...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
10 กรกฏาคม 2548
 
All Blogs
 
[11] Riding the night : ท่องราตรี



...


ฝามันไม่ยอมปิด


แน็ตตี้ปีนขึ้นไปขย่มอยู่บนกระเป๋าเดินทางที่ตัดเย็บจากผ้า มือสองข้างพยายามกระตุกซิปอย่างทุลักทุเล มันขยับเคลื่อนที่เหมือนไม่เต็มใจสลับกับหยุดนิ่งคล้ายต้องการพักเหนื่อย แต่ที่สุดแล้วก็สามารถรูดปิดจนครบรอบได้สำเร็จ แนวฟันของซิปที่ทำจากไนล่อนเรียงรายเป็นแถวนั้นป่องบวมเหมือนซี่ฟันของคนติดบุหรี่ที่กำยังฉีกยิ้มส่งมาให้ หากใช้สายรัดรัดเพิ่มเข้าไปอีกชั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร


แน็ตตี้พ่นลมออกจากปากเพื่อเป่าปอยผมให้พ้นไปจากดวงตาแล้วลงนั่งพัก เธอหายใจเข้าลึก ๆ ภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อยที่สามารถยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงไปไว้ในกระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียวได้ (อันนี้ไม่ได้นับรวมพวกของหนัก ๆ อีกหลายชิ้นที่ถูกแยกไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องนะ) ตอนนี้การจัดข้าวของสำหรับการเดินทางก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หญิงสาวจึงมีเวลาหยุดพักเพื่อคิดทบทวนว่าจะต้องทำอะไรต่อ


ท่วงทำนองของ Clarinet Concerto in A major ประพันธ์โดยโมสาร์ทล่องลอยระเรื่อยมาจากสเตอริโอเครื่องเล็ก และเสียงของเบนนี่ กู๊ดแมน กำลังขับขานเนื้อเพลงไพเราะสอดประสานไปกับแสงตะวันกระจ่างใสที่ทอผ่านหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามาภายในห้อง ด้านนอกคือยามบ่ายกลางฤดูใบไม้ร่วงอันงดงามสดใส รื่นเย็นด้วยสายลมอ่อนจากท้องทะเลที่ยามนี้พึงใจเพียงแค่การพัดโชยเอื่อยแทนการกรรโชกรุนแรง บรรยากาศของยามเย็นในวันนี้น่าจะเอื้ออำนวยให้เกิดอารมณ์รังสรรภาพวาด แต่แน็ตตี้กลับมีงานอื่นสุมอยู่เต็มหัวเสียแล้ว


หญิงสาวใช้มือตบลงบนกระเป๋าเดินทางผ้าลายตารางหมากรุกเบา ๆ ก่อนยกขาข้ามแล้วกระเด้งตัวลงจากเตียงนอน เธอเดินตรงไปลงนั่งที่โต๊ะทำงาน คว้ากระดาษที่จดรายการต่าง ๆ ออกมาอ่านทบทวนเป็นรอบที่สิบสอง


วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนการเดินทางและเธอก็ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายอยู่จนวินาทีสุดท้ายเหมือนเคย แม้ว่าการจัดของลงกระเป๋าจะเรียบร้อยเกือบหมดแล้ว แต่ก็เหมือนยังเหลืองานอีกล้านหนึ่งเรื่องที่รอให้เธอลงมือจัดการ ทว่าบัดนี้ความตื่นเต้นและความคาดหวังต่าง ๆ นานารบกวนจิตใจของหญิงสาวจนเธอแทบจะไม่สามารถรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เลย


แน็ตตี้หยิบปากกาขึ้นมาทำเครื่องหมายลงหน้ารายการสองสามหัวข้อแล้วลากสายตาลงไปดูรายการอันดับต่อไป เธอดึงลิ้นชักโต๊ะออก ควานหาสมุดเช็คกับซองจดหมายออกมาสองสามซอง เมื่อเธอเซ็นสั่งจ่ายใบแจ้งหนี้ฉบับสุดท้ายเรียบร้อยแล้วจึงยัดสมุดเช็คกลับเข้าลิ้นชักและเก็บบัตรรับประกันเข้ากระเป๋าสตางค์ งานเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จไปอีกหนึ่งชิ้น เธอเลื่อนเก้าอี้ถอยหลัง ลุกยืนขึ้นแล้วเดินวนไปเวียนมาจนทั่วห้องสตูดิโอในระหว่างที่พยายามนึกว่าจะต้องทำอะไรต่อ


หญิงสาวซื้อข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างจากในเมืองกัลเวย์เรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อเช้า โดยกวาดซื้อทุกอย่างที่กวินโดลีนแนะนำมา จะมีก็เพียงบางอย่างเช่นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เธอตัดสินใจจะไปหาซื้อเอาที่บริสเบนทีเดียวเลย เพราะเมื่อเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินแล้วเสื้อผ้าที่โน่นราคาถูกกว่ามาก แถมยังไม่ต้องแบกมันใส่กระเป๋าให้หนักอีกด้วย


แน็ตตี้ยังไม่แน่ใจว่าเธอจะต้องการใช้อะไรบ้าง เธอรู้มาว่าที่โน่นอากาศร้อน และเพื่อนสาวของเธอเตือนว่านี่เพิ่งจะเป็นช่วงต้นฤดูร้อนเท่านั้น แต่ว่ามันจะร้อน ขนาดไหน กันล่ะ? เธอได้รับคำแนะนำให้หาซื้อแว่นกันแดดในช่วงแวะพักเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮีทโทรลด้วย แม้กวินโดนลีนจะไม่ได้เน้นย้ำความสำคัญอะไรมากมายนัก รายนั้นเพียงแค่ออกปากสรรเสริญความสว่างไสวของแสงแดดในออสเตรเลียให้ฟังอยู่สองสามนาที แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้แน็ตตี้ตัดสินใจโยนแว่นกันแดดราคาถูกที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตทิ้งได้ในทันที


เที่ยวบินจากแชนนอนจะออกตอนแปดโมงครึ่งตอนเช้าวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็แวะพักที่สนามบินฮีทโทรลหนึ่งชั่วโมงเพื่อต่อเครื่องไปลงสิงคโปร์เพื่อเปลี่ยนเครื่องอีกเที่ยว ครั้งนี้ต้องรอนานหกชั่วโมง จากนั้นถึงจะบินยาวผ่านเคนส์ลงไปถึงบริสเบน รวมเวลาทั้งหมดที่แน็ตตี้ต้องระหกระเหินเดินทางก็ประมาณวันครึ่ง แถมยังมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการบินข้ามโซนเวลาเข้ามาเกี่ยว หญิงสาวจึงได้แต่คำนวณคร่าว ๆ เพื่อที่จะบอกกวินโดลีนได้ว่าเธอจะไปถึงที่โน่นประมาณกี่โมง


แน็ตตี้เดินวนเวียนไปรอบสตูดิโอพร้อมกาแฟถ้วยใหม่ในมือ หยิบโน่นเก็บนี่ไปตามประสา เธอเตรียมขาตั้งภาพพร้อมกับชุดสีน้ำและพู่กันอันที่เหมาะมือไปด้วย หญิงสาวไม่ลืมที่จะโทรไปสอบถามสายการบินเพื่อความแน่ใจว่าเธอสามารถแบกอุปกรณ์เหล่านี้ขึ้นเครื่องไปพร้อมกับเธอได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สายการบินตอบว่าไม่มีปัญหา เพียงแต่แนะนำให้เธอรีบไปเช็คอินเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้มีโอกาสเลือกที่นั่งที่มีช่องเก็บของขนาดใหญ่ก่อนคนอื่น ขาตั้งภาพที่เธอจะเอาไปด้วยนั้นทำจากไม้ที่ทั้งเก่าและบอบบางเสียจนหญิงสาวไม่ไว้ใจให้คนอื่นเป็นผู้จัดเก็บดูแล


แน็ตตี้ทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกว่าการรวบรวมสมาธิทำได้ยากเหลือเกิน การเดินทางออกนอกทวีปยุโรบเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้เธอตื่นเต้นเสียจนแทบระเบิด หญิงสาวจิบกาแฟร้อนอย่างเลื่อนลอยในขณะที่สมองทำการทบทวนถึงแผนงานที่ยังคั่งค้างอยู่


ผู้ช่วยงานของรู้ธตี้ที่ชื่อแซลลี่รับอาสาจะขับรถพาแน็ตตี้ไปส่งที่สนามบินตอนหกโมงครึ่งพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่หญิงสาวคิดว่าเหมาะสม แม้จะต้องไปนั่งรออยู่ที่สนามบินต่ออีกนานพอสมควร แต่แน็ตตี้ก็เตรียมพกหนังสือดี ๆ ไปแล้วสองสามเล่มที่พอจะช่วยเธอฆ่าเวลาไปได้ คุณจอห์นที่ทำงานอยู่สำนักงานไปรษณีย์รับปากว่าจะแวะมาสตาร์ทรถให้เธอเป็นประจำในช่วงที่เธอไม่อยู่ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก เธอแลกเช็คเดินทางเป็นเงินออสเตรเลียไว้หมดแล้ว (ยกเว้นเงินสดสำหรับซื้อของปลอดภาษีที่ฮีทโทรล) ตั๋วเครื่องบินก็ไม่มีปัญหา ส่วนหนังสือเดินทางของเธอก็เป็นเล่มใหม่ที่พร้อมใช้งานได้ทันที


แน็ตตี้ก้มมองถ้วยกาแฟที่ใกล้ว่างเปล่าแล้วถอนหายใจก่อนลุกขึ้นยืน ไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี เธอล้างถ้วยกาแฟแล้วเดินลงบันไดไปคุยกับรู้ธตี้ต่ออีกพักใหญ่


วันนี้มันผ่านไปอย่างเชื่องช้าจริง ๆ



...



พระจันทร์วันเพ็ญดวงกลมเกลี้ยงและเอิบอิ่มไปด้วยโชคดีและแสงสว่างเรืองรองแขวนตัวต่ำอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้า ก่อให้เกิดแสงเงาที่ทอดยาวไปบนท้องทุ่งกว้างและชายหาดที่เปิดโล่ง


ผืนฟ้าสีดำสวยเหมือนสีน้ำหมึกแผ่คลุมแผ่นดินเหมือนผ้าห่มผืนใหญ่ พร่างไปด้วยประกายระยับที่กระพริบวิบไหวเหมือนสิ่งมีชีวิตที่กำลังเฝ้าคอยอย่างจดจ่อ หมู่ไม้ยืนต้นสั่นไหวในความมืด ใบไม้สีทองแดงปลิดปลิวร่วงโปรยราวสายฝนแผ่วบางยามสายลมพัดผ่านกิ่งก้านเกือบเปลือย ส่ำสัตว์แห่งราตรีออกหากินใต้ร่มเงาไม้ที่ช่วยบดบังสายตาของดาราเบื้องบน ตัวแบดเจอร์จมูกขาวเหมือนถูกเคลือบด้วยเกล็ดน้ำแข็งพ่นลมหายใจดังพรืดยามที่มันมุดลอดพุ่มไม้เตี้ยที่ดกหนา สอดส่ายสายตามองหาแมลงปีกแข็งหรือพวกสัตว์ฟันแทะตัวเล็ก ๆ ในขณะที่ไกลออกไป ลมหายใจของสายลมพัดพาเอากลิ่นสาบสางของนางสุนัขจิ้งจอกที่ออกล่าเหยื่อชิ้นโต นกเค้าแมวโฉบเฉวียนอยู่เบื้องบน เห็นเป็นเพียงเงาบางเหมือนวิญญาณล่องลอยผ่านโค้งฟ้าที่เกือบดำสนิท


ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาจากสรรพเสียงนับพัน นับตั้งแต่เสียงจี๊ดเบา ๆ ที่แทบไม่ได้ยินไปจนถึงเสียงร้องแหลมด้วยความตกใจจากนกไนท์จาร์* เจ้าแบดเจอร์หยุดการคุ้ยเขี่ย ยกหัวมู่ทู่ขึ้นสูดกลิ่นของสายลม มันรู้ดีว่ามันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่กลิ่นที่ได้นั้นไม่ได้บ่งบอกถึงอันตราย มันนิ่งฟังเสียงแว่วเบาอยู่ชั่วครู่ ดวงตาใสเหมือนแก้วกระพริบวิบหนึ่งก่อนก้มจมูกลงคุ้ยหาอาหารต่อไป


"ได้แล้วได้แล้วได้แล้ว ได้ แล้ว!"


"เงียบ ๆ สิเว้ย เดี๋ยวพวกมันก็ตกใจหนีไปหมดหรอก" เจ้าของคำพูดเหลือกตาขึ้นมองฟ้า ก่อนก้มลงมองเพื่อนที่กำลังปล้ำอยู่กับสวิงขนาดใหญ่เกินตัวตรงริมขอบบ่อน้ำ มันถอนหายใจก่อนก้มลงหยิบสวิงของตัวเองขึ้นถือไว้แล้วเดินเข้าไปหา


ภูตหญ้าแห้วหมูตัวจิ๋วตนแรกวางสวิงลง ยกมือขึ้นเท้าสะเอวในขณะที่จับตามองคู่หูที่กำลังวุ่นอยู่กับผีเสื้อที่มันทอดสวิงจับไว้ได้ แมลงตัวน้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าคนจับอย่างน้อยครึ่งเท่าถูกตาข่ายเส้นบางราวใยแมงมุมพันตัวเสียจนยุ่งเหยิง ในขณะที่ภูตหญ้าแห้วหมูตนที่สองขึ้นไปยืนเหยียบก้านไม้ยาวที่ต่อเข้ากับตัวสวิงเอาไว้เพื่อไม่ให้เหยื่อบินหนีไปด้วยท่าทางห้าวหาญ


"ทำไมไม่ร่ายคาถานอนหลับเล่า?" ภูตตนแรกถามขึ้น


แมลงในกับดักกระพือปีกอีกครั้ง ส่งผลให้ภูตจิ๋วแทบจะโผขึ้นสู่อากาศไปพร้อมกับสวิงที่ยกตัวสูงขึ้น


"ข้าลืมคำร่ายไปหมดแล้ว!" มันตะโกนลั่นในขณะที่พยายามทรงตัวอยู่บนก้านไม้หนา


ภูตตนแรกที่ดูท่าว่าจะมีอาวุโสมากกว่าส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ มันเกือบจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะกำลังหงุดหงิดที่ตนเองยังจับแมลงไม่ได้สักตัว แต่พอได้ยินเสียงโวยวายของคู่หูก็ต้องอมยิ้มก่อนพึมพำถ้อยคำทำนองออกมาเบา ๆ


ผีเสื้อหยุดกระเสือกกระสนเกือบจะในทันที ส่วนคนจับตัวจ้อยถึงกับทิ้งตัวลงนั่งหายใจหนัก ๆ อยู่กับพื้น


"ขอบใจนะ เพียทรี ถือว่าหนนี้ข้าติดหนี้เจ้าแล้วกัน" มันหอบฮัก


"อันที่จริงเจ้าติดหนี้ข้ามาประมาณสี่สิบสามครั้งได้แล้วมั้ง แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ไปช่วยข้าจับพาหนะก่อน"


ภูตตัวเล็กกว่าพยักหน้าหงึกหงักพลางลูบหัวผีเสื้อที่หลับสนิทเล่น มันจ้องเขม็งไปทางด้านหลังของเพื่อนรุ่นพี่ก่อนยกมือขึ้นชี้ "เพียทรีดูนั่น! บนตอไม้นั่น ผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ที่สุดที่ข้าเคยเห็นเลยล่ะ!"


เพียทรีส่ายหัวพร้อมถอนหายใจด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย


"จักเล่ย์ ถ้าเจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะยอมเดินทางไปออสเตรเลียบนหลังของผีเสื้อกลางคืน ธรรมดา ๆ ละก็ เจ้าต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่นะ อย่างข้าต้องใช้พาหนะหรู ๆ อย่างแมลงปองี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นผีเสื้อสีขาวที่เกิดจากหนอนกะหล่ำ มาเถอะ รีบไปหากัน เดี๋ยวคนอื่นจะแย่งไปหมดเสียก่อน"


จักเล่ย์พยักหน้า มันม้วนปลายตาข่ายให้ปิดสนิทแล้วยกขึ้นพาดบ่า แม้ผีเสื้อจะตัวใหญ่มหึมาจนทำให้เจ้าภูตจิ๋วยิ่งดูตัวเล็กลงไปกว่าเดิม แต่มันก็แบกน้ำหนักนั้นได้อย่างสบาย ในขณะที่เพียทรีก้มลงคว้าสวิงของตน แล้วทั้งคู่ก็เดินตามกันเข้าไปด้านในของหมู่ไม้



...



