord : เจ้าเหนือหัวแห่งภูต

[5] Dream in an ancient forest : ความฝันกลางป่าโบราณ

[6] A timely invitation : คำเชิญที่มาถึงในเวลาเหมาะเจาะ




โดย: Poceille วันที่: 3 ตุลาคม 2548 เวลา:16:54:03 น.  

 
อ่า...เรื่องยาวเหมือนกันนะครับ...


โดย: กุมภีน วันที่: 3 ตุลาคม 2548 เวลา:17:38:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.