เผื่อเป็นประโยชน์เมื่อได้รับผลตรวจเลือดประจำปี
หลายๆคนที่ทำงานแล้วคงมีโอกาสใช้สิทธิตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งพื้นฐานการตรวจอย่างหนึ่งก็คือ การตรวจเลือด เมื่อได้รับผลการตรวจร่างกายประจำปีแล้ว หลายๆคนคงมีคำถามอยู่ในใจว่าการตรวจแต่ละอย่าง ตรวจ เพื่ออะไร และการแปลผลมีความหมายอย่างไร อยากรู้ป่าวคับ ผมคนนึงล่ะที่อยากรู้ เลยลองหาข้อมูลมาได้พอสังเขปดังนี้คับ
การตรวจสภาพความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) : เป็นพื้นฐานการตรวจเบื้องต้นเพื่อหาปริมาณของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว รวมทั้งเกร็ดเลือดในร่างกาย
Hemoglobin (HGB) คือการวัดปริมาณ HGB ในเม็ดเลือดแดง เพื่อประเมินว่ามีภาวะของโลหิตจาง(ซีด)หรือไม่ ค่าปกติของ ผู้ชาย 14 - 18 g/dl ส่วนของผู้หญิง 12 - 16 g/dl
ข้อสังเกต + การดื่มน้ำมากเกินไป อาจทำให้ค่า HGB ลดลง + HGB จะลดลงในภาวะตั้งครรภ์ + HGB อาจสูงขึ้นในคนที่สูบบุหรี่จัด
Hematocrit (HCT) คือการวัดเปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเม็ดเลือดแดงในปริมาตรเลือดทั้งหมด ค่า HCT ที่วัดได้ ส่วนใหญ่จะประมาณ 3 เท่าของค่า HGB ค่าปกติของ ผู้ชาย 42 - 52 % ส่วนของผู้หญิง 37 - 47 %
ข้อสังเกต + ในคนที่งดน้ำก่อนการตรวจเลือดเป็นเวลานาน อาจทำให้ค่า HCT เพิ่มขึ้นได้ + ในคนที่รับประทานยาขับปัสสาวะ ก็อาจมีค่า HCT สูงขึ้นได้ + HCT จะสูงขึ้นในคนที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือในคนที่สูบบุหรี่จัด
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตน
ในคนที่พบค่าของเม็ดเลือดแดงต่ำ (โลหิตจาง) ซึ่งสาเหตุจะยังไม่ทราบแน่นอน แต่ที่พบบ่อยอาจเกิดจากการขาด ธาตุเหล็ก เช่น การเสียเลือดจากการมีประจำเดือนในสตรีวัยเจริญพันธุ์ เป็นริดสีดวงทวาร หรืออาจมีพยาธิ เป็นต้น จึงแนะนำให้เสริมธาตุเหล็ก + โดยการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ ตับ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว และไข่ + โดยการรับประทานวิตามินที่มีธาตุเหล็กเสริม + ในบางกรณีอาจจะต้องทำการตรวจอุจจาระเพิ่มเติม
White Blood Cell Count ( WBC ) คือการนับจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดใน 1 cu.mm.หรือ mL ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีค่าผิดปกติเมื่อมีการติดเชื้อในร่างกาย เช่น จากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส (แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยประวัติ อื่นๆ ประกอบด้วย) ค่าปกติ 4,800 - 10,800 /mL
Differential White Cell Count คือการหาเปอร์เซ็นต์ของ WBC แต่ละชนิด ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชนิด + Neutrophils (NEUT) ค่าปกติ 40 - 74 % : จะพบสูงขึ้นในภาวะติดเชื้อจำพวกแบคทีเรีย + Lymphocytes (LYMP) ค่าปกติ 19 - 48 %: จะพบสูงขึ้นในภาวะที่มีการติดเชื้อไวรัสอย่างเฉียบพลัน หรือภาวะที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่เรื้อรัง + Monocytes (MONO) ค่าปกติ 3 - 9 %: จะพบสูงขึ้นในผู้ที่อยู่ในระยะฟื้นจากการติดเชื้อทั่วไป + Eosinophils (EOS) ค่าปกติ 0 - 9 %: จะพบสูงขึ้นในภาวะที่มีภูมิแพ้ (Allergy), ภาวะที่มีพยาธิในร่างกาย + Basophils : ค่าปกติ 0 - 2 %