ฟินวาร์รายืนอยู่ข้างเตียง


ตรงหน้าของชายหนุ่มคือเครื่องแต่งกายที่ถูกจัดวางเรียงราย ในขณะที่เจ้าตัวพยายามเลือกเพื่อลดจำนวนลงเหลือเพียงสิบสองชุดที่เขาสามารถหยิบใช้ได้ในทุกโอกาส


หากมีใครสงสัยใคร่ถาม บอกได้เลยว่ายามนี้ท่านขุนนางใหญ่ยังคงรักษาทีท่าสุขุมนุ่มลึกได้เหมือนปกติ แต่ภายในใจกลับกำลังเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น การเตรียมการต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญทางการร่ายคาถาอาคมทั้งสามท่านแห่งคฤหาสน์คน็อคม่ากำลังนั่งอยู่ในเขตอาคมรูปสามเหลี่ยมเพื่อร่ายเวทที่จำเป็นต่อการเดินทางแลกเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในคืนพรุ่งนี้ พวกภูตที่บินได้ต่างช่วยกันทำความสะอาดคฤหาสน์ ส่วนพวกที่ไม่มีปีกเป็นของตัวเองก็พากันออกไปจับแมลงหรือนกเพื่อใช้เป็นพาหนะโดยสาร


ตัวฟินวาร์ราเองก็กระสับกระส่ายวุ่นวายเสียจนไม่มีเวลาใช้คริสตัลสอดแนมกับมนุษย์นางนั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะบันทึกมันลงไปในรายการของที่จะพกติดตัวไปด้วย


เสียงเคาะประตูอย่างสุภาพดังขึ้น เจ้าเหนือหัวแห่งภูตหันไปมองก่อนเอ่ยคำอนุญาต "เข้ามา"


ประตูบานกว้างเปิดแง้มออกอย่างเงียบกริบ กู๊ดเฟลโล่เดินเอ้อระเหยผ่านเข้ามา ในอ้อมแขนของเขาคือรองเท้าบู้ทสองสามคู่กับเสื้อคลุมตัวยาวสำหรับสวมเวลาเดินทาง


"โอ้ โรบิน หาเจอจนได้นะ"


"แน่นอนอยู่แล้วขอรับ ฝ่าบาท" ภูตหนุ่มตอบคำพลางวางรองเท้าลงบนพื้นและพาดเสื้อคลุมไว้กับพนักเก้าอี้


"การเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว?" ฟินวาร์ราซักต่อในขณะที่หันกลับไปมองเสื้อผ้าที่วางเรียงอยู่บนเตียงอีกครั้ง


"เรียบร้อยดีขอรับ" โรบินรายงาน เขาเดินข้ามห้องมายืนเคียงอยู่กับผู้เป็นนาย ก่อนที่จะก้มลงฉวยเอาเสื้อตัวยาวสองตัวแยกออกไปกองไว้ต่างหากโดยไม่มีการเอ่ยปากสอบถามใด ๆ ทั้งสิ้น "ผู้ร่ายเวทบอกว่าคาถาต่าง ๆ จะเรียบร้อยภายในคืนเดือนเพ็ญพรุ่งนี้ พวกเขาเสนอให้เราออกเดินทางกันตอนเที่ยงคืนขอรับ"


"เที่ยงคืนก็เที่ยงคืน แต่ว่า" ฟินวาร์ราพึมพำแผ่วเบา สายตาจับจ้องอยู่กับเสื้อสองชุดที่ภูตพุ้คคัดออกไป "เจ้าแน่ใจนะ?"


"แน่ใจขอรับฝ่าบาท ท่านควรจะเลือกสีดำหรือแดงสดเอาไว้เพราะมันขึ้นกับสีผิวของท่าน"


"เจ้าน่าจะถูกพูด แล้วช่วงนี้ทู'ลลอชโวยวายอะไรบ้างหรือเปล่า?" ท่านเจ้าว่าพลางก้มตัวลงรวบรวมเครื่องแต่งกายที่เหลืออยู่เข้าด้วยกัน


"โอ้... เอ่อ โวยวายหรือขอรับ? ก็ไม่เห็นมี...อะไรแปลกไปกว่าปกตินี่ เอ่อ ข้าหมายถึงพวกเราไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรจากนางเลยขอรับ" ภูตพุ้คแจง พวงแก้มเรื่อสีขึ้นเล็กน้อย


ฟินวาร์ราหันกลับมา โปะกองเสื้อลงในอ้อมแขนของคู่สนทนา "เยี่ยม" เขาชะงัก พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของโรบิน "มีอะไรรึ สหายของข้า?"


กู๊ดเฟลโล่ไอแค่ก "ไม่มีขอรับฝ่าบาท" ภูตหนุ่มปฏิเสธ "แค่รู้สึกตื่นเต้นกับการเดินทางเท่านั้น"


"ก็เป็นกันทุกคนแหล่ะ" ฟินวาร์รายิ้ม



...



"ชี่ชชช! ข้าเห็นตัวนึงแล้ว!"


"อย่ามาชี่ใส่ข้านะ ควินซ ข้าต้องมาลำบากปีนต้นไม้ถือเชือกให้เจ้าอยู่บนนี้ ถ้าเจ้ายังขืนมาทำเป็นออกคำสั่งอะไรกับข้าอีกทีเดียว ข้าจะปล่อยเชือกให้เจ้าร่วงลงไปไข่กระแทกพื้นจริง ๆ ด้วย"


"ไม่เห็นต้องยั้วะขนาดนั้นเลยนี่ สเตนเชอร์ ข้ายังไม่รู้ว่าทำไมต้องมาห้อยร่องแร่งอยู่แบบนี้เหมือนกัน"


"ก็เจ้าตัวเบากว่าข้านี่ ไอ้ตัวกินเด็ก!"


"ทำไมพูดจาหยาบคายแบบนั้น! ข้าแค่... ชี่ชชช! มันมาแล้ว"


"เตรียมกระบองพร้อมหรือยัง?"


"พร้อมอยู่แล้ว!"


"แล้วไอ้แมลงนั่นมันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?"


"มี หุบปากได้แล้วน่า"


"ทำไม? มันไม่ได้ยินพวกเราพูดสักหน่อย"


ค้างคาวเกือกม้าตัวน้อยกำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ในพงไม้ อาศัยสัญชาตญาณในการนำทางได้อย่างแม่นยำ สำหรับคนธรรมดาแล้วอาจเห็นว่าเจ้าค้างคาวมันบินโฉบไปเฉี่ยวมาโดยไม่มีทิศทางที่แน่นอน แต่แท้จริงแล้วมันวางแผนเส้นทางการบินไว้ให้สอดคล้องกับแหล่งอาหารได้อย่างแนบเนียน แม้คืนนี้จะเหน็บหนาว แต่ก็ยังมีแมลง ยุง และผีเสื้อกลางคืนให้จับกินได้ไม่อั้น


เจ้าค้างคาวผละจากกิ่งของต้นโอ๊คใหญ่ในนาทีสุดท้าย บินเลี้ยวผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ผอม ๆ สองต้นแล้วเหินไปตามทางเส้นเล็กที่มีหมู่ไม้เรียงรายสองข้าง ระหว่างทางก็งับตัวริ้นเล็ก ๆ เข้าปากได้สองสามตัว เรดาร์ของมันไม่สามารถตรวจจับสิ่งมีชีวิตใด ๆ ได้จากบริเวณเบื้องหน้า มีเพียงต้นไม้ใบหญ้าธรรมดาที่พลิ้วไหวไปตามสายลมยามค่ำ นกเค้าแมวหรือนักล่าประเภทเดียวกันกำลังลอยตัวอยู่เหนือแนวยอดไม้ นกตัวน้อย ๆ ขยับกายในรังอุ่น... และเสียงน่ากินอย่างที่สุดของตัวเหลือบที่ดังออกมาจากช่องว่างระหว่างต้นไม้สองต้นเบื้องหน้า


เจ้าค้างคาวเลี้ยวขวับแล้วบินตรงดิ่งไปในทันที อาศัยเพียงสัญชาตญาณดิบแห่งนักล่าเป็นตัวนำทาง หากว่ามันมีสายตาที่เฉียบแหลมสักหน่อย มันคงมองเห็นผีโบกี้ตนหนึ่งกำลังห้อยต่องแต่งลงมาจากกิ่งไม้ด้านบนพร้อมกระบองในมือ ตัวเหลือบที่เกือบหมดสติผูกห้อยอยู่กับเข็มขัดของมันด้วยเส้นผมของมนุษย์กำลังกระพือปีกอย่างอ่อนล้า ส่วนบนกิ่งไม้เหนือขึ้นไปคือผีโบกี้อีกตัวที่กำลังนั่งยึดเถาไอวี่พิษเส้นบางที่ใช้เป็นเชือกห้อยร่างของเพื่อนร่วมขบวนการเอาไว้


ควินซเงื้อกระบองขึ้น น้ำลายเกือบหกด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นค้างคาวตัวน้อยถลาเข้ามาในระยะลงมือ เสียงกระบองฟาดผ่านอากาศดังเฟี้ยวก่อนกระแทกลงกลางกระหม่อมที่เต็มไปด้วยขนฟู ๆ ระหว่างใบหูขนาดใหญ่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีปีกผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เต็มเปา มันร้องออกมาเบา ๆ ก่อนร่วงลงสู่พื้นเหมือนหินก้อนหนึ่ง


ผีโบกี้จอมชั่วร้ายทั้งคู่เฮลั่นด้วยความดีใจ ตัวที่ห้อยโตงเตงอยู่ควงกระบองในมือขึ้นเหนือหัวในขณะที่ยกกำปั้นน้อย ๆ อีกข้างขึ้นชกลมแรง ๆ ส่วนอีกตัวบนกิ่งไม้ปรบมือลั่นด้วยความยินดีที่เห็นคู่หูเหวี่ยงกระบองลงตรงเป้าหมายเป๊ะ


กว่าที่มันจะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดลงไป เถาไอวี่ก็เลื่อนพรืดผ่านหว่างขา และเสียงเดียวที่มันได้ยินคือเสียงตะโกนด้วยความตระหนกของควินซที่ร่วงลงไปหาพื้นด้านล่าง สเตนเชอร์กลืนเสียงหัวเราะคิกคักที่พุ่งพรวดขึ้นมาในวินาทีนั้นลงคอ ก่อนลุกยืนขึ้นแล้วปีนต้นไม้ลงสู่พื้นเบื้องล่าง


"ควินซ เจ้าอยู่ไหน?"


เสียงครางดังแผ่วเบา "ตรงนี้โว้ย อีโสเภณีชุดขาว"


สเตนเชอร์ขมวดคิ้ว "ไม่เห็นต้องใช้คำหยาบคายแบบนั้นเลยนี่ มันเป็นอุบัติเหตุอ่ะ"


ควินซลุกขึ้นนั่ง คลำหัวเหม่งป้อย "อุบัติเหตุบ้านเจ้าสิ" มันงึมงำ


"ค้างคาวอยู่ไหน? ค้างคาวอยู่ตรงไหน?" สเตนเชอร์ละล่ำละลักถามอย่างตื่นเต้น


ควิกซกระชากเถาไอวี่ที่พันอยู่รอบตัวออก แล้วชี้นิ้วไปยังก้อนตะคุ่มที่มีส่วนของปีกที่ขึงไว้ด้วยแผ่นหนังยื่นโผล่ขึ้นมาข้างหนึ่ง "โน่น" มันเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังตัวเองแล้วยกขึ้นดู ฝ่ามือเปียกไปด้วยเลือด หนองและของเหลวเหนียวเหนอะ "โอ้... เอี้ยเอ๊ย"


ผู้ร่วมขบวนการหันมามอง "อะไร? เจ้าบาดเจ็บเรอะ?"


