...ห้องทำงานรก ๆ ร้าง ๆ ที่เจ้าของทิ้งขว้างไม่สนใจ...


Group Blog
 
 
เมษายน 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
23 เมษายน 2548
 
All Blogs
 

[2] The artist's craft : ฝีมือจิตรกร




...


ด็อกสเบย์ แคว้นกัลเวย์ ไอร์แลนด์


หนึ่งเส้น หนึ่งรอยกดหนัก ตามมาด้วยการลงแรเงาแบบลวก ๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้โครงร่างที่เคยเป็นเพียงเส้นดินสอบนกระดาษกลายเป็นชายหาดไปได้ในทันที


การเคลื่อนไหวถัดมาคือมือที่จับดินสออยู่แบบหลวม ๆ นั้นวางนาบลง นิ้วชี้เหยียดยาวเต็มที่ในขณะที่หญิงสาวลากแท่งดินสอไปทั่วแผ่นกระดาษเพื่อสร้างเมฆและท้องฟ้า


สภาพของชายหาดในช่วงหกโมงเช้ายังคงปลอดผู้คนเหมือนอย่างที่คาดไว้ แม้ว่าตอนนี้จะเพิ่งต้นเดือนตุลาคม แต่พระอาทิตย์ก็เคลื่อนพ้นเส้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว พร้อมกับปลอดปล่อยอะไรบางอย่างที่อาจจะเรียกในแง่ดีว่าไออุ่นลงบนพื้นทราย เกลียวคลื่นเล็ก ๆ แล่นเลียบขึ้นมาตามลาดเนินของชายฝั่งราวกับต้องมนตร์ความงามของโค้งหาดรูปเสี้ยวจันทร์อันเงียบสงบ เหนือขึ้นไปคือเมฆทรงแบนก้อนโตที่ล่องลอยอย่างไร้จุดหมายอยู่กลางท้องฟ้าสีฟ้าอมเทา ดูเหมือนว่ามันยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลอยกลับออกสู่ท้องทะเลดี หรือจะลอยเข้าไปสำรวจส่วนของพื้นดินต่ออีกหน่อยดี หากไม่นับเสียงดนตรีจากท้องทะเลและเสียงสนทนาของสายลมที่พัดผ่านกอหญ้าบนเนินทรายแล้ว รุ่งอรุณวันนี้ช่างสงบเงียบ... ความผาสุกที่เป็นนิรันดร์


นาตาชา นิวลีน หรือที่ใคร ๆ เรียกเธอว่า แน็ตตี้ วางดินสอเนื้ออ่อนเบอร์ B6 ลง เธอเอนตัวไปข้างหน้า วางคางลงบนสองมือแล้วทอดสายตามองท้องทะเล เสียงขลุ่ยแหลมใสล่องลอยอยู่รอบตัวเธอคล้ายกลุ่มควัน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากสร้างสรรค์ของเธอเช่นเดียวกับการสะบัดปลายพู่กันขนอ่อนนุ่มหรือการร่างโครงภาพด้วยแท่งดินสอดำ


หญิงสาวหลับตาลงโดยยังเก็บรายละเอียดของภาพตรงหน้าเอาไว้ในความทรงจำ เธอมองเห็นนกนางนวลหลังดำคู่หนึ่งกำลังบินหยอกเย้ากันอยู่เหนือเนินเขาทางฝั่งตะวันออก ทั้ง ๆ ที่หากมองด้วยตาเปล่าแล้วจะเห็นเพียงจุดสีดำเท่านั้น แล้วเมฆก้อนนั้นมันมีรูปร่างคล้าย ๆ ใบหน้าของคนใช่ไหม? แล้ววงกระเพื่อมของผืนน้ำเบื้องหน้านั่นมันเกิดจากการกระโดดของปลา หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลงกันแน่?


และทั้ง ๆ ที่ยังคงหลับตาอยู่ หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบแท่งดินสอขึ้นแล้วลงมือวาดรูปต่อโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับภาพใหญ่โดยรวมทั้งหมด แต่กลับเน้นในรายละเอียดจุดเล็กจุดน้อยเพื่อให้มันเชื่อมประสานซึ่งกันและกันในภายหลัง แสงตะวันอบอุ่นสาดส่องใบหน้าของเธอและเริงแสงจ้าทั้ง ๆ ที่มองผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิท ปลายดินสอเริงระบำอยู่บนผิวกระดาษขาวและเรียบเนียน แต่งเติมตรงนี้ ลงแสงเงาตรงนั้น เธอพลิกแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยลายเส้นแผ่นนั้นออกไปแล้วเริ่มต้นวาดลงกระดาษแผ่นใหม่ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา แน็ตตี้ดำดิ่งลงสู่ความเป็นตัวของตัวเอง ละทิ้งความเป็นไปของโลกรอบด้านในเวลานั้น สนใจเพียงความหมายของมันตามที่เธอเข้าใจ