Platelet Count (PLT) คือการนับจำนวนของเกร็ดเลือดต่อ mL ในเลือด (เกร็ดเลือดมีความจำเป็นที่ทำให้เลือดแข็งตัว) ถ้าต่ำกว่า 100,000/mL ถือว่าน้อยไปอาจทำให้เลือดหยุดยาก ตรงกันข้ามถ้ามากไป คือสูงกว่า 400,000/mL จะทำให้เลือด แข็งตัวได้ง่ายขึ้น และอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือด ค่าปกติ 130,000 - 400,000 cells /m
การตรวจทางเคมีของเลือด
1. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Glucose) คือการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อช่วยวินิจฉัยโรคเบาหวาน โดยควรงดอาหารและน้ำ อย่างน้อย 8 - 10 ชั่วโมงก่อนตรวจ ค่าปกติ 75 - 110 mg/dl ในกรณีที่มีค่า Glucose สูงกว่าค่าปกติ อาจจะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
(ก) ถ้าค่า Glucose มากกว่า 110 mg/dl แต่ไม่เกิน 140 mg/dl แสดงว่าอาจเริ่มมีอาการของโรคเบาหวาน
ข้อแนะนำ i. ควรควบคุมการรับประทานอาหารที่มีรสหวาน,น้ำอัดลม,ใน้ำตาลหรือผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ลำใย เป็นต้น
(ข) ถ้าค่า Glucose มากกว่า 140 mg/dl แต่ไม่เกิน 200 mg/dl แสดงว่าเป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น ข้อแนะนำ i. ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสหวาน,น้ำอัดลม, น้ำตาลหรือผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ลำใย เป็นต้น ii. ลดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง (เพราะจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล) iii. ลดปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ iv. รับประทานอาหารประเภทที่มีเส้นใยอาหารสูงเช่น ผักประเภทต่างๆ เช่น คะน้า หอมใหญ่ ฯลฯ v. หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด vi. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ vii. เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำแล้ว ประมาณ 2 เดือน ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดหาน้ำตาลซ้ำ
(ค) ถ้าค่า Glucose สูงกว่า 200 mg/dl
ข้อแนะนำ i. ปฏิบัติตามคำแนะนำในข้อ (ข) ii. ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจจำเป็นต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล
2. การตรวจสภาพการทำงานของไต (Blood Urea Nitrogen and Creatinine)
2.1 Blood Urea Nitrogen (BUN) คือการหาสาร Urea Nitrogen ในเลือดเพื่อดูการทำงานของไต ทั้งนี้เนื่องจาก ยูเรียเป็นผลิตผลสุดท้ายของการเผาผลาญโปรตีน ซึ่งจะถูกขับออกทางไต ค่าปกติ 8-16 mg/dl
BUN เพิ่มขึ้น พบได้ในกรณีที่มีการสังเคราะห์ยูเรียมากไป โดยอาจมาจากสาเหตุจาก * การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง * มีการทำลายของโปรตีนในร่างกายมาก เช่น ภาวะไข้, ติดเชื้อ,ได้รับการผ่าตัดใหญ่ * ระยะหลังของการตั้งครรภ์ * มีภาวะขาดน้ำ เช่น ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น
2.2 Creatinine (Cr) คือการหาสาร Creatinine ในเลือดเพื่อประเมินสมรรถภาพของไต ค่าปกติ 0.6 1.3 mg/dl ข้อแนะนำในการปฏิบัติตน ในกรณีที่มีค่า BUN และ Creatinine สูงกว่าปกติ * ควรลดอาหารที่มีรสเค็มจัด * หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง * ควรปรึกษาแพทย์
