Okinawa Trip Day 3 : 13 Feb. 2014
วันนี้ต้องรีบตื่นครับ เนื่องจากโปรแกรมที่วางไว้ต้องออกนอกเมืองไปไกล ตั้งนาฬิกาไว้ 6 โมงกว่า พอถึงเวลาก็รีบจัดการตัวเอง ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อแล้วลงไปกินข้าวเช้า อาหารเช้าวันนี้ต่างจากเมื่อวานตรงที่เปลี่ยนจากไว้กรอกเป็นแฮมเบอร์ก จากปลาซาบัเป็นปลาอีกอย่างคล้ายๆซาลมอน(แต่คงไม่ใช่) ครับ แต่โดยรวมก็อร่อยเหมือนเดิมกินเสร็จก็เดินไปรอรถบัสที่ป้าย Asato วันนี้อากาศไม่เป็นใจอีกแล้ว ฝนตกตั้งแต่เช้า ถึงจะไม่หนักมาก แต่ก็ไม่เบาขนาดที่ไม่กางร่มได้ เป้าหมายแรกที่จะไปคือ Ryukyu-mura หมู่บ้านอารยธรรมริวกิว จาก Naha ให้นั่งรสบัสสาย 20 หรือ 120 ไปลงที่ป้าย Ryukyumura ปัญหาคือรถมาไม่ถี่ครับ เฉลี่ยนประมาณครึ่งชั่วโมงต่อคันได้ เลยต้องรีบมารอที่ป้ายเร็วหน่อยครับ มาถึงที่ป้าย Asato ประมาณ 7 โมงครึ่ง ถ้าตามกำหนดการ คันต่อไปจะมาตอน 7 โมง 49 ก็รอกันไปท่านกลางสายฝน พอได้เวลาก็เห็นสาย 20 มาแต่ไกล ปกติรถบัสที่นี่ไม่ต้องโบก จะเข้าป้ายอย่างเรียบร้อยตลอด ผมก็ยืนรออยู่เฉยๆที่ป้าย ปรากฎว่า สาย 20 แล่นผ่านหน้าไปอย่างสวยงาม ชิบหาxแล้ว!! นั่งมองหน้ากัน 2 คนว่าจะเอาไงดีหว่า ตอนแรกคิดว่าจะไปหารถต้นทางที่ Naha Bus Terminal เลย แต่คิดอีกที รอคันต่อไปดีกว่า ขืนไปแล้วไม่เจอจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็รอครับ เวลาผ่านไปอีกครึ่งชัวโมง สาย 20 คันต่อไปก็มาอีกคัน คราวนี้ไม่รุ้แล้วล่ะว่าคนที่นี่เขาโบกรถเมล์กันหรือเปล่า แต่กะเหรี่ยงสองคันตรงนี้โบกซะสุดแขนเลยครับ ถ้าพลาดคันนี้จบข่าวแน่ๆ สุดท้ายก็ได้ขึ้นรถสมใจ ใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมงก็มาถึงป้าย ryukyumura จนได้วันนี้ดูเงียบๆครับ ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ อาจจะเพราะเป็นวันธรรมดาก็ได้มั้ง แต่มาถึงนี่แล้ว ฝนก็ยังไม่หยุดตก ได้กางร่มกันต่อ หลังจากซื้อตั๋วคนละ 840 เยน ยื่นตั๋วให้คนเฝ้าประตูก็ได้เวลาเที่ยวแล้วครับด้านในเป็นมู่บ้านจำลองถึงวัฒนธรรมริวกิวครับ แต่ละหลังก็จะมีป้ายกำกับเอาไว้ว่าเป็นห้องอะไร มีมาตั้งแต่สมัยไหน คาดว่าของเก่าจริงๆไม่น่าจะเหลือแล้วล่ะ น่าจะโดนทำลายซะราบสมัยสงครามโลกครั้งที่สองตอนแรกๆที่เข้ามาก็เร่งเดินทำเวลาครับ เพราะยังเหลืออีก 2 ที่ที่ต้องไป เดินมาได้ซักพักก็ถึง Pottery zone ด้านในจะมีแต่พวกเครื่องปั้นดินเผา Shisa สัตว์ครึ่งหมาครึ่งสิงโต ตามความเชื่อที่ว่าจะช่วยปกป้องจากพวกวิญญาณที่ชั่วร้ายหรือจะแบบน่ารัก พี่ยุ่นก็ทำได้ฮะพอออกจาก Pottery ก็ใกล้ทางออกแล้ว ดูเวลายังเห็นเวลาเหลืออีกพอสมควรเลยเดินย้อนกลับไปดูตอนต้นให้ทั่วๆอีกทีดีกว่า เดินย้อนผ่าน Pottery ออกไป ได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องสายดังขึ้น เลยเดินเข้าไปดู ก็เจอลุงคนนี้โซโล่อยู่ รอบๆไม่มีแขกคนอื่น เหมือนกับลุงเขาเล่นให้เราสองคนฟังโดยเฉพาะครับพอใกล้เวลาต้องเดินทางต่อก็ออกครับ ใกล้ๆทางออกมาร้านขายของที่ระลึก มองไปด้านบนแอบอมยิ้มไม่ได้ มีภาษาไทยด้วยแฮะ ถึงจะแปลจากพวก Google Translate ก็เถอะ แสดงว่านักท่องเที่ยวไทยดังมาถึงที่นี่เหมือนกันนะเป้าหมายต่อไป จะไปกันต่อที่ผา Manzamo จาก Ryukyu-mura นั่งรถบัสสาย 120 ลงที่ป้าย Onna-son Yakuba-mae ใช้เวลาประมาณ 22 นาที ช่วงก่อนถึง ป้ายรถจะอยู่กันถี่ๆ ต้องสังเกตดีๆครับ ลงมาที่ป้ายเดินต่ออีกนิดนึงจะเจอสี่แยก ด้านขวาจะมีร้าน Lawson ด้านหน้าจะมีป้ายบอกทางเขียนไว้ชัดเจนว่า Cape Manzamo ถ้าเห็นแสดงว่าลงถูกป้ายแล้วล่ะจากสี่แยก เดินเข้าไปตามป้ายประมาณ 700 เมตรก็ถึงแล้วครับ ด้านในจะมีทางเล็กๆให้เดินชมหน้าผา ส่วนตัวเห็นผา Manzamo ครั้งแรกนึกถึงรูปงวงช้าง แต่ลองค้นๆดู เหมือนจะไม่มีใครเรียกผางวงช้างเลยแฮะ ^_^" น้ำทะเลสีเข้มมาก คิดว่าน่าจะลึกเอาการ แต่ทางเดินสั้นๆ เดินไม่นานก็หมดครับเดินกลับออกมาถึงสี่แยก ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว เลยเดินเข้า Lawson ได้ข้าวปั้นมาประทังชีวิต อย่างนึงที่ชอบคอนวิเนี่ยนสโตร์ของญี่ปุ่นก็เรื่องห้องน้ำนี่แหละ มีห้องน้ำให้เข้าไปแทบทุกร้าน ปัญหาเรื่องหาห้องน้ำเข้าไม่ได้เลยแทบไม่มี เสร็จแล้วก็เดินกลับมารอรถที่ป้าย Onna-son Yakuba-mae ป้ายเดิมครับ มองไปรอบๆก็อดคิดไม่ได้ว่า ขนาดออกมานอกเมือง บ้ายเมืองเขายังดูสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบจังแฮะรอรถอยู่พักใหญ่ๆ สาย 120 ที่ต้องการก็มาพอดี นั่งลงไปถึงสุดสายที่ Nago Bus Terminal แล้วต่อสาย 65, 66, 70 ลงที่ป้าย Kinