...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
27 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
[19] Running in the darkness : วิ่งวนในความมืด




...


"รับของหวานด้วยไหมครับ?"


"โอ้ ให้ตาย ไม่ไหวแล้วค่ะ ฉันอิ่มจนจุกแล้ว" แน็ตตี้ครางอ๋อยพลางทิ้งตัวลงนั่งพิงเบาะ แอลไลพาเธอมาที่ร้านอาหารชื่อหิมาลายันคาเฟ่ที่ตั้งอยู่แถวนิวฟาร์มซึ่งชายหนุ่มคิดว่าทำอาหารรสเด็ดเผ็ดร้อนได้อร่อยลิ้นที่สุดในออสเตรเลีย ที่นั่งด้านหน้าร้านถูกจับจองเต็มหมดแล้ว ทั้งคู่จึงต้องเข้ามานั่งด้านในที่เป็นห้องแคบ ๆ ติดไฟสลัว และต้องลงนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีตั่งเตี้ยตั้งกั้นกลาง


สองหนุ่มสาวสั่งอาหารจานเล็กมาสามอย่างแล้วแบ่งกันทาน แกล้มกับไวน์แดงที่แอลไลแวะซื้อจากร้านขายเครื่องดื่มจนหมดไปเกือบสองขวดแล้ว แถมด้วยเบียร์เมอร์ฟี'ส ไอริส สเต้าท์อีกสองกระป๋องใหญ่ ๆ ที่แน็ตตี้ยืนยันหนักแน่นว่าให้ซื้อมาด้วย


ในขณะที่จิตรกรสาวนั่งเอนหลังพักผ่อนอย่างสบายใจ แอลไลกลับเป็นฝ่ายส่งเสียงครางพลางขยับแข้งขาอยู่ใต้ตั่ง


"ผมชอบร้านนี้นะ ชอบจนลืมว่าคนตัวสูงอย่างผมลงนั่งแบบนี้มันลำบาก -ธรรมดาผมจะเลือกนั่งหน้าร้านมากกว่า"


แน็ตตี้หัวเราะกิ๊ก เธอยืดขาออกสุดความยาวแล้วขยับนิ้วเท้าใส่เขา


"ตามสบายเลยคร้าบคุณผู้หญิงตัวสั้น อย่าเอามันแหย่เข้ามาก็แล้วกัน"


แอลไลเติมเครื่องดื่มลงในแก้วทั้งสองใบแล้วเอี้ยวตัวไปจัดหมอนอิงใหม่เผื่อว่าจะทำให้เขานั่งสบายขึ้นสักหน่อย "เอาล่ะ คุณลองเล่าให้ผมฟังสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ?" เขาถามเรียบ ๆ หลังจากหาตำแหน่งอิงหลังได้แล้ว "เริ่มตั้งแต่แรกสุดเท่าที่คุณพอจะจำได้เลยนะฮะ"


แน็ตตี้ยกแก้วของตัวเองขึ้นจิบก่อนจะตอบคำถามนั้น หญิงสาวถอนหายใจยาว ประสานมือสองข้างไว้บนตักแล้วเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวของฝันร้ายอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้


เขาเป็นนักฟังที่ยอดเยี่ยม ทำให้คนเล่าเองรู้สึกว่าเธอระลึกถึงรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ ได้มากกว่าตอนที่เล่าให้กวินโดลีนฟังเมื่อตอนเช้าเสียอีก


สำหรับตัวของแอลไลเองนั้น เขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พกเครื่องบันทึกเทปขนาดเล็กติดตัวมาด้วย ไม่งั้นเขาคงขอบันทึกเสียงของเธอไว้เพื่อฟังซ้ำอีกทีตอนที่มีสมาธิมากกว่านี้ แม้ว่าสิ่งที่แน็ตตี้จำได้จากความฝันทั้งหลายยังกระจัดกระจาย แต่เขากลับมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่ามันต้องมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเธอจริง ๆ ตัวชายหนุ่มเองก็พอจะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วแต่เขาต้องการเวลาไปค้นคว้าเพิ่มเติม


"ขอผมดูแผลหน่อยได้ไหมครับ?" เขาถามขึ้นเมื่อแน็ตตี้เล่าถึงรอยช้ำ


จิตรกรสาวยืดตัวเข้าไปหา ใช้มือข้างหนึ่งปัดปอยผมออกไปในขณะที่ใช้มืออีกข้างยันโต๊ะไว้เพื่อทรงตัว "ฉันโปะเครื่องสำอางทับไว้ แต่คุณน่าจะยังพอมองเห็น"


แอลไลโน้มตัวเข้ามาใกล้จนใบหน้าของเขาห่างจากเธอเพียงไม่กี่นิ้ว หญิงสาวเฝ้าสังเกตดวงตาของเขาที่กวาดมองแผลและรู้สึกขัดเขินจากการถูกพินิจพิจารณาอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ เธอได้กลิ่นสะอาดจากเส้นผมของเขาผสมผสานไปกับกลิ่นไม้หอมจากโลชั่นโกนหนวด จิตรกรสาวกระพริบเปลือกตาช้า ๆ และพบว่าชายหนุ่มเองก็กำลังมองสบตาเธออยู่เช่นกัน เธอไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าแก้วตาของเขาเป็นสีเขียวสดใสขนาดนี้


แน็ตตี้สบตาเขาแน่วนิ่งจนเขาเองต้องเป็นฝ่ายหลบตา ใบหน้าแดงก่ำ


หญิงสาวอมยิ้ม เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เดินทางมาแล้วรอบโลก ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายที่สำหรับเธอแล้วเป็นได้แค่ความฝัน แถมยังผ่านการศึกษาระดับสูงมาแล้วหลายปี แต่เขาก็ยังมีความอ่อนต่อโลกแฝงอยู่ในตัว ราวกับว่าเขามองโลกใบนี้ด้วยหัวใจอันเป็นอิสระปราศจากความกังวลพื้นฐานที่มนุษย์ทั่วไปควรจะมี


ทั้งคู่เหมือนจะได้สติขึ้นมาพร้อมกัน


แน็ตตี้ผลักความคิดฟุ้งซ่านในสมองออกไปอย่างฉุนเฉียว ในขณะที่แอลไลเอนหลังกลับไปพิงเบาะตามเดิม


"คือ..." เขาเอ่ยขึ้นคล้ายกำลังรำพึงอยู่กับตัวเอง "มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่-"


แน็ตตี้บังคับตัวเองให้ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบพลางส่ายศีรษะให้กับโชคชะตาที่กำลังเล่นตลกร้ายกับเธอ ทำไมต้องให้เธอได้พบกับผู้ชายอย่างแอลไลทั้ง ๆ ที่เธอมีกำหนดต้องเดินทางกลับบ้านที่อยู่อีกฟากของโลกในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้าด้วยนะ? ชีวิตนี้ช่างอยุติธรรมจริง ๆ


และแล้วเธอก็รู้ตัวว่าเธอไม่ได้ฟังสิ่งที่คู่สนทนาพูดออกมา "ขอโทษค่ะ ใจลอยไปหน่อย คุณว่าอะไรนะคะ?"


แอลไลยิ้ม "ผมบอกว่าแผลนั่นช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ถึงผมจะเชื่อว่าคุณไม่ได้เป็นคนทำ แต่เราก็ยังไม่สามารถตัดประเด็นที่ว่าคุณอาจจะเผลอเอาหัวไปโขกกับอะไรสักอย่างตอนที่คุณหลับสนิทออกไปได้"


แน็ตตี้กระพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เชื่อหู "อะไรนะคะ นี่คุณเชื่อเรื่องที่ฉันเล่ามางั้นเหรอ?"


"ทำไมละฮะ? ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่าผมเป็นคนเปิดกว้างด้านความคิดมากกว่าคนอื่น"


แน็ตตี้ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นแล้วกอดไว้แนบอก "งั้น คุณคิดว่ามันเกิดจากอะไรคะ?"


"อันนี้พูดยาก" แอลไลตอบพลางยกมือขึ้นเกาสันคราม "ผมคิดว่าตัวการน่าจะเป็นคนเพียงคนเดียว และไม่ว่าเขาต้องการอะไรจากคุณ เขายังเอามันไปไม่ได้"


"งั้นเขา... เขาก็ไม่ได้ต้องการแค่... ร่วมรักกับฉัน งั้นหรือคะ?" แน็ตตี้ถามอย่างกระอักกระอ่วน


แอลไลส่ายหน้า "ถ้าแค่การมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายหรือตัวอะไรสักอย่างนั่นคงจัดการคุณไปตั้งแต่ความฝันครั้งแรกแล้วครับ และจากนั้นก็น่าจะจากไปหาที่หมายใหม่ ในตำนานของชาวอัฟริกามีเรื่องแบบนี้อยู่ ในความเชื่อของชาวเคลท์ก็มีปีศาจผู้ชายที่เข้าไปในความฝันของหญิงสาวเหมือนกัน ไม่หรอกครับ สหายในฝันของเราคนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ถ้าหากว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเกมการไล่ล่าเหยื่อ ก็ดูเหมือนว่ามีปัจจัยอะไรบางอย่างที่หยุดผู้ชายคนนั้นไว้ไม่ให้เขาได้สิ่งที่เขาต้องการไป"


แน็ตตี้ขมวดคิ้ว "แล้วอีตานั่นต้องการอะไรกันละเนี่ย? ถ้าไม่ใช่เซ็กส์"


แอลไลสูดลมหายใจเข้าลึก "ผมก็ไม่รู้ หวังอยู่อย่างเดียวว่าคงไม่ใช่วิญญาณของคุณ"


...


"คุณจอดรถไว้ที่นี่แล้วค่อยกลับตอนเช้าดีกว่าครับ ผมว่าคุณจะดื่มเกินกว่ากฎหมายกำหนดแล้ว"


แน็ตตี้เอนตัวพิงเสาไฟถนนพลางยกมือขึ้นกอดอก "ถ้างั้นจะให้ฉันกลับบ้านยังไงละคะ? แท็กซี่คงไม่ไปส่งถึงบนเขากลอเรียสหรอกมั้ง"


แอลไลยิ้ม "อ๋อ ถ้าคุณเรียกเขาก็ไปครับ แต่คุณคงต้องขายไตหาตังค์จ่ายค่าโดยสารแน่"


แน็ตตี้หัวเราะก่อนจะหรี่ตามองคู่สนทนา "แล้วฉันจะเชื่อใจคุณได้หรือคะ? คุณแอลไล กัลโลเวย์"


แอลไลตอบด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง "วางใจได้ครับ นาตาชา ผมสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินคุณแน่นอน"


จิตรกรสาวยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาควงแขนเขา "รู้ไหมคะ" เธอเอ่ยขึ้นในขณะที่ทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามทางเดินที่นำไปสู่ห้องพักของชายหนุ่ม "คุณคือเพื่อนคนเดียวที่ยังเรียกฉันว่านาตาชา"


แอลไลประคองเธอขึ้นบันได "คุณอยากให้ผมเรียกว่าแน็ตตี้หรือเปล่าละครับ?"


เธอส่ายหน้าเร็วจนเรือนผมกระจายคล้ายมีชีวิต "ไม่ดีกว่า เวลาคุณเรียกฉันแบบนี้ฟังดูดีจะตาย"


...


"นี่ครับ" แอลไลเอ่ยขึ้นพลางโยนเสื้อยืดไปให้จิตรกรสาว "น่าจะตัวใหญ่พอนะ"


แน็ตตี้คว้าเสื้อไว้แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ เธอรู้สึกว่าโลกหมุนไปหมด แม้จะยังไม่เมาแอ๋เท่ากับตอนกินเลี้ยงเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่ก็มากพอที่ทำให้หัวเธอโล่งว่างและเดินตุปัดตุเป๋ หญิงสาวได้ยินเสียงแอลไลคุ้ยของกุกกักอยู่ในห้องนอนเพื่อหากางเกงขาสั้นที่จะให้เธอยืมสวมนอนได้ และในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเองที่เธอคิดบ้าระห่ำขึ้นมาว่าจะบุกเข้าไปในห้อง จับเขาเหวี่ยงลงไปบนที่นอนแล้วจัดการรวบหัวรวบหางให้สิ้นเรื่องไป


ความคิดนั้นเบิกบานอยู่ในสมองตอนที่ชายหนุ่มส่งเสียงเรียก "คุณจะโทรบอกคุณกวินโดลีนก่อนไหมว่าคืนนี้จะไม่กลับบ้าน?"


แน็ตตี้ถอนหายใจก่อนพยักหน้าให้ตัวเองแล้วถามกลับไปว่า "โทรศัพท์อยู่ไหนคะ?"


"มันเป็นมือถือครับ เอ่อ น่าจะอยู่ในครัวข้าง ๆ กุญแจผม"


แน็ตตี้ยืนขึ้น เสียเวลาคุ้ยกระเป๋าหาเบอร์โทรศัพท์อยู่หลายนาที จากนั้นก็จัดการโทรไปรายงานกวินโดลีนตามระเบียบ ทว่าไม่มีใครรับสายเลยต้องฝากข้อความด้วยเสียงอ้อแอ้ไว้กับเครื่องตอบรับอัตโนมัติแทน เธอแน่ใจว่ากวินโดลีนน่าจะฟังออก


"นี่ไง ผมว่าผมมีกางเกงว่ายน้ำอยู่" แอลไลเปรยขึ้นเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องนอน "ที่จริงผมไม่ค่อยชอบเล่นน้ำทะเลหรอกนะฮะ นาน ๆ ถึงจะไปที" เขาเล่าพลางยิ้มกว้าง


"ขอบคุณค่ะ แอลไล"


"แน่ใจนะว่าคุณไม่อยากนอนเตียง?" แอลไลถาม "ผมเคยนอนมาทุกที่แล้วครับ บางทีไม่มีฟูกปูนอนด้วยซ้ำ"


แน็ตตี้ส่ายหน้าแล้วแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากของเขา "หยุดพูดสักทีได้ไหมคะ? ฉันนอนได้จริง ๆ" เธอกดนิ้วค้างไว้เช่นนั้นในระหว่างที่ประสานสายตากับเขา ก่อนที่จะยืดตัวขึ้น เคลื่อนนิ้วออกแล้วประกบริมฝีปากลงไปแทน


ความหวามไหวปะทุขึ้นมาราวเชื้อไฟที่ถูกเร่งปฏิกิริยาด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย เมื่อจิตรกรสาวรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มตอบสนองต่อการรุกเร้า เธอก็ดุนปลายลิ้นแทรกเข้าไปในกระพุ้งแก้มของเขา มือสองข้างของชายหนุ่มกำหัวไหล่เธอไว้แน่น และในขณะที่เธอสอดมือเข้าไปกอดเอวของเขา เธอก็ได้ยินเสียงเขาครางออกมาเบา ๆ


แอลไลเป็นฝ่ายยุติการจูบนั้นด้วยการผลักร่างของเธอออกห่างอย่างนุ่มนวลแม้จะไม่เต็มใจนัก ดวงตาของนาตาชาเบิกกว้าง ลมหายใจกระชั้น "ทำไมคะ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกระด้าง


แอลไลไม่ได้ให้คำตอบกลับในทันทีในขณะที่หญิงสาวเองก็รู้สึกเหมือนถูกก้อนหินกลิ้งผ่านทับร่างของเธอไปอีกครั้ง เขายังคงวางมือไว้บนบ่าของเธอ เสียงของเขาสั่นไหว "ผม... ผมทำไม่ได้ นาตาชา"


"ทำไม?"


"เพราะว่าคุณเมา และผมก็ให้สัญญาไปแล้วว่าจะไม่ฉวยโอกาสล่วงเกินคุณ"


แน็ตตี้เงยหน้าขึ้นและหัวเราะเต็มเสียง "งั้นฉันอนุญาตให้คุณทำได้ตามใจปรารถนา เอาเลยสิคะคุณผู้ชายคนเก่ง"


แอลไลยิ้มแหย "อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ต้องการคุณ-"


"งั้นก็เริ่มเลยสิ!"


ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วก้าวถอยไปจากเธอ มือของเขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ชั่วครู่ "มันไม่เหมาะหรอกนะครับ" เขาพูดเรียบ ๆ


นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นาตาชาถึงกับพูดไม่ออก เพราะความเบลอจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เธอตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะหัวเราะเยาะใส่หน้าเขาดี หรือควรจะโผเข้าไปกอดพร้อมขอบคุณเขาที่ไม่ทำตัวเหมือน... เอ้อ... เหมือนกับผู้ชายทั่ว ๆ ไปที่เธอเคยรู้จักมา หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกช้า ๆ


"ก็ได้ค่ะ งั้นก็... ราตรีสวัสดิ์" เธอพูดเสียงเบา ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


ชายหนุ่มโน้มตัวลงแล้วจูบเธอที่แก้ม เธอกอดเขาไว้อย่างนั้นชั่วครู่ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู "แต่ถ้าคุณจะเปลี่ยนใจ..."


เขาผละถอยหลังไปพลางส่ายหน้า "คุณนี่ตื้อเก่งจริง ผมหวังว่าพรุ่งนี้เช้าคุณจะยังจำเรื่องนี้ได้นะ"


แน็ตตี้ก้มลงหยิบเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นที่เจ้าของห้องให้ยืมขึ้นมา "ล้อเล่นหรือเปล่าคะ?" เธอยั่วด้วยรอยยิ้มแสนกล "ฉันเฝ้าหาโอกาสปล้ำคุณมาทั้งวันแล้ว จู่ ๆ จะให้ลืมง่าย ๆ งั้นเหรอ"


แอลไลหน้าแดงเถือกขึ้นมาทันที "ราตรีสวัสดิ์ครับนาตาชา" เขาพูดพลางก้าวถอยหลังเพื่อเข้าห้องนอนตัวเองแล้วปิดประตู


เมื่อหลุดออกมาได้แล้ว แอลไลก็พยายามบังคับลมหายใจที่ยังกระเส่าสั่นของตัวเองพร้อมตบฝ่ามือลงบนแก้ม จากนั้นก็ทรุดตัวลงไปนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น "ไอ้ไก่อ่อนเอ้ย" เขาพร่ำบนกับตัวเองในขณะที่โยกตัวไปมา


...


สเกลเกรนหักห้ามใจตัวเองต่อไปไม่ไหวแล้ว


ความรู้สึกของมันยามนี้เหมือนผีโบกี้ที่เพิ่งจะเคยจับลูกแมวได้เป็นครั้งแรกและกระหายใคร่อยากจะแหวะร่างเล็กนั้นออกดูว่าอวัยวะแต่ละส่วนมันทำงานอย่างไร


มันนั่งหลบอยู่ในเงามืดของต้นมะฮอกกานีต้นใหญ่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ มันเลือกนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่ปูดโปนจนดูไม่น่าจะนั่งสบายก้น หันหลังพิงกับลำต้นใหญ่แล้วล้วงมือลงไปควานในกางเกงชั้นในจนเจอก้อนคริสตัล มันควักออกมาแล้วเช็ดพวกคราบเมือกลื่น ๆ ที่ติดอยู่บนผิวแก้วกับกางเกงก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้แล้วทอดสายตาสำรวจของในมือ แม้แต่สายฝนที่ตกกระหน่ำจะไม่อาจทำให้พื้นผิวอันระยิบระยับของก้อนคริสตัลหม่นแสงลงไปได้เลยแม้แต่น้อย สเกลเกรนพลิกก้อนแก้วในมือไปมาด้วยรู้สึกคลื่นไส้กับความวิจิตรงดงามของมัน


ถึงตอนนี้คงต้องขอพูดสักหน่อยว่าในบรรดาภูตดำทั้งหลายนั้น สเกลเกรนเป็นภูตที่มีสิตปัญญาเฉียบคมมากที่สุดตนหนึ่งเลยทีเดียว พวกภูตดำทุกตัวต่างมีความฉลาดแกมโกง(ในระดับหนึ่ง)อยู่แล้ว แต่มีปัญญาด้วยหรือเปล่า? ไม่เสมอไปหรอก สเกลเกรนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์(แต่ไม่ค่อยได้งัดออกมาใช้บ่อยนัก) ดังนั้นมันเลยพอจะรู้มาบ้างว่าคริสตัลสอดแนมชิ้นนี้ทำงานอย่างไร


หน้าผากของปีศาจกิ้งก่ายับย่นจนดูเหมือนถุงหุ้มอัณฑะของยักษ์โทรลล์แก่ ๆ ในขณะที่มันเพ่งสมาธิแน่วแน่ไปยังผีบอกเกิ้ลตนหนึ่งในคณะที่ซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำ


ในช่วงระยะหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าทันใดนั้นก้อนคริสตัลในมือก็อุ่นวาบขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นจนคนถือตกใจจนแทบปล่อยหลุดมือ ที่จริงแล้วสเกลเกรนออกจะผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย ไม่เห็นมีหมอกควันม้วนตัวออกมา ไม่มีเสียงแปลก ๆ ไม่มีแม้กระทั่งกลิ่น ในนาทีถัดมามันก็มองเห็นสวนสวยอยู่ด้านล่างทอดยาวไปจนสุดสายตา นาทีต่อมามันกลับมายืนอยู่ในท่อระบายน้ำตรงหน้าผีบอกเกิ้ลตัวที่มันเลือกเป็นตัวทดลอง ปีศาจกิ้งก่ามองไปรอบด้านแต่ไม่เห็นใครอื่นอยู่แถวนั้น ในขณะที่ดวงตาของผีบอกเกิ้ลตัวน้อยเบิกโพลง และสเกลเกรนก็จับสังเกตแววแห่งความสับสนในดวงตานั้นได้


ทันใดนั้นปีศาจกิ้งก่าก็เข้าใจปรุโปร่ง -มันกำลังอยู่ในความฝันของผีบอกเกิ้ลนั่นเอง! มันไม่รู้ว่าตอนนี้มันกำลังอยู่ในร่างของอะไร แต่สเกลเกรนพยายามเพ่งสมาธิอีกครั้งและรู้สึกตื่นเต้นเหลือใจเมื่อเห็นว่าร่างของมันกลายเป็นเทวดาน่าสะพรึงกลัว พรั่งพร้อมไปด้วยปีกนกสีขาวสะอาด พิณหน้าตาปัญญาอ่อน แถมด้วยวงแหวนเรืองรองเหนือศีรษะ


ผีบอกเกิ้ลผู้น่าสงสารพยายามตะกายผนังอีกฟากของท่อระบายน้ำเพื่อหาทางหนีเอาตัวรอดจากภาพฝันอันน่าสยดสยองของตน แต่แล้วสภาพรอบด้านกลับรางเลือน จากนั้นเทวดากับผีบอกเกิ้ลก็มาอยู่กลางราชวังหินอ่อนอันตระการตา ล้อมรอบไปด้วยก้อนเมฆฟูฟ่องชวนขนหัวลุก แถมมีทารกผิวสีชมพูผุดผาดถือคันธนูและลูกศรยืนร้องเพลงประสานเสียงกันอยู่


ผีบอกเกิ้ลกรีดร้องโหยหวน


สเกลเกรนถ่วงเวลาต่อไปอีกสักพักด้วยการขับขานเสียงเพลงไพเราะคลอไปกับการดีดพิณอย่างหนักหน่วง จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปแล้วจึงถอนตัวกลับออกมาที่ต้นไม้ พร้อมแหกปากหัวร่องอหายจนหยาดน้ำตาสีดำหลั่งรินลงมาอาบสองแก้ม


จนเมื่อเจ้าปีศาจกิ้งก่าควบคุมสติอารมณ์ได้แล้ว ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง มันก้มลงมาก้อนคริสตัลพลางชั่งใจว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่จะเสี่ยง สวนรอบด้านสงัดเงียบ มีเพียงเสียงฝนที่ตกกระทบใบไม้ที่คลุมอยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไป มันประคองก้อนคริสตัลไว้ในมือทั้งสองข้างพลางระลึกถึงภาพของจิตรกรสาวชาวมนุษย์ผู้นั้น "ขอแค่แป๊บเดียวน่า" มันบอกตัวเอง


หนนี้มันใช้เวลานานกว่าครั้งก่อน อาจเป็นเพราะภาพของมนุษย์นางนั้นที่มันจำได้มีแต่ภาพจากมุมไกล หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะนางเป็นมนุษย์ สมองของนางจึงเต็มไปด้วยขยะแบบมนุษย์ มนุษย์


แต่ในที่สุดก้อนแก้วก็อุ่นวาบขึ้นอีกครั้ง และหนนี้เจ้าปีศาจก็เตรียมพร้อมสำหรับการกลายร่าง มันวาดภาพไว้เรียบร้อยแล้วว่ามันอยากให้นางไปอยู่ที่ไหน มันเป็นความใฝ่ฝันอันสนุกสนานที่เจ้าปีศาจสร้างขึ้นในสมองอย่างลับ ๆ ในเวลาที่นั่งมองสตรีนางนั้นใช้เวทมนตร์ในการทำงานจากบนต้นไม้หรือจากหลังคามาตลอด


ผนังของคุกใต้ดินนั้นดำทะมึน คราบตะไคร่น้ำสีเขียวคล้ำขึ้นอยู่เป็นปื้นสลับกับลายทางของน้ำเลือดสีแดงสดที่หยาดไหลลงมาทุกหนแห่ง ในอากาศอวลไปด้วยกลิ่นกายที่ฉุนเฉียว กลิ่นของความตาย ความเจ็บปวดทรมานและร่างอันเน่าเปื่อย อุปกรณ์ทรมานวางกระจัดกระจายไปทั่ว เตาไฟลุกโชนด้วยถ่านคุแดงและเต็มไปด้วยเหล็กเขี่ยไฟที่ร้อนยิ่งกว่า ตู้เก่า ๆ บรรจุมีดทรงประหลาดน่าสยดสยอง หอกอีกหลายด้าม ตะขอเกี่ยวเนื้อ โซ่ตรวน รวมถึงอุปกรณ์หายากจากทวีปยุโรปอย่างพวกรองเท้าบดกระดูก ก้อนหินยัดทวาร โลงศพที่เต็มไปด้วยใบหอก เครื่องบีบนิ้ว มีแม้กระทั่งแท่นยืดร่าง!


สเกลเกรนใช้เวลาพักใหญ่ในการยืนมองแท่นยืดร่างอย่างละห้อยหา สงสัยมาตลอดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากจับมนุษย์มายืดแขนยืดขาออกจนถึงระดับสูงสุด แล้วลากใบมีดคมกริบไปตามความยาวช่องท้อง ร่างนั้นมันจะปริแตกออกจากกันเหมือนถุงเลือดที่ระเบิดออกหรือเปล่าหนอ?


เจ้าปีศาจคิดเลยเถิดไปถึงกระทั่งว่าคืนนี้มันจะมีเวลาพอให้พิสูจน์ข้อสงสัยอันนี้หรือเปล่า


ในเวลานี้ร่างของสเกลเกรนมีขนาดเกือบเท่ากับร่างของมนุษย์ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมหนาหนักสีตะกั่วเดือด ส่วนที่ควรจะเป็นใบหน้าถูกแทนที่ด้วยหน้ากากที่ทำจากกระดูกกระโหลกวัวที่ถูกกรดกัดจนขาวโพลน ดวงตาภายในเบ้าลึกโหลนั้นแวววาวอย่างหิวกระหาย


จิตรกรสาวถูกล่ามโซ่ตรึงไว้กับผนังอีกฟาก แขนสองข้างถูกยกรั้งไว้เหนือศีรษะจนเหลือเพียงปลายนิ้วเท้าของนางเท่านั้นที่แตะกับพื้นที่ปูไว้ด้วยฟาง ผมโสโครกรุงรังของนางสยายลงมาปรกใบหน้า มีแผ่นหนังรัดอยู่รอบหน้าผากรั้งศีรษะของนางไว้แน่นจนเคลื่อนไหวไม่ได้ เครื่องแต่งกายของนางเป็นเพียงเสื้อนักโทษที่ทอจากปอกระเจา โชกไปด้วยน้ำเลือด (อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เลือดของนาง!) และเรียวขาขาวเนียนก็เปรอะไปด้วยโคลนและคราบโลหิต


สเกลเกรนใช้เวลาช่วงหนึ่งในการเฝ้ามองภาพนั้นอย่างเบิกบาน จากนั้นก็หยิบมีดแล่เนื้อบางเฉียบขึ้นมา แล้วก้าวเดินตรงเข้าไปหานาง


จากรอยแยกของก้อนผมที่ยุ่งเหยิงนั้น เจ้าปีศาจมองเห็นดวงตาของนางที่เบิกโพลงขึ้นมาด้วยความหวาดผวา ริมฝีปากของนางขยับขมุบขมิบ แต่เสียงลมหายใจของมันเองที่สะท้อนอยู่ภายในหน้ากากดังสนั่นจนมันไม่ได้ยินว่านางกำลังพล่ามอะไรอยู่


ปีศาจกิ้งก่ายกใบมีดขึ้น พลิกให้แสงจากคบไฟที่แตกเปรียะเคลือบไล้ไปตามขอบคมที่หิวกระหาย จิตรกรสาวเริ่มกระชากสายโซ่อย่างรุนแรง ศีรษะของนางที่ถูกตรึงให้มองตรงมายังเจ้าปีศาจตลอดเวลานั้นยิ่งทำให้มันยิ่งรู้สึกหฤหรรษ์มากขึ้น มันเดินไปหยุดตรงหน้านาง กลืนกินความหวาดกลัวของนางราวกับเป็นหยาดน้ำทิพย์อันหอมหวาน


นางมนุษย์หยุดดิ้นรนแล้วทิ้งกายลงอย่างอ่อนแรง ทรวงอกของนางกระแทกขึ้นลงระรัวเร็วในขณะที่นางพยายามสูดอากาศเข้าปอด ริมฝีปากของนางยังคงขยับขึ้นลง และในขณะที่เจ้าปีศาจใช้ปลายมีดเขี่ยผมของนางไปด้านหลัง มันก็ได้ยินนางพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า "นี่คือความฝัน คือความฝัน คือความฝัน..."


สเกลเกรนแสยะยิ้มอยู่ใต้หน้ากาก จากนั้นก็ค่อย ๆ บรรจงทาบคมมีดลงกับเปลือกตาล่างของนางแล้วกดลงอย่างนุ่มนวล โอ นุ่มนวลอย่างที่สุด จนโลหิตหยดกระจิดริดผุดพ้นขึ้นมา


จิตรกรสาวกรีดร้องสุดเสียง


"สเกลเกรน!"


เสียงแหลมก้องราวเสียงสายฟ้าฟาดกระชากสเกลเกรนออกจากจินตนาการแสนหวานของมัน


เจ้าปีศาจสะดุ้งสุดตัว ลืมตาโพลงขึ้นในบัดดล มันเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงอยู่บนกิ่งไม้และเกือบจะปล่อยคริสตัลหลุดจากมือ


นางแม่มดยืนอยู่บนกิ่งไม้ตรงหน้า ดวงตาของนางขุ่นขาวอย่างน่ากลัวราวธารน้ำแข็งแห่งอัลไพน์ "เจ้าทำบ้าอะไรอยู่?" นางเค้นถามพลางกระโจนจากกิ่งไม้ของนางมาเกาะอยู่บนกิ่งเดียวกับปีศาจกิ้งก่าแล้วคว้าก้อนคริสตัลไปจากอุ้งมือสั่นระริก


"ข้าน้อยมิได้ทำอะไรทั้งสิ้นขอรับ นายหญิง" ปีศาจกิ้งก่าตอบตะกุกตะกัก


ทู'ลลอชสำรวจก้อนคริสตัลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่หย่อนมันลงไปเก็บไว้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเสื้อคลุมขนนกสีดำยาวกรุยกราย "บอกข้ามาเสียดี ๆ ว่าเจ้าไป ไหน มา?" นางคาดคั้น


"หมายความว่าอย่างไรขอรับ?" ปีศาจกิ้งก่าถามกลับพลางยกกรงเล็บขึ้น ในใจภาวนาขอให้มันแสดงท่าทางไร้เดียงดาได้สมจริงสมจัง


"อย่ามาทำไก๋ ข้านั่งมองเจ้าใช้คริสตัลมาตั้งนานแล้ว" ดวงตาของนางแม่มดลากลงไปมองเป้ากางเกงที่ตุงตึงของปีศาจกิ้งก่า "แกคงไม่ได้ไปอยู่กับนางมนุษย์คนนั้นใช่ไหม?"


สเกลเกรนส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย "เปล่าเลยขอรับ นายหญิงผู้ต่ำช้า ข้า... เอ้อ ข้าแค่กำลังแกล้งผีบอกเกิ้ลตัวนึงอยู่เท่านั้นเอง"


ทู'ลลอชหรี่ตามองลูกน้องตัวดีอย่างสงสัย ในขณะที่สเกลเกรนสวดภาวนาต่อจ้าวอสูรผู้ยิ่งใหญ่ว่าอย่าให้นางจับได้ไล่ทันว่าที่จริงแล้วมันกำลังทำอะไรอยู่


"ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่คิดสั้นด้วยการพูดปดกับข้านะ ปีศาจมอร์คของข้ากำลังหิว และข้ามั่นใจว่ามันคงดีใจไม่น้อยถ้าข้าโยนกิ้งก่าไปให้"


"ข้าน้อยมิกล้า" สเกลเกรนอ้อน "ท่านลองไปถามทัสเกอร์ดูก็ได้ขอรับ ข้าหยอกมันจนขี้หดตดหายไปแล้วด้วยภาพเทวดาในฝัน"


ทู'ลลอชกระพริบตาช้า ๆ เหมือนนกพลางเอียงคอมองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสายตาเย็นเยียบอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นจึงโผขึ้นสู่อากาศ "แล้วข้าจะลองถามดู" เสียงตอบอันเยือกเย็นนั้นตกมาถึงหูของสเกลเกรนตามหลังน้ำฝนอุ่น ๆ เม็ดอ้วนกลม







(มีต่อค่ะ)



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2548 17:33:50 น. 3 comments
Counter : 530 Pageviews.

 
(ต่อจากข้างบนค่ะ)


...


เสียงกรีดร้องปลุกชายหนุ่มให้สะดุ้งตื่น


แอลไลเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงบนเตียง สติที่ยังมึนงงจากความง่วงงุนตื่นตัวกลับมาในทันที เขาถลันลงจากเตียงแล้ววิ่งตัวเอียงเข้าไปในส่วนห้องโถง ยื่นมือออกไปตบสวิทช์ไฟอย่างแรงจนได้ยินเสียงกรอบพลาสติกแตกคามือ


แสงสว่างสีเหลืองจ้าขึ้นกลางห้องในทันที และสิ่งแรกที่สติของแอลไลสั่งให้ทำคือกวาดตามองหาผู้บุกรุก แต่ทั้งห้องกลับว่างเปล่าและไม่มีอะไรที่ดูผิดไปจากปกติ แน็ตตี้ลุกขึ้นนั่งอยู่บนฟูกแล้วแต่เบียดตัวชิดติดอยู่กับกำแพง ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ขาทั้งสองข้างขดงอขึ้นไปประชิดอก มือสองข้างกำผ้าห่มแน่น เรือนผมกระจุยกระจายยุ่งเหยิง เธอกำลังสะอื้นไห้อย่างไร้การควบคุม และดูท่าว่าจะยังมองไม่เห็นเขา


แอลไลเรียกชื่อของเธออย่างอ่อนโยน เขาเคลื่อนตัวเข้าไปหาฟูกอย่างช้า ๆ พร้อมยื่นมือออกไปหาตัวหญิงสาว


"นาตาชาครับ แน็ตตี้ นี่ผมเอง แอลไล จำได้ไหม?"


เธอไม่ตอบอะไรและยังคงนั่งตัวสั่นงันงกอยู่เช่นเดิม


แอลไลคุกเข่าลงบนฟูกแล้วเอื้อมมือออกไปแตะต้นแขนของเธอ จิตรกรสาวกรีดร้องออกมาทันทีพร้อมเบี่ยงตัวหลบราวกับว่าสัมผัสของเขาเผาผลาญผิวของเธอ แอลไลเรียกชื่อเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม และเมื่อเขาแตะตัวเธออีกครั้งเธอก็ไม่กระเถิบหนี


"นาตาชา ไม่มีอะไรแล้ว คุณปลอดภัยแล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นเข้ามาทำร้ายคุณถึงที่นี่"


"แอลไล?" เธอเรียกชื่อเขาเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นจึงค่อย ๆ หันมาสบตา รูม่านตาของเธอเปิดกว้างทั้ง ๆ ที่แสงไฟในห้องส่องสว่าง ลมหายใจขาดเป็นห้วงและกระแทกรุนแรง ร่างของเธอยังคงสั่นระริก ชายหนุ่มอ้าแขนออกโอบเธอไว้แล้วรั้งเข้ามาแนบอกในขณะที่เธอเองก็ปล่อยมือจากผ้าห่มมารัดร่างเขาไว้แน่น ซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง แอลไลรู้สึกถึงหยดน้ำตาที่ไหลลงมาตามแผ่นอกของเขาที่เปล่าเปลือย เขาไล้เรือนผมของคนในอ้อมกอดแผ่วเบาพร้อมกระซิบคำปลอบประโลมที่ข้างหู ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำอะไรให้เธอดี และนั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย


ทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้นสองสามนาทีก่อนที่แน็ตตี้จะเป็นฝ่ายผละแยกออก เธอสูดจมูกแล้วพยายามกลั้นเสียงหัวเราะที่เกิดจากความขัดเขิน


ส่วนแอลไลเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อสังเกตเห็นรอยแผลเล็ก ๆ ใต้ดวงตาของจิตรกรสาว "เลือดคุณออกนี่นา" เขาว่าพลางยื่นมือไปดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะมาพับเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วซับลงไปบนแผลอย่างเบามือ เขาใช้มืออีกข้างเสยผมยาวที่เปียกชื้นของเธอไปด้านหลัง "คุณไปไหนมา?" เขาเอ่ยถามเสียงเบา


แน็ตตี้ส่ายหน้า ดวงตาของเธอยังคงกวาดมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง "ไม่รู้ค่ะ" เธอตอบ "โอ แอลไล มันน่ากลัวมาก... มีผู้ชายที่มีหัวเป็นกระโหลก-"


"อย่าเพิ่งเล่าเลยครับ ไว้เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้า"


"แล้วจะให้ฉันข่มตานอนได้ไง? ถ้ามันกลับมาอีกละคะ?"


แอลไลสั่นศีรษะ "มันไม่กลับมาแล้วครับ ผมจะไม่ยอมให้มันกลับมาทำร้ายคุณอีก"


"คุณจะทำอะไรได้? มันเป็นความฝันของฉันนะคะ"


"ผมมีคาถาบางบทที่น่าจะใช้ได้" ชายหนุ่มพูดพลางเคลื่อนตัวลงจากฟูก แน็ตตี้คว้าแขนเขาไว้แน่นจนเขาต้องปลอบ "เดี๋ยวผมจะกลับมาครับ ผมแค่จะไปหยิบของบางอย่างจากห้องทำงาน" แน็ตตี้พยักหน้าแล้วปล่อยเขาไป


ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมห่อของเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวค่อย ๆ แกะคลี่ออกอย่างเบามือ "ของพวกนี้บางชิ้นผมสั่งนำเข้ามาไม่ได้เลยต้องอาศัยหิ้วเข้ามาเองเวลาที่ผมเดินทางแต่ละครั้ง ซึ่งลำบากมาก" เขาอมยิ้ม "ดีนะที่ผมจำได้ว่าเก็บไว้ตรงไหน" แอลไลหยิบดอกไม้และใบไม้แห้ง ๆ ออกมา "เราต้องใช้อันนี้ครับ ใบโคลเวอร์สี่กลีบ" เขาพูดพลางชูของในมือให้หญิงสาวเห็น


"ให้ตาย งั้นฉันคงมีโชคดี ๆ รออยู่แล้วล่ะค่ะ"


"เรื่องนำโชคอะไรนั่นมันเหลวไหลทั้งเพครับ ที่จริงแล้วเราใช้มันเพื่อแก้เวทมนตร์ของชาวภูตต่างหาก" เขาหยิบซองใส่ธนบัตรใสที่บรรจุดอกไม้แห้งสีเหลืองไว้ขึ้นมา "อันนี้ก็เซนต์ จอห์น'ส วอร์ต มีฤทธิ์ต้านอำนาจของภูตแฟรี่ได้ดีที่สุด แล้วก็มีก้านจำลองของต้นโรวาน เอ..." เขามองเข้าไปในถุงแล้วถึงเอาก้านไม้ที่ประดับด้วยใบไม้แห้งและผลเบอร์รี่กลมสีแดงออกมา "อยู่นี่เอง อ๊ะ อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ผลหรือเปล่า แต่ก็..."


เขาคีบอะไรสักอย่างที่คล้ายกระดูกง่ามอกของนกออกมาด้วยท่าทีขยะแขยง "มันเป็นกระดูกอกของนกบุชเชอร์ออสเตรเลียครับ เป็นวิธีที่คนโรมันใช้ปัดเป่ามนตร์ดำ ตามธรรมเนียมโบราณแล้วต้องใช้กระดูกของนกยูโรเปี้ยนเจย์ แต่เราไม่มีนกชนิดนั้นที่นี่ ผมเลยเลือกนกบุชเชอร์เพราะเห็นว่าตระกูลใกล้เคียงกันมากที่สุดแล้ว"


คนเล่าพลางแขวนดอกไม้กับกระดูกไว้กับผนังเหนือศีรษะของจิตรกรสาว จากนั้นก็ขยี้ดอกไม้แห้งสองสามกลีบโปรยลงบนผ้าปูที่นอน ระหว่างนั้นเขาก็พึมพำคำพูดที่เธอฟังไม่ออกแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เสร็จแล้วจึงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างหญิงสาว "รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างฮะ?" เขาถาม


แน็ตตี้พยายามยิ้มแห้ง ๆ "รู้สึกโทรมเหมือนผีเลยค่ะ"


เขายิ้มตอบพลางแตะแก้มของเธอแผ่วเบา "เหมือนจริง ๆ ด้วย"


"ขอบคุณมาก แหม ฉันก็นึกว่าคุณจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสุดสุภาพได้ตลอดเวลาของเดทแรกของเราเสียอีก"


"โธ่ คุณไม่เคยได้ยินหรือครับว่าสุภาพบุรุษพวกนั้นน่ะตายไปหมดโลกแล้ว" เขามองเธออย่างอ่อนโยนก่อนถามต่อ "คุณอยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม?"


"ฉันไม่มีอารมณ์ปล้ำคุณตอนนี้หรอกนะคะ" หญิงสาวยังพอมีอารมณ์ขันเหลืออยู่บ้าง "แต่ก็ดีค่ะ อยู่เถอะ"


แอลไลลุกขึ้นเดินไปปิดไฟ ตอนที่เขารีบร้อนกระแทกสวิทช์เปิดไฟนั้นทำเอาที่ครอบสวิทช์ถึงกับแตก แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะตัวสวิทช์ไฟยังใช้การได้อยู่


เมื่อแสงไฟดับลง ก็เหลือเพียงแสงสลัวจากหน้าต่างทอผ่านเข้ามาในห้อง ผ้าม่านทอมือเนื้อบางสีขาวที่แอลไลแขวนไว้เรืองรองจากแสงสะท้อนจากพระจันทร์ค่อนดวง สายลมอุ่นลอดผ่านรอยแยกของม่านเข้ามาสู่อากาศที่นิ่งงันด้านใน


แอลไลหมุนตัวกลับ เมื่อสายตาของเขาปรับเข้ากับความมืดสลัวได้แล้วเขาก็เห็นว่าแน็ตตี้ล้มตัวลงนอนกับฟูก แสงจันทร์นวลเคลือบอยู่กับเรียวแขนและขาขาวละออ ส่วนใบหน้าของเธอถูกบดบังด้วยเงาจากเรือนผม


ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่องอ้อมฟูกไปล้มตัวลงนอนเคียงข้างหากไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว แน็ตตี้นอนตะแคงหันหลังให้เขา ในขณะที่ชายหนุ่มนอนหงายมองเพดาน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงขาสั้น และเขาเองก็คิดว่าที่จริงแล้วเขาน่าจะสวมเสื้อมาอีกสักตัว


ชายหนุ่มนอนฟังเสียงรถราที่ยังคงวิ่งผ่านถนนบรุนสสิคที่ไม่เคยหลับ นาน ๆ ทีจึงจะได้ยินเสียงจี๊ด ๆ ของค้างคาวที่บินมากินผลของต้นมัลเบอร์รี่ที่ปลูกอยู่หลังบ้าน เสียงลมหายใจของแน็ตตี้สม่ำเสมอแต่ตัวของเธอยังคงสั่นน้อย ๆ เขาจึงเอื้อมมือไปดึงเอาผ้าห่มเนื้อบางขึ้นมาห่มให้ แม้คืนนี้อากาศจะค่อนข้างอุ่น แต่สายลมที่พัดผ่านเข้ามาในห้องก็ยังพาเอาไอเย็นเข้ามาด้วย


"แอลไลคะ?" จิตรกรสาวถามเสียงเบา "ถ้าขอแค่กอดจะได้ไหม?"


ชายหนุ่มอมยิ้มในความมืด "น่าจะได้นะฮะ" เขาตอบพลางแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วโอบร่างของเธอไว้ เขาสอดแขนข้างหนึ่งไว้ใต้หมอน ส่วนแขนอีกข้างนั้นโอบร่างบางแล้วกุมมือเธอไว้ในมือของเขา แน็ตตี้ซุกกายเข้ามาหา เรียวขาเย็น ๆ ของเธอที่เสียดสีอยู่กับขาของเขาทำเอาจิตใจกระเจิดกระเจิง แอลไลภาวนาอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ ว่าร่างกายของเขาคงไม่ทรยศคำสัญญาของตัวเอง


"อืม... ดีจัง" แน็ตตี้งึมงำ


"เดี๋ยวมันจะร้อนขึ้นอีกนะฮะ" แอลไลเตือน


หญิงสาวยักไหล่น้อย ๆ "ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอแค่อย่าให้ฝันร้ายอีกเป็นพอ"


"ไม่ฝันแล้วล่ะครับ" เขาให้กำลังใจ "คืนนี้คุณจะไม่ฝันอีก"


หญิงสาวไม่ตอบ แต่เขารู้ดีว่าเธอยังไม่หลับ รู้แม้กระทั่งว่าดวงตาของเธอยังคงเปิดกว้าง


"คือ คุณคิดว่าไงครับ?" แอลไลเริ่มคำถามอย่างตะกุกตะกัก "ว่าคืนนี้มันดีพอ... ที่จะนับเป็นการออกเดทครั้งแรกของเราหรือเปล่า?" ลำคอของเขาแห้งผาก และลิ้นก็พันกันนิดหน่อยตอนที่ถามคำถามนั้นออกไป


"คุณหมายความว่า ฉันอยากจะพบคุณหลังจากนี้อีกหรือเปล่างั้นหรือคะ?"


แอลไลหัวเราะหึ ๆ "ผมว่านั่นคือสิ่งที่ผมพยายามจะพูดออกมาเลยละครับ"


แน็ตตี้พลิกตัวมาหาพร้อมยันตัวขึ้นด้วยข้อศอก "แล้วที่ผ่าน ๆ มานี่ไม่ได้บอกอะไรคุณเลยงั้นเหรอ?"


"ก็ คุณเมานี่นา เลยไม่นับ"


"อะไรนะ มีผู้หญิงเมา ๆ มาคอยกระโดดกอดคุณอยู่บ่อย ๆ งั้นเรอะ?"


"มีเป็นโหลเลย" แอลไลตอบ "คุณคงไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพวกเราชาวนักดนตรีเร่ร่อนสินะ -มันมาพร้อมอาชีพเลยครับ"


แน็ตตี้พยายามทำสีหน้าแค้นเคืองอยู่ในแสงสลัว "งั้นฉันก็เหมือนคนอื่น ๆ สิคะ แค่ของแถมที่มากับงาน"


แอลไลทำท่าขึงขังจริงจังขึ้นมาในทันที "ผมคิดว่าคุณเป็นคนที่น่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในโลกต่างหากครับ คุณสวย คุณมีพรสวรรค์ คุณมีอารมณ์ขัน ใจดี-"


"หยุดพูดก่อนที่ฉันจะอ้วกดีกว่านะ"


"โทษที"


หญิงสาวมองเห็นสีหน้าผิดหวังของเขาแล้วอดหัวเราะไม่ได้ "ที่จริงแล้ว คุณพูดต่ออีกหน่อยก็ได้นะ ฉันชอบฟัง นอกจาก 'ใจดี' แล้วมีอะไรต่อคะ?"


"พูดไม่ออกแล้วครับ" แอลไลงึมงำ "ผมเขินไปหมดแล้ว ก็คุณเล่นขัดคอผมแบบนั้นนี่ รู้ไหมฮะว่าผมนอนคิดประโยคนี้มาทั้งคืนเลยนะ!"


"อยากรู้ไหมคะว่าฉันคิดยังไง?"


หัวไหล่ของแอลไลตกลู่ "เล่ามาสิครับ"


"ฉันคิดว่าคุณหลอกให้ฉันดื่มจนเมาแล้วบังคับให้ฉันนอนค้างที่นี่"


แอลไลสะอึก "ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ป่านนี้คุณเสร็จผมไปแล้วมั้ง?"


"โอ ไม่รู้สิคะ ฉันคิดว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนของคุณเหมือนกันแหล่ะ"


ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ถูกเป๋งเลย คุณตกหลุมผมแล้ว ผมแค่หลอกให้คุณตายใจ พาคุณไปทานอาหารเย็น ชงโกโก้ให้คุณ พาคุณขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า เสร็จแล้วก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แถมโทษว่าเป็นเพราะความปรารถนาไร้ขอบเขตของชาวไอริสอย่างคุณที่กระหายในแอลกอฮอล์กับร่างกายของชายหนุ่มนักกีต้าร์ผู้ไร้ประสบการณ์"


แน็ตตี้หัวเราะดังลั่นแล้วโน้มตัวไปจูบเขาที่ริมฝีปาก แผ่วเบาหากอ้อยอิ่งเนิ่นนาน "ขอบคุณนะคะ" เธอพูดเสียงเบา


แม้ความรู้สึกหวามไหวจะวิ่งพล่านอยู่ในกาย แต่แอลไลก็สามารถฝืนทำหน้าไร้เดียงสาได้สำเร็จ "สำหรับอะไรเหรอครับ?"


"คุณรู้ดีอยู่แล้วนี่"


จิตรกรสาวล้มตัวลงนอน วางศีรษะลงบนหมอนแล้วซุกกายเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้ง แอลไลไล้เรียวแขนของเธอด้วยปลายนิ้วแล้วจูบผ่านเรือนผมแผ่วเบา "หลับฝันดีนะครับ" เขากระซิบ




(จบบทที่ 19)


******************************



ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)




******************************




...


ลิงค์ตอนเก่า ๆ ที่ตกขอบกระดานไปแล้วค่ะ

[1] Dream in a field of wild flowers : ความฝันกลางทุ่งดอกไม้ป่า

[2] The artist's craft : ฝีมือจิตรกร

[3] The wild reel : เพลงเต้นรำสุดเหวี่ยง

[4] The faerie lord : เจ้าเหนือหัวแห่งภูต

[5] Dream in an ancient forest : ความฝันกลางป่าโบราณ

[6] A timely invitation : คำเชิญที่มาถึงในเวลาเหมาะเจาะ

[7] Problem things : ปัญหา

[8] The unforgiven host : เผ่าภูตดำ


โดย: Poceille วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:38:00 น.  

 
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย...ยาวจริง๐

นึกว่าจะอ่านไม่จบแล้วอ่ะครับ..


โดย: กุมภีน วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:48:59 น.  

 
หลงรักแอลไล

แว๊กๆๆๆ กลับไปเขียนเล่มและเตรียมสอบต่อ


โดย: ฮันนี่ IP: 133.1.128.95 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:20:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.