2.3 ตรวจระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด (Cholesterol) คือการหาค่า Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ได้ มาจากการรับประทานอาหารและร่างกายสร้างขึ้นเองบางส่วน Cholesterol เป็นสารสำคัญสำหรับร่างกายแต่ถ้ามีมาก เกินไป จะทำให้มีการพอกของไขมันในหลอดเลือด และอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ค่าปกติ 125 - 220 mg/dl (สำหรับบางร.พ. มาตรฐานอาจอยู่ที่ 200 mg/dl หรือ 250 mg/dl )
2.4 ตรวจระดับไขมันไทรกรีเซอไรด์ (Triglyceride) คือ ไขมันที่ได้จากการรับประทานอาหารและการ สร้างขึ้นเองในร่างกาย เมื่อถูกเผาผลาญจะให้พลังงานมาก ระดับ Triglyceride มักไม่ค่อยคงที่ สูงๆ ต่ำๆ ได้ง่าย ขึ้นอยู่กับ ปริมาณอาหารที่รับประทาน ในกรณีที่สูงมากๆและเป็นเวลานาน ก็อาจเป็นผลให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันได้ ค่าปกติ 20 - 150 mg/dl ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดไขมันในเลือด + ควบคุมปริมาณอาหารประเภทไขมันสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ติดมัน เนย กะทิ เป็นต้น + เลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันปริมาณมากๆ หรือถ้าจะใช้ก็ควรใช้น้ำมันจากพืช (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ) + เพิ่มอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น คะน้า หอมใหญ่ ฝรั่ง ส้ม ฯลฯ + งดหรือลดบุหรี่ + งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ + ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2.5 HDL-C โคเลสเตอรอลในร่างกายแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ High Density Lipoprotein Cholesterol (HDLc) และ Low Density Lipoprotein Cholesterol (LDLc) งานวิจัยในปัจจุบันพบว่า HDLc เป็นโคเลสเตอรอลประเภทที่มีผลดีต่อร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดตีบตัน ดังนั้นการมีค่า HDLc ที่สูงจึงเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นในการตรวจโคเลสเตอรอล หากพบว่ามีค่าสูงเกินมาตรฐาน ควรจะตรวจระดับของ HDLc ประกอบการแปลผลด้วย ค่าปกติ 35-65 mg/dl ข้อแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อให้มีระดับ HDLc ที่สูงเหมือนกับการปฏิบัติตนในหัวข้อการลดไขมันในเลือดข้างต้น
2.6 ตรวจระดับกรดยูริคในเลือด (Uric Acid) คือ การตรวจหายูริคซึ่งเป็นของเสียที่เป็นผลมาจากการเผาผลาญ สารพิวรีน (purine) ซึ่งมีมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดอ่อนของผัก เช่น หน่อไม้ เห็ด แตงกวา ถั่วเกือบทุกชนิด และเกิดจากการสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย กรดยูริคที่มีอยู่ในเลือดจะถูกขับออกทางไต ในกรณีที่มี ยูริคมากเกินไป จะทำให้ตกผลึกสะสมอยู่ตามข้อ ผิวหนัง ไต และอวัยวะอื่นๆ ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ได้ ค่าปกติ 2.2 8.1 mg/dl ข้อควรปฏิบัติ * งดอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดอ่อนของผัก (เช่น หน่อไม้ ชะอม ยอดผักโขม เป็นต้น ) เห็ด แตงกวา ถั่วทุกชนิด * งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันการตกผลึกของกรดยูริค
3. การตรวจสมรรถภาพการทำงานของตับ (SGOT and SGPT)
3.1 Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase (SGOT) คือ enzyme ซึ่งอยู่ในเนื้อเยื่อของหัวใจ ตับ กล้ามเนื้อไต สมอง ตับอ่อน ม้าม และปอด หากเนื้อเยื่อเหล่านี้ได้รับอันตราย SGOT ในเลือดจะสูงขึ้น และจะเพิ่มทันทีใน 12 ชั่วโมง แล้วค่อยๆต่ำลงเนื่องจากถูกเผาผลาญไป ค่าปกติ 0 - 37 U/L
3.2 Serum Glutamic Pyruvic Transaminase (SGPT) คือ enzyme ที่พบในตับ หัวใจ กล้ามเนื้อ และไต ใช้ในการหาอาการของตับอักเสบ และบอกได้เฉพาะเจาะจงกว่า SGOT ค่าปกติ 0 - 4 0 U/L
การตรวจหา enzyme SGOT, SGPT เป็นการตรวจเพื่อประเมินสมรรถภาพการทำงานของตับ มักจะพบว่าสูง ในคนที่ดื่มสุรามาเป็นเวลานาน หรือแม้แต่การดื่มเป็นบางโอกาสแต่ปริมาณมาก ก็อาจสูงได้ ในกรณีไม่ดื่มสุรา อาจจะเกิดได้จาก + เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบ B + การรับประทานยาบางอย่างที่มีผลต่อตับ + ถูกผลกระทบจากการสัมผัสสารเคมีบางอย่างโดยสม่ำเสมอ (เช่นการฉีดยาฆ่ายุงโดยที่ไม่มีการป้องกันตัวเอง)
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตน + พักผ่อนให้เพียงพอ + ในผู้ที่ดื่มสุรา ควรงดการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดโดยเด็ดขาดแม้แต่การดื่มในบางโอกาส + หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี หากจำเป็นก็ควรมีการป้องกันตนเองอย่างถูกต้อง + ลดปริมาณอาหารประเภทไขมัน (เพื่อลดการทำงานของตับในระยะที่ตับอักเสบ) + ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป
3.3 Alkaline Phosphatase เป็นเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในเซลทั่วไปโดยเฉพาะจะมีในปริมาณที่เข้มข้นในเซลตับ เมื่อเซลตับมีการบาดเจ็บหรือเกิดความผิดปกติ จะปล่อยเอ็นไซม์นี้ออกมา ทำให้ระดับของ Alkaline phosphatase ในซีรัม (เลือด) สูงขึ้น การตรวจเอ็นไซม์นี้จึงใช้ประกอบเพื่อการบอกถึงสภาพทางพยาธิวิทยาของตับได้ ค่าปกติ 35-110 U/l ข้อแนะนำในการปฏิบัติตนเหมือนกับการปฏิบัติตนในหัวข้อการตรวจ SGOT และ SGPT ข้างต้น
4. การตรวจ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) คือการตรวจขั้นต้นเพื่อหาสารแอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อต่อต้านกับเชื้อซิฟิลิส (Treponema pallidum) ที่อยู่ในเลือด หากพบว่าการตรวจ VDRL ให้ผล Reactive จะต้อง ทำการตรวจอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อยืนยันอีกครั้ง ค่าปกติ Non-Reactive
5. การตรวจ Blood Typing เป็นการตรวจดูกรุ๊ปเลือด (A, B, O, หรือ AB) และ Rh Factor (Positive หรือ Negative) ในทางปฏิบัติ พนักงานทุกคนควรทราบทั้งกรุ๊ปเลือด และ Rh Factor ของตนเอง เพื่อแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้น เช่น เลือดกรุ๊ป O Positive หรือ O Negative เป็นต้น
***** ค่าปกติของผลตรวจเลือดแต่ละโรงพยาบาลอาจจะมีมาตราฐานต่างกันได้เล็กน้อย *****
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคับ อย่างน้อยผลตรวจสุขภาพคราวหน้าก้อน่าสนใจขึ้นบ้างล่ะ
Create Date : 11 กันยายน 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 11 กันยายน 2551 16:04:57 น. |
Counter : 541 Pageviews. |
|
|
|