ควินซส่ายหน้า "เปล่า ข้าร่วงลงมาทับไอ้แมลงนั่น" ว่าพลางยกมือขึ้นดมแล้วทำหน้าเบ้ ลิ้นสีดำเลื้อยออกมากวาดเลียช้า ๆ ก่อนที่มันจะทำตัวสั่นแล้วอมยิ้ม "อืมมม ตัวเหลือบนี่เอง"


"เลิกสนใจแมลงนั่นเสียที" สเตนเชอร์ขัดขึ้น "มาช่วยข้าจัดการกับค้างคาวก่อน"


ควินซเลียฝ่ามือตัวเองอย่างรวดเร็วจนสะอาดหมดจด แล้วลุกเดินตามสเตนเชอร์ที่เป็นคนลากค้างคาวออกไปสู่ลานโล่ง


"ตัวโตดีจัง!" ควินซอุทานเมื่อเห็นสเตนเชอร์ยืดปีกค้างคาวให้กางแผ่ออกบนพื้นหญ้าหยาบ ฝ่ายผู้ร่วมงานพยักหน้าในขณะที่กำลังพยายามกะขนาดความกว้างของปีกด้วยฝ่ามือ "ตัวขนาดนี้ใช้ได้ไหม?"


"ได้สิ ดีทีเดียวล่ะ"


ควินซถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน "เสร็จงานนี้แล้วพวกเราหม่ำมันได้ไหม?"


สเตนเชอร์หันขวับมามองพลางถอนหายใจเฮือก "ข้าไม่เคยมีความคิดที่จะวางมันทิ้งไว้ให้คนอื่นมาชุบมือเปิบลากไปหรอกน่า เอ้า เร็วเข้า มาช่วยจับหน่อย"


ควินซพยักหน้าหงึกหงักก่อนกระโจนขึ้นไปคร่อมร่างค้างคาวด้วยท่าทางหิวกระหาย มันคุกเข่าลงกับหน้าอกที่เต็มไปด้วยขนฟูแล้วจับหัวไหล่บีบไว้แน่น สเตนเชอร์ยันเท้าไว้กับส่วนลำตัว จับปีกข้างหนึ่งไว้แล้วออกแรงดึงเต็มที่ ใบหน้าของเจ้าผีบูดเบี้ยว เส้นเลือดตามหน้าผากและลำคอปูดโปน ควินซได้ยินคู่หูส่งเสียงฮึดตามการออกแรง ก่อนที่เสียงป๊อบแปลก ๆ จะดังขึ้นพร้อมกับส่วนปีกที่คลายตัวออก สเตนเชอร์ปล่อยมือให้ปีกหนังตกห้อยในมุมแปลก ๆ ก่อนเรียกหา "เอามีดมา"


ควินซคุ้ยกระเป๋าเสื้อตัวนอกอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงเอาใบมีดทองเหลืองทื่อ ๆ สีทึม ๆ ที่มีส่วนด้ามทำจากแผ่นหนังสานออกมายื่นให้ สเตนเชอร์รับไปไม่พูดไม่จา แล้วลงมือเลื่อยส่วนของแผ่นหนังที่ยึดปีกให้ติดอยู่กับตัวค้างคาวออก ส่วนควินซได้แต่นั่งน้ำลายหยดแหมะเมื่อเห็นโลหิตอุ่น ๆ สีสดทะลักล้นออกมาชะโลมพื้นดินแห้ง


การกระชากครั้งสุดท้ายก่อให้เกิดเสียงดังหนึบแบบเดียวกับเสียงที่เกิดเวลาดึงรองเท้าบู้ทออกจากเลนเหนียว ๆ และปีกค้างคาวก็แยกเป็นอิสระจากลำตัว สเตนเชอร์จัดแจงพับมันอย่างระมัดระวังแล้วเดินอ้อมตัวค้างคาวไปอีกฝั่งหนึ่ง


เมื่อปีกทั้งสองข้างถูกตัดออกเรียบร้อยแล้ว เจ้าผีก็ถอยออกไปยืนปาดเหงื่อบนหน้าผาก จ้องมองซากค้างคาวไร้ปีกแน่วนิ่ง "ไอ้ตัวนี่มัน เหมือน หนูจริง ๆ แหล่ะแฮะ" มันตั้งข้อสังเกต


ควินซเงยหน้าขึ้นจากบริเวณที่กำลังแทะเล็มอยู่แล้วพยักหน้า เศษเนื้อชิ้นบางห้อยรุ่งริ่งลงมาตามแนวคาง "รสชาติเหมือนด้วยอ่ะ!"


รอบด้านเงียบงันลงชั่วขณะ ได้ยินเพียงเสียงเคี้ยวหยับ ๆ ของผีโบกี้ ก่อนที่สเตนเชอร์จะแหวขึ้น "ไอ้บ้า! มาช่วยต่อปีกให้ข้าก่อน ข้ารอต่อไปไม่ไหวแล้ว"


ควินซหยุดการกัดกิน มันเสียบใบมีดให้จมลงไปในซากค้างคาวแล้วลุกยืนขึ้น ใช้หลังมือป้ายหนวดหรอมแหรม มันกลืนของที่อยู่ในปากลงคอก่อนเอ่ยขึ้น


"แต่ สเตนเชอร์ กว่าจะเดินทางก็ตั้งคืนพรุ่งนี้ แถมเวทมนตร์ก็คงอำนาจอยู่ได้แค่หนึ่งวงรอบของพระจันทร์เท่านั้น ถ้าปีกเกิดเน่าหลุดไปก่อนถึงกำหนดกลับล่ะ?" มันก้มหัวลง "อีกอย่าง เจ้าสัญญาว่าจะช่วยข้าจับค้างคาวอีกตัวด้วยนี่นา"


สเตนเชอร์โบกไม้โบกมือ "เรามีเวลาพอถมถืดน่า มาเหอะ ตั้งหลายสิบปีแล้วที่ข้าไม่เคยติดปีกสวย ๆ แบบนี้"


ควินซถอนหายใจพลางก้มลงดึงมีดออกจากซากค้างคาว "ก็ได้ แต่เจ้าต้องสาบานก่อนว่าเสร็จแล้วจะช่วยข้าจับค้างคาวอีกตัว ข้าไม่อยากโดนทิ้งอยู่ที่นี่คืนพรุ่งนี้อ่ะ"


"ข้าสาบาน พอใจหรือยัง! ที่นี้มาช่วยกันได้แล้ว"


ควินซพยักหน้า มันย้ายมีดมาไว้ในมือข้างขวา "จะนั่งหรือจะยืน?"


"นั่ง"


ควินซเหลียวมองรอบตัว สายตาสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่ง "นั่งโน่นแล้วกัน"


ผีสองตนหิ้วปีกค้างคาวไปตัวละข้างแล้วเดินตรงไปหาหินก้อนนั้น สเตนเชอร์ลงนั่งด้วยท่าทางกระตือรือร้น วางมือทั้งสองข้างลงบนตัก ควินซเดินวนรอบตัวเพื่อนก่อนถอดเสื้อของสเตนเชอร์ออก เผยให้เห็นหัวไหล่ผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูก ผิวของเจ้าผีเป็นสีเขียวเรืองในแสงจันทร์นวลกระจ่าง และเมื่อควินซทาบใบมีดทื่อลงกับผิวหนังเหนียวเหนอะ มันก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากตัวเองด้วยความตื่นเต้น


"สูงกว่านี้อีก ไอ้โง่" สเตนเชอร์ตวาด "ข้าอยากให้ตัวเองเหมือนปีศาจฮาร์ปี**นะเว้ย ไม่ใช่นางฟ้า"


ควินซพยักหน้ารับทราบโดยไม่ตอบโต้อะไร มันขยับใบมีดขึ้นไปแตะตรงเหนือปลายล่างของกระดูกสะบัก


"นั่นแหล่ะ" สเตนเชอร์สูดลมหายใจเข้าลึก "เอาล่ะ เฉือนลงไปเลย!"


คมมีดกดลงไปบนผิวหนังหนา เลือดสีเขียวน่าสะอิดสะเอียนไหลซึมออกมาเป็นทางยาว


"เดี๋ยว!" จู่ ๆ สเตนเชอร์ก็ตะโกนลั่นขึ้นมา


ควินซผงะถอยหลัง "อะไร! มีอะไรเรอะ?"


สเตนเชอร์ล้วงมือลงไปหาเชือกผูกกางเกงแล้วปลดถุงใบเล็ก ๆ ออกมา "เกือบลืมผงวิเศษซะแล้ว" มันว่าพลางหัวเราะหึ ๆ


ควินซถอนหายใจพลางยื่นมือไปรับถุงนั้นมาวางลงตรงพื้นระหว่างปลายเท้าทั้งสอง "คราวนี้เอาแน่แล้วนะ?" มันถามเพื่อน


สเตนเชอร์พยักหน้า "เร็ว ๆ เข้า ฟ้าจะสางแล้ว"


โดยไม่รอช้า ควินซเลื่อยใบมีดผ่านกล้ามเนื้อหนาจนคมมีดครูดเข้ากับกระดูก สเตนเชอร์นั่งตัวแข็งด้วยความตื่นเต้น ควินซบิดใบมีดเพื่อแซะไปตามขอบกระดูกแล้วชำแหละลึกลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เพื่อนร่วมขบวนการถึงกับตัวสั่นพร้อมส่งเสียงครางด้วยความหรรษาเมื่ออาการปวดแปลบแผ่ซ่านไปทั่วตัว


เมื่อควินซเห็นว่ารอยเปิดผ่านั้นลึกพอแล้ว มันก็วางมีดลงแล้วคว้าเอาปีกข้างหนึ่งขึ้นมาพิจารณาอยู่ชั่วขณะเพื่อให้แน่ใจว่าหยิบถูกข้าง มันแลบลิ้นออกมาเลียหัวกระดูกข้อต่อทรงกลมเหมือนลูกบอลแผล็บหนึ่งเพื่อความโชคร้าย แล้วยัดลงไปในแผลเปิดที่ชุ่มไปด้วยเลือด ขยับไปมาจนรู้สึกว่ามันยึดติดกับร่างใหม่ได้ดีพอสมควรแล้วก็เร่งมือใส่ปีกอีกข้างด้วยความรวดเร็วเพราะรู้ดีว่าเวลาของมันเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว


เมื่อปีกค้างคาวทั้งสองข้างถูกจัดให้เข้าที่เรียบร้อย ควินซก็ก้มลงหยิบถุงใบเล็กที่พวกมันได้เป็นรางวัลจากการถูกหวยผีโบกี้เมื่อตอนหัวค่ำขึ้นมา ล้วงมือลงไปควักผงเย็น ๆ เป็นมันเยิ้มขึ้นมาเต็มกำ มันแบ่งผงออกใส่มืออีกข้างก่อนป้ายลงรอบรอยแผลบริเวณที่ส่วนของปีกยื่นออกมาจากหัวไหล่ของสเตนเชอร์


ในวินาทีแรกยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ลานโล่งรอบด้านเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงผีโบกี้ครวญครางอย่างน่าสงสาร จากนั้นก็บังเกิดกลิ่นเหม็นฉุนเหมือนกลิ่นไข่เน่า และควินซก็ได้แต่จ้องเขม็งด้วยความประหลาดใจเมื่อผิวหนังรอบกระดูกขาวเปลือยของปีกค้างคาวยืดตัวออกมาบรรจบและถักทอประสานเข้าหากันอย่างหยาบ ๆ จนทำให้ดูเหมือนว่าส่วนของปีกคือสิ่งที่งอกขยายออกมาอย่างผิดธรรมชาติ กระดูกใต้ผิวหนังขยับกึกกักเพื่อปรับตำแหน่งให้สอดรับกับระยางค์ชิ้นใหม่


"โอ... ว้าว ยอดไปเลย" ควินซงึมงำ มันถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อสเตนเชอร์ลุกขึ้นยืนและขยับชิ้นส่วนใหม่ของร่างกาย "เป็นไงบ้างอ่ะ?" มันซักต่อเมื่อเห็นสหายผีทดลองกระพือปีกสองสามครั้ง


"สุดยอด คอยดูนะ!"