เสียงขลุ่ยแผ่วต่ำยังคงบรรเลงต่อเนื่อง สร้างบรรยากาศแบบโบราณที่ต้นกำเนิดของมันเลือนหายไปในเงาสลัวระหว่างรอยต่อของการหลับกับการตื่น ระหว่างจิตรกรกับวัตถุ มันวนเวียนอยู่รอบกายของหญิงสาวเหมือนเด็กช่างสอดรู้สอดเห็นที่คอยชะเง้อข้ามหัวไหล่ของเธอหรือเขี่ยขาเธอเล่น บางครั้งมันก็ผละไปเกาะเกี่ยวอยู่ปลายขอบของความฝันยามทิวา พอใจกับการอยู่นิ่ง ๆ และช่วยเป็นเสียงประสาน แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกาย คล้ายนักดนตรีล่องหนที่คอยบรรเลงเพลงไพเราะให้สอดประสานไปกับภาพที่จิตรกรสาวกำลังสร้างสรรค์


เสียงดนตรีนั้นไม่ได้จำเพาะต้องเป็นเสียงขลุ่ยเท่านั้น แต่มีการสลับสับเปลี่ยนชนิดของเครื่องดนตรีไปเรื่อย ๆ ตามบรรยากาศและความรู้สึกที่แฝงอยู่ในสถานที่ที่หญิงสาวเลือกใช้ในการวาดภาพ เสียงที่เธอได้ยินในดินแดนที่ราบสูงอันแห้งแล้งของคอนเนมาร่าคือเสียงเดี่ยวปี่ยูเลียน ในขณะที่บนลาดเขาสีม่วงของทเวลฟ์ เบนส์ คือเสียงระรัวของไวโอลินตามสมัยนิยม ในระหว่างที่หญิงสาวออกนอกสถานที่เพื่อสเกตช์ภาพองค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อย ๆ เสียงดนตรีที่ได้ยินมักเป็นการแสดงเดี่ยวของเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ


ส่วนคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบนั้นถูกสงวนไว้เฉพาะในห้องสตูดิโอของเธอเท่านั้น


ขลุ่ยยังคงบรรเลงต่อเนื่อง เสียงเพลงกระชั้นและดังขึ้นอย่างทันทีทันใดเมื่อเธอพลิกหน้ากระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมา


สายลมกรรโชกแรงขึ้นอย่างฉับพลันราวกับเป็นการตอบสนองต่อเสียงเพลงลึกลับนั้น ก่อให้เกิดพายุหมุนของเม็ดทรายไล่ขึ้นมาตามชายหาด ต้นไม้สะบัดใบเรียวบางราวแผ่นดาบเกรียวกราวคล้ายไม่พอใจกับเกมที่สายลมกำลังเล่นอยู่ และหญิงสาวคิดว่าเธอได้ยินเสียงนกนางนวลร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อบินฝ่าลมพายุชุดนั้น


แน็ตตี้ลืมตาขึ้น เธอผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ออกพร้อมปัดปอยผมหนาสีน้ำตาลให้พ้นจากมุมปาก หญิงสาวล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วดึงเอาถุงมือแบบไม่มีนิ้วออกมา เธอไม่สามารถทำงานได้หากเธอสวมมันไว้ แต่เมื่อเธอหยุดการวาดรูปก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที หญิงสาวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ผ้าใบพับได้แบบที่พวกผู้กำกับภาพยนตร์ใช้กัน แล้วทอดสายตามองทิวทัศน์โดยรอบ ดื่มด่ำอยู่กับความเงียบงันและคอยฟังเสียงเพลงบรรเลงที่ค่อย ๆ จางหายไป


...


ตลอดเวลากว่า 6 ปีที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่คอนเนมาร่า เธอไม่เคยรู้สึกเบื่อกับความงดงามจับตาจับใจของที่นี่เลยสักครั้ง นี่คือดินแดนแห่งความน่าตื่นเต้นและตำนานเก่าแก่ ตอนเธอเรียนจบ อายุเพิ่งจะ 21 ปี เธอยอมย้ายมาอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับไปเผชิญกับความวุ่นวายของดับลินอันเป็นบ้านเกิด เธอออกจากบ้านมาเพื่อ "พัฒนาฝีมือ" อย่างน้อยนั่นก็คือเหตุผลที่เธอบอกกับพ่อและแม่ แต่ที่จริงแล้วเธอต้องการปลีกตัวออกจากเรื่องราวภายในครอบครัวมากพอ ๆ กับที่เธอชื่นชอบความงดงามของที่นี่ ระยะเวลาสี่ปีในวิทยาลัยโรยัล อะคาเดมี่ ออฟ อาร์ท ในลอนดอนยิ่งทำให้เธอกระหายความเป็นอิสระ แน่ละ ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากชานเมืองแสนจืดชืดไร้สีสันของแคล้นกัลเวย์เพียงระยะขับรถไม่กี่นาที แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างที่พิเศษไม่เหมือนใคร


แน็ตตี้คิดอยู่เสมอว่าแม้กระทั่งยามนี้มารดาของเธอก็คงยังเห็นว่าศิลปะเป็นเพียงของเล่นชั่วคราวของบุตรสาว ซึ่งอีกไม่นานเธอก็จะต้องโทรกลับบ้านเพื่อบอกว่าเธอจะกลับไปหางานทำในธนาคารหรือไม่ก็ไปเป็นเลขานุการซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคงและมีอนาคตมากกว่า


แน็ตตี้ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเก้าอี้ที่ส่งเสียงออดแอด เธอยกมือขึ้นเกาศีรษะ พยายามไล่ความรู้สึกห่อเหี่ยวที่มักเกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอลงมือทำงานออกไป เวลาที่เธออ้าปากหาวดูยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อหญิงสาวพยายามฝืนตัวเพื่อทำงานต่อ เธอกลับรู้สึกอยากลงไปนอนขดอยู่บนผืนทรายแล้วหลับสนิทไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด


หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนนกฮูก เธอปัดคอเสื้อขนสัตว์หนาออกแล้วก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นว่าเลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว เธอพลิกสมุดวาดรูปกลับไปสิบกว่าหน้าเพื่อตรวจสอบอย่างคร่าว ๆ ก่อนเก็บมันลงในกล่องไม้ใส่อุปกรณ์วาดเขียน แล้วเอี้ยวไปหาย่ามประจำตัวที่วางอยู่อีกฝั่งของเก้าอี้ สอดมือลงไปควานจนพบกระติกเก็บความร้อน เธอหมุนฝาเกลียวเปิดออกแล้วเทกาแฟดำควันฉุยให้ตัวเอง กลิ่นหอมกรุ่นกระจายขึ้นมาพร้อมละไอควันร้อน หญิงสาวจิบกาแฟทีละน้อย ปล่อยให้ความอบอุ่นแทรกซึมเข้าไปภายใน เสียงของเด็กที่กำลังเล่นสนุกดังมาจากที่ใดที่หนึ่งบนชายฝั่ง


ดวงตะวันเดินทางขึ้นไปถึงจุดกลางศีรษะแล้ว แสงของมันเคลือบผิวน้ำเรียบนิ่งในโค้งอ่าวให้กลายเป็นสีเหลือบทองอำพันคล้ายสีทราย ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย เพื่อนรักของบิดาของเธอเอ่ยปากขอแต่งงานกับแม่ของเธอบนชายหาดแห่งนี้ งานเขียนชิ้นแรกของแน็ตตี้ที่ออกวางขายนั้นก็เป็นรูปชายหาดแห่งนี้ และมันคือที่ที่เธอและฌอนมาเดินเล่นยามค่ำด้วยกันก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลวร้ายลง


แน็ตตี้นิ่วหัวคิ้ว โมโหตัวเองที่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นเล็ดลอดเข้ามาก่อกวนในความคิดของเธออีกจนได้ ทั้งคู่แยกทางกันมานานกว่าสองสัปดาห์แล้วโดยที่แน็ตตี้เป็นฝ่ายบอกลา แต่เขาก็ยังพยายามหาหนทางพบหน้าเธอจนได้ ไม่ว่าจะเป็นในร้านที่เธอเข้าไปซื้อนมสด ในผับ หรือแม้กระทั่งระหว่างทางเดินบนยอดผาเมื่อวันก่อน ดูเหมือนว่าเขาจงใจไปปรากฏตัวให้เธอเห็น


"เขาเป็นแบบนี้เสมอล่ะ" หญิงสาวคิดในใจ "ทำตัวไร้สาระตลอดเวลา"


หญิงสาวพยายามนวดขาเพื่อเรียกความรู้สึกกลับคืนมาจากภาวะเหน็บชาที่เกิดจากอากาศที่หนาวจัด จากนั้นจึงโน้มตัวลงปิดฝากล่องเครื่องมือแล้วลุกยืนขึ้น พับเก้าอี้นั่งอย่างคล่องแคล่ว คว้าย่ามสัมภาระส่วนตัวขึ้นแล้วหันหน้าเดินกลับเข้าสู่แผ่นดิน รองเท้าทิมเบอร์แลนด์สีเหลืองของเธอจมลงในพื้นทรายอ่อนนุ่มยามที่เธอย่ำเท้าไปตามชายหาดเพื่อตรงไปยังตำแหน่งที่เธอจอดรถทิ้งไว้ กอหญ้าที่ขึ้นอยู่บนเนินทรายทางขวามือโบกใบอำลาอยู่ไหว ๆ จนเมื่อสายลมหยุดพัดมันจึงหยุดนิ่งตามไปด้วย ยางมะตอยครูดอยู่ใต้ฝ่าเท้าตอนที่เธอเดินข้ามจัตุรัสแห่งทาร์แม็กเพื่อไปยังลานจอดรถ


ที่ใกล้ ๆ กับรถวอลโว่สีเขียวคันเก่าของเธอนั้นมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่เอี่ยมอ่องที่ติดป้ายทะเบียนแปลกตาจอดอยู่ ประตูข้างและประตูหลังเปิดอ้ากว้าง ในขณะที่อุปกรณ์ปิกนิกเต็มรูปแบบถูกจัดวางไว้บนพื้นหญ้าเขียวขจีตรงทางลาด เด็กวัยกำลังซนสองคนทักทายหญิงสาวด้วยสำเนียงยุโรปซึ่งเธอก็ส่งยิ้มตอบพร้อมโบกมือให้ ก่อนที่จะหันไปยัดลูกกุญแจรถเข้าล็อก


ฝากระโปรงหลังลั่นเอี๊ยดคล้ายคำประท้วงตอนที่เธอเปิดมันขึ้นแล้วยัดอุปกรณ์และสัมภาระทั้งหมดลงไป หญิงสาวออกแรงกระแทกมันปิดลงก่อนเดินอ้อมไปลงนั่งประจำที่คนขับ เครื่องยนตร์ของรถยอมทำงานหลังการสตาร์ทครั้งที่สาม สำลักกระอักกระไออยู่สักพักก่อนจะลดเสียงลงเหลือเพียงเสียงคำรามต่ำ ๆ ที่กระตุกไม่เป็นจังหวะ


หญิงสาวเปิดเครื่องทำความร้อนในรถให้แรงสุดแล้วนั่งนิ่งอยู่ในห้องโดยสารพักใหญ่ เธอยื่นมือเข้าไปอังตรงช่องลมเพื่อรอรับสายลมร้อนจนรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น จากนั้นจึงลงมือผลักก้านเกียร์เก่าคร่ำคร่าไปยังตำแหน่งเกียร์ถอยหลังเพื่อถอยอ้อมรถคันอื่นออกไป แล้วมุ่งหน้าออกสู่เส้นทางสีเทาที่นำทางกลับไปสู่บัลลี่สโตน



******************************


แน็ตตี้เลี้ยวรถเข้าสู่ถนนไฮน์สตรีทก่อนจอดลงตรงที่ว่างข้างกำแพงหินเรียบ ๆ ที่ทำหน้าที่กำหนดขอบเขตของสวนหลังบ้านที่เธอพักอยู่ในตอนนี้


สตูดิโอของเธอคือห้องชั้นบนของร้านขายหนังสือพิมพ์และของที่ระลึกบัลลี่สโตน มันเป็นสถานที่ที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนอกเหนือจากค่าเช่าที่แสนถูกเมื่อเทียบกับสภาพของห้องแล้ว สตรีผู้เป็นของอาคารและร้านขายของที่ชื่อรู้ธตี้ก็กลายเป็นเพื่อนที่คุยกันถูกคอ


แน็ตตี้ขนข้าวของจากหลังรถออกมาวางไว้ตรงลานหญ้าก่อนจัดแจงปิดประตูรถแล้วลงล็อกเรียบร้อยด้วยความเคยชินทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นสักนิด แต่การใช้ชีวิตสี่ปีในกรุงลอนดอนได้สอนอะไรหลายอย่างให้เธอจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว หญิงสาวยกกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วก้าวเดินผ่านสนามหญ้าตรงไปยังประตูหลังบ้าน ประตูบานหนึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับสตูดิโอของเธอ ส่วนอีกบานที่ตอนนี้กำลังเปิดค้างไว้นั้นนำเข้าไปสู่ห้องเก็บของของร้าน เธอหยุดเพื่อเช็ดรองเท้าตัวเองให้แห้งก่อนก้าวเข้าไปด้านใน


ตรงหน้าของเธอคือห้องเก็บของที่รวมห้องครัวเอาไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงเป็นทางเดินออกสู่หน้าร้าน ห้องด้านหลังนี้มักจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานของขนมและลูกอมหลากชนิด แม้กระทั่งในวันนี้ที่ประตูถูกเปิดอ้าไว้กว้าง เธอก็ยังได้กลิ่นหอมละมุนของช็อกโกแลต ตัวร้านขายของด้านหน้าดูว่างเปล่า ในขณะที่รู้ธตี้กำลังก้มตัวล้างถ้วยชาอยู่ตรงอ่างน้ำ เธอเป็นหญิงร่างอ้วนใหญ่สมบูรณ์ อายุเกินวัย 50 ปีไปพอสมควรแล้ว ใจดีและมีอารมณ์ขันร้ายกาจ ทั้งสองคนทำท่าว่าจะเข้ากันได้ดีมาตั้งแต่ตอนที่แน็ตตี้มาติดต่อขอดูห้องเช่าตามที่รู้ธตี้ลงประกาศไว้ในหนังสือพิมพ์ มันเป็นความบังเอิญที่แสนวิเศษที่ห้องเช่านั้นมีขนาดพอเหมาะ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่หมายตาเอาไว้ แถมเจ้าของห้องเช่ายังเป็นจิตรกรเหมือนกันอีกต่างหาก


รู้ธตี้รับช่วงกิจการร้านขายของต่อจากสามีของเธอที่ตายจากไปเมื่อ 9 ปีก่อน มันเป็นธุรกิจที่เลี้ยงตัวได้เพราะทั้งนักท่องเที่ยวและคนในท้องที่ต่างรู้จักร้านนี้เป็นอย่างดี ในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยวอาจจะเงียบเหงาไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับอดอยาก ตัวรู้ธตี้เองพักอยู่ที่คลิฟตอน คอตเทจ ซึ่งเป็นอาคารหินหลังเล็กน่ารักที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน


แน็ตตี้ยืนพิงชั้นวางของแถวนั้นก่อนเอ่ยเสียงเบา "อรุณสวัสดิ์ค่ะ รู้ธตี้ วันนี้เงียบจังนะคะ"


หญิงชราหันมาหา รอยยิ้มเกลื่อนอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย "หวัดดีจ้ะที่รัก" เธอตอบพลางยื่นมือไปคว้าผ้าเช็ดจานที่พาดอยู่เหนืออ่างน้ำ "นั่นสิ วันนี้เงียบไปหน่อย แต่พอถึงเวลาที่รถทัวร์มาลงก็คงยุ่บยั่บเหมือนเดิม ป้ากำลังจะชงชาสักถ้วย เอาด้วยไหม?"


แน็ตตี้ส่ายศีรษะจนลอนผมสีเข้มสะบัดพลิ้วราวมีชีวิต "ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ แต่หนูเพิ่งทานกาแฟไปเมื่อกี้ นี่ว่าจะเอาของขึ้นไปเก็บแล้วค่อยหาอาหารเช้าทานค่ะ"


"อะไรกันจ๊ะสาวน้อย นี่จะบ่ายอยู่แล้วนะ มิน่าล่ะถึงได้ตัวผอมโกรกแบบนี้"


แน็ตตี้แกล้งทำเป็นขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจส่งให้คู่สนทนา รู้ดีว่าคำพูดนั้นคือการล้อเล่น หญิงสาวแลบลิ้นแผล็บก่อนขยับสายกระเป๋าบนบ่าแล้วก้าวออกไปหาประตูบานที่นำขึ้นไปยังห้องของเธอ


"อ้อ ก่อนที่จะหายตัวไปไหน" รู้ธตี้ร้องเรียกไว้ก่อนที่จะเดินตามมาหยุดตรงชานบันได "ฌอนเขามาหาหนูอีกแล้วนะ"


แน็ตตี้ถอนหายใจ "หนนี้เขาต้องการอะไรอีกล่ะคะ?"


"เขาไม่ได้บอก แค่ถามว่าหนูอยู่ไหม ป้าเลยบอกไปว่าหนูออกไปทำงานข้างนอก เขาอยากรู้สถานที่แต่ป้าบอกว่าป้าไม่รู้"


"ขอบคุณนะคะรู้ธตี้ หนูคงทนไม่ได้หากจู่ ๆ เขาบุกไปก่อกวนหนูถึงที่ชายหาด"


"เขาคงไม่รามือง่าย ๆ หรอกนะ"


"อีตาฌอน ลาเวลล์ก็ได้แต่ทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ ล่ะค่ะ"


แน็ตตี้ตอบไป แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนั้นด้วย งานของเธอในช่วงเช้าออกจะราบรื่น และเธอกำลังวาดฝันไว้ว่าจะขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วลงมือวาดภาพชิ้นใหม่ แต่ตอนนี้เธอกลับต้องหาทางดึงอารมณ์ดี ๆ กลับคืนมาและต้องเสียแรงในการสลัดความกังวลที่ว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะโผล่มาตอนไหนก็ได้ออกไปจากสมอง


รู้ธตี้สังเกตสีหน้าของหญิงสาวแล้วเอ่ยขึ้น "ป้ารู้ว่าป้าไม่ควรพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ แต่ป้าไม่เข้าใจว่าหนูรังเกียจอะไรในตัวผู้ชายคนนั้นนักหนาฮึแน็ตตี้"


จิตรกรสาวพ่นลมหายใจออก "หนูก็ไม่ทราบค่ะ หน้าตาของเขาก็หล่อเหลาดี แต่... ไม่รู้สิคะ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น อย่างน้อยก็เท่าที่หนูมองเห็น" เธอถอนหายใจอีกครั้งพร้อมส่ายศีรษะ


ดูเหมือนรู้ธตี้จะจับกระแสอะไรบางอย่างได้ ดวงตาของหญิงชราเปล่งประกายวาววับ "หรือเพราะเขาแกล้งหนูกันล่ะ แน็ตตี้?" เธอกระซิบถามด้วยเสียงค่อนข้างดัง "หรือเพราะเขาบังอาจทำอะไรกับหนูอย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน?"


คำพูดนั้นทำเอาลูกโป่งแห่งความเครียดที่เริ่มก่อตัวขึ้นในสมองของแน็ตตี้อย่างช้า ๆ แตกโพล้ะออกและเธอถึงกับเปิดปากหัวเราะออกมาเต็มเสียง "โอ้ ถ้างั้นป่านนี้เขาคงกลายเป็นคนโชคดีไปแล้วล่ะค่ะ! แค่เขามาป้วนเปี้ยนเหมือนหมีอยู่ใกล้ ๆ หนูก็จะแย่แล้ว" หญิงสาวแกล้งทำท่ากลัวเสียจนตัวสั่นก่อนฉีกยิ้มกว้าง "เฮ้ นี่กลายเป็นคุณย่าลามกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ? คุณรู้ธตี้ โอ'เบรียน!"


"อ๊าว แหม ยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย"


หญิงชราตอบกลับด้วยท่าทีขุ่นเคืองเต็มที่ เธอทำท่าว่าจะพูดอะไรต่อหากถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งที่แขวนอยู่เหนือประตูหน้าร้าน ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วแน็ตตี้ก็ทำท่าขยับปากว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่นะ รู้ธตี้ขยิบตาให้พร้อมรอยยิ้มก่อนขยับผ้ากันเปื้อนให้เข้าที่ แล้วเดินกลับไปต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้าน ส่วนแน็ตตี้นิ่งฟังความเป็นไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวของโรสซี่ แบ็กซเตอร์ถามหาบุหรี่


...


หญิงสาวใช้เท้าเปิดประตูที่อยู่ตรงบันไดขั้นบนสุดออกแล้วก้าวเข้าไปในสตูดิโอ แสงสว่างทอผ่านกระจกหน้าต่างบานคู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกสามบานที่ด้านหลังเข้ามาด้านใน ละอองฝุ่นเล็กจิ๋วฟุ้งกระจายอยู่ในลำแสงที่ตัดกันไปมา


ที่จริงแล้วสตูดิโอกับบ้านพักของเธอก็คือห้องเดียวกัน เว้นแต่ห้องน้ำขนาดเล็กและส่วนของห้องครัวถูกกั้นแยกออก ปลายอีกฝั่งของห้องที่กรุด้วยกระจกทรงสูงเผยให้เห็นทิวทัศน์ของมหาสมุทรคือส่วนที่พักขนาดเล็ก ประกอบด้วยเตียง ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง ชั้นหนังสือแน่นเอี้ยดและโซฟาเก่าที่ทำเลียนแบบเก้าอี้นอนขนาดใหญ่


พื้นที่ส่วนนั้นถูกกั้นออกจากส่วนสตูดิโอด้วยม่านผ้าฝ้ายแบบแขวนสีเขียวสดใส องค์ประกอบหลักของสตูดิโอคือโต๊ะไม้เก่าแก่ตัวมหึมาที่แน็ตตี้ใช้เป็นโต๊ะทำงาน ยามนี้มีขาตั้งภาพอันเล็กบางสามอันตั้งล้อมอยู่ ชุดของชั้นวางของที่ทำจากโลหะกินเนื้อที่เกือบตลอดความยาวของผนังห้องด้านหนึ่ง บรรจุสิ่งของต่าง ๆ จนแทบจะล้น มีตั้งแต่หลอดบรรจุสีขนาดจิ๋วหลายพันหลอดไปจนถึงพู่กันมากมายพอที่จะเอาไปสร้างบ้านได้หนึ่งหลัง มีขวดหลากสีที่บรรจุเกล็ดสีแห้ง ขวดทรงสูงใส่ของทุกชนิดตั้งแต่น้ำกลั่นไปจนถึงน้ำมันสนและดีวัว ชุดดินสอ ปากกา แผ่นผสมสี และเครื่องมือเครื่องไม้หน้าตาแปลกประหลาดงดงามที่ควรจะไปอยู่ในโรงละครมากกว่ามาอยู่ในนี้ แม้ว่าในช่วงระยะนี้หญิงสาวมักจะวาดภาพด้วยสีน้ำ แต่บางครั้งเธอก็เปลี่ยนไปใช้สีน้ำมันหรือสีอะครีลิกตามความเหมาะสม


ผนังอีกฟากและพื้นบางส่วนถูกใช้เป็นที่วางชิ้นงานทดลองเทคนิคการวาดภาพแบบต่าง ๆ บริเวณเหนือศีรษะขึ้นไปคือกล่องที่ทำจากเหล็กสานสำหรับบรรจุชิ้นงานที่วาดเสร็จสมบูรณ์แล้วอยู่อย่างเป็นระเบียบเพื่อรอการขนย้ายไปดับลิบเป็นประจำทุกเดือน พื้นไม้ขัดและลงเงาสีน้ำผึ้งสะอาดปราศจากรอยเปื้อนของสีอย่างน่าอัศจรรย์


ถึงแม้ว่าทั้งห้องจะดูรกรุงรังแต่บนโต๊ะไม้กลางห้องกลับถูกจัดเป็นระเบียบและสะอาดสอ้าน พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นที่วางตั้งกระดาษที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้ว ซึ่งแน็ตตี้วางแผ่ไว้ให้เนื้อกระดาษยืดตัวออก จานผสมสีที่เหมาะมือสองอันและหลอดสีน้ำประมาณสองโหลถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเพื่อความสะดวกในการหยิบใช้ อีกด้านหนึ่งของโต๊ะคือภาพร่างที่เพิ่งทำเสร็จที่ถูกตั้งซ้อนกันไว้อย่างเรียบร้อย


ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของสีและน้ำมันสน แจกันดอกไม้สดที่ตั้งรับแสงตะวันบนขอบหน้าต่างกว้างช่วยทำให้ห้องดูสดใสมากขึ้น เพดานห้องยกสูงเต็มไปด้วยขื่อและแปเก่า ๆ ที่รองรับส่วนของหลังคาเอาไว้ ส่วนของไม้คานเต็มไปด้วยโปสการ์ดจากทุกที่ทั่วโลก ข่าวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ ภาพถ่ายครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมไปถึงภาพร่างอีกบางส่วน เพดานที่ยกสูงขึ้นไปทำให้ตัวห้องดูโปร่งโล่งสบาย เสียแต่การจะทำให้ห้องทั้งห้องอบอุ่นทั่วกันในช่วงหน้าหนาวเป็นเรื่องที่ลำบากพอดู


แต่สำหรับแน็ตตี้แล้ว ที่นี่ถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดเพราะตั้งอยู่ใจกลางคอนเนมาร่า ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ผู้คนยังคงพูดภาษาไอริชแบบดั้งเดิมและถูกจัดเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ขนกันมาเต็มหลายคันรถ แถมด้วยนักเดินป่าที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสายรวมถึงนักทัศนาจรทั่วไปที่มาแวะพัก แต่ใจกลางของเมืองคอนเนมาร่านี้ยังถือว่าด้อยพัฒนาอยู่มาก และด้วยอารมณ์ศิลปินในตัวทำให้เธอคิดว่านอกจากที่นี่ที่เธอสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยและเป็นที่ทำงานไปพร้อม ๆ กันได้แล้ว ก็คงก็ต้องเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าทางตอนเหนือของแคนาดาหรือไม่ก็กลางทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งแอฟริกา


แม้ว่าตัวแทนจำหน่ายภาพเขียนของเธอที่ชื่อโรสแมรี่ แจ็คสัน จะอยู่ในลอนดอน แต่รายนั้นก็รู้จักกับคนในดับลินที่ทำหน้าที่รับส่งชิ้นงานที่เสร็จสมบูรณ์จากแน็ตตี้ได้ โรสแมรี่มีเครือข่ายร้านขายภาพรายย่อยและแกลลอรี่ที่ต้องการภาพเขียนต้นฉบับฝีมือจิตกรนามนิวลีนอยู่พอสมควร ซึ่งแน็ตตี้เองก็ชอบวิธีการจัดการแบบนี้โดยโรสแมรี่จะหักเปอร์เซ็นต์จากรายได้เป็นค่าแรงในการนำภาพเขียนไปจัดแสดงและการจัดการเกี่ยวกับการสั่งของ การขนส่งและงานเอกสารต่าง ๆ


ส่วนการจัดนิทรรศการแสดงภาพก็มีมาบ้างประปราย ที่จริงแล้วแน็ตตี้ก็มีโปรแกรมการแสดงภาพเขียนที่ลอนดอนในช่วงเดือนหน้าภายใต้หัวข้อหลักที่ว่า "จากฤดูใบไม้ผลิสู่คิมหันต์" ซึ่งหญิงสาวจะได้เป็นจิตรกรหลักของงานนั้น แน็ตตี้ไม่เคยรับค่านายหน้าจากใครเพราะเธอจะวาดภาพตามที่ตาของเธอมองเห็นมากกว่าการวาดจากคำบอกเล่าของคนอื่น เธอเพิ่งจะอายุครบยี่สิบเจ็ดปี ทว่าชื่อเสียงของเธอกลับโด่งดังจนติดอันดับหนึ่งในจิตรกรหน้าใหม่ไฟแรงในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา


แต่แน็ตตี้กลับชอบเก็บตัวเงียบ เธอเพียงชื่นชอบในศิลปะการวาดภาพ และหากว่ามันสามารถทำรายได้เลี้ยงชีพให้เธอได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าไม่เธอก็สามารถหางานพิเศษทำได้เช่นกัน แต่การที่เธอสามารถขายภาพเขียนของตัวเองจนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำนี่เองที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงขึ้นทำเนียบเทียบเท่ากับพวกจิตรกร นักเขียนและนักดนตรีชั้นนำเลยทีเดียว


แน็ตตี้ปลดเสื้อคลุมหนาหนักออกจากไหล่แล้วแขวนไว้บนเสาไม้ข้างประตูตรงชานบันไดขั้นบนสุด เธอวางกล่องเครื่องมือลงบนพื้นแล้วก้าวตรงไปหาห้องครัว ระหว่างทางก็เหวี่ยงย่ามลงบนเตียงนอนที่ยังยับยู่ยี่


หญิงสาวเติมน้ำลงในกาและตั้งไฟต้มด้วยความเคยชิน ในระหว่างที่รอให้น้ำเดือดนั้นเธอก็ยืนพิงอยู่กับเคาน์เตอร์ ไล้นิ้วไปตามเรือนผมก่อนเคลื่อนมาลูบใบหน้าอย่างเชื่องช้า แล้วครางออกมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงความอ่อนเพลียจากการอดนอนคืบคลานเข้ามาถึงตัวในที่สุด


เธอผละจากเคาน์เตอร์ เดินผ่านเตียงนอนไปยังห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ครู่หนึ่งเพื่อรอให้น้ำอุ่นขึ้นก่อนที่จะใช้มือรองน้ำสาดเข้าที่ใบหน้าตัวเอง หลับหูหลับตาควานหาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า แล้วถอนหายใจยาวในขณะที่วางผ้าขนหนูลง


หญิงสาวจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกบานใหญ่ตรงหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่จ้องตอบกลับมานั้นเต็มไปด้วยแววเหนื่อยล้า ใต้ดวงตาถูกล้อมไว้ด้วยเงาดำคล้ำ ผิวขาวนวลที่ครั้งหนึ่งเคยอิ่มเอิบยามนี้กลับดูขาวซีดไร้สีเลือด และรอยตรงมุมปากที่เกิดจากการยิ้มดูยับย่นจนน่าเกลียด เรือนผมสีลูกเกาลัดที่เคยหยักสลวยกลับเหี่ยวแห้งไร้ชีวิตชีวา ตามปกติแล้วแน็ตตี้จะมีพลังกายเต็มเปี่ยมแม้ว่าเธอจะมีรูปร่างเล็กบอบบางและสูงเกินห้าฟุตมาเพียงไม่กี่นิ้ว แต่วันนี้พลังเหล่านั้นดูจะเหือดแห้งหายไปเช่นกัน ช่วงเช้าที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีเพราะเธอสามารถเพลิดเพลินไปกับงาน แต่ในยามนี้ ในห้องนี้...


หญิงสาวขึงตาใส่ภาพสะท้อนในกระจกก่อนเดินออกจากห้องน้ำ เธอหยุดมองกองผ้าห่มที่ยังคงขยุกขยุยอยู่บนเตียงพลางพยายามฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับความฝันเลือนรางที่ยังคงลอยคว้างอยู่ในมโนภาพ ความฝันที่ขาดรุ่งริ่งคล้ายความทรงจำวัยเยาว์ที่จำได้แค่รูปร่างลักษณะของสิ่งที่ผ่านสายตา มีเพียงเศษเสี้ยวของความหวามไหวในอารมณ์ที่ยังคงเด่นชัด ล่องลอยเหมือนควันที่ม้วนตัวอย่างเกียจคร้านขึ้นมาจากประจุไฟที่เกิดจากความหวาดผวาและความหฤหรรษ์ เธอพยายามอย่างหนักที่จะการตรึงภาพฝันเหล่านั้นไว้แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งคิดถึงมันก็ยิ่งเลือนรางลงจนยากที่จะรื้อฟื้นมันกลับขึ้นมาได้อีก


หญิงสาวเดินกลับไปถึงห้องครัวพร้อม ๆ กับที่กาต้มน้ำตัดไฟเองอัตโนมัติ เธอชงกาแฟลงในกาแก้วด้วยความอ่อนล้า กลิ่นหอมละมุนของกาแฟกรุ่นไปทั่วห้อง จากนั้นเธอก็ทำเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาโดยการสลัดภาพฝันที่ค้างอยู่ในสมองออกไปและเริ่มวางแผนภาพเขียนชิ้นใหม่ เธอประคองแก้วกาแฟดำควันฉุยไว้ในมือในระหว่างที่เดินตรงไปยังส่วนของห้องทำงาน ระหว่างทางก็หยุดแวะเพื่อดึงเอาภาพร่างที่เพิ่งวาดใหม่ออกจากกล่องเครื่องมือพร้อมกับสะบัดรองเท้าออก และในยามที่เธอลงนั่งประจำที่ที่โต๊ะไม้โอ๊ก มือพลิกภาพร่างขึ้นพิจารณา เธอก็ลืมเรื่องราวของความฝันไปได้เกือบทั้งหมดแล้ว


...





******************************



ต้นฉบับ : The Wild Reel โดย Paul Brandon (1st Edition)







 

Create Date : 23 เมษายน 2548
1 comments
Last Update : 22 กรกฎาคม 2548 11:01:48 น.
Counter : 611 Pageviews.

 

ยาวมาก ขี้เกียจอ่าน ไม่ว่ากันนะครับ

มาเยี่ยมคร้าบบบบ

ไปเยี่ยมกันบ้างงงเน่ออออ

 

โดย: note-d 23 เมษายน 2548 22:03:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Poceille
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





.
.
.

Busy Woman
but
Non-productive

.
.
.


Friends' blogs
[Add Poceille's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.