สเตนเชอร์ยืดปีกหนังสีดำขึ้นไปจรดกันเหนือหัวแล้วตีพับลงอย่างรวดเร็ว ร่างของมันค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นอย่างทุลักทุเล ท่อนขาผอมกะหร่องห้อยต่องแต่งกวัดไกวไปมาเหมือนพยายามใช้มันเป็นเครื่องบังคับทิศทาง มันบินสูงขึ้น สูงขึ้น พลางส่งเสียงหัวเราะร่าเหมือนผีสติแตก


"ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ สเตนเชอร์" ควินซตะโกน "เจ้าสาบานแล้วว่าจะช่วยข้าจับค้างคาวอีกตัว"


"ช่างหัวเจ้าสิ ไอ้ขนลูกแมว ข้าได้ปีกของข้าแล้ว เจ้าก็ไปหาปีกของเจ้าเองแล้วกัน ข้าจะได้ไปเที่ยวโลกอีกฟากแล้วโว้ย! ไปพร้อมกับความมัน การผจญภัย ฆาตรกรรมและความวุ่นวาย!"


"แต่เจ้าสาบานแล้ว!" ควินซครวญในขณะที่แหงนคอตั้งบ่าเพื่อมองตามสเตนเชอร์ที่ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นไปทุกที เจ้าผียังไม่ชินกับปีกใหม่ และท่าทางการบินของมันยังคงเก้งก้างไร้การควบคุม


"หุบปากไปเลย!" สเตนเชอร์ตะโกนตอบลงมาในขณะที่ใช้มือปลดสายรัดกางเกงแล้วควักอวัยวะที่มันอ้างว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายออกมา มันขยับเพื่อเล็งเป้าหมายก่อนปล่อยปัสสาวะลงมาจากเบื้องบนเหมือนละอองฝนพร่างพรม ควินซได้แต่วิ่งวุ่นหาร่มไม้หลบสายน้ำ ในขณะที่สเตนเชอร์หัวเราะงอหายจนแทบไม่มีแรงขยับปีก


เมื่อสายฝนสีน้ำตาลเหม็นโฉ่หยุดโปรยปราย ควินซก็เยี่ยมหน้าออกมาจากพุ่มใบแบล็กเบอร์รี่ มันเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนก่อนร้องออกมาด้วยความตระหนกสุดขีด "สเตนเชอร์ ระวังข้างหลัง!"


ผีโบกี้ก้มลงมองพื้นในขณะที่สองมือกำลังจัดกางเกงให้เข้าที่ "อ๋อเหรอ! คิดเรอะว่าข้าจะหลงกล..."


กรงเล็บคมกริบของนกเค้าแมวสีน้ำตาลแทงผ่านร่างของมันในทันที เจ้าผีมีเวลากรีดร้องด้วยความตกใจเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จงอยปากงุ้มแหลมจะงับลงแล้วบิดส่วนหัวให้หลุดออกจากลำตัว


นกเค้าแมวสำลักกระอักกระไออย่างรุนแรง มันบ้วนส่วนหัวนั้นทิ้ง ส่ายหน้าให้กับรสชาติอันห่วยแตกในขณะที่มันขยับกรงเล็บเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยร่างไร้ชีวิตของผีโบกี้ออกแล้วบินจากไปเพื่อหาเหยื่อรายใหม่ที่อร่อยกว่า ร่างของสเตนเชอร์หมุนคว้างกลางอากาศอย่างเงียบกริบเหมือนเมล็ดต้นยางยักษ์ที่ร่อนตกสู่พื้นด้านล่าง ลงมากองอยู่แทบเท้าควินซในลักษณะของเศษซากชุ่มเลือด


ผีโบกี้ที่เหลืออยู่ได้แต่ยืนตะลึงอยู่พักใหญ่ มันมองร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายแล้วเงยขึ้นไปมองโค้งฟ้า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งซึ่งดูไม่เหมือนการถอนใจด้วยความโศกเศร้าสักนิด มันใช้มือทั้งสองกำปีกข้างหนึ่งไว้แน่น ใช้เท้ายันไว้กับรักแร้ของร่างสเตนเชอร์ แล้วดึงเต็มแรง


หากโชคยังมี น่าจะเหลือผงวิเศษเพียงพอ







******************************




ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)




******************************




หมายเหตุ :


* นกไนท์จาร์ (Nightjar) เป็นนกที่ออกหากินตอนกลางคืนชนิดหนึ่งที่พบได้บนเกาะอังกฤษค่ะ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่ามีชื่อภาษาไทยไหม? ลองไปดูภาพกันได้นะคะ

-->Nightjar

ที่เว็บไซต์นี้มีรายละเอียดของเจ้านกชนิดนี้ให้อ่านด้วยล่ะค่ะ


** ปีศาจฮาร์ปี (Harpy) เป็นสัตว์ประหลาดในตำนาน Greco-Roman ที่มีส่วนศีรษะและหน้าอกเป็นหญิงสาว แต่มีส่วนล่างของร่างกายเหมือนนก มีปีกและกรงเล็บแหลมคม หน้าตาน่าเกลียดมากค่ะ ท่านใดต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็คลิ้กไปตามลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ

---> Harpy






Create Date : 10 กรกฎาคม 2548
Last Update : 10 กรกฎาคม 2548 19:35:04 น. 0 comments
Counter : 429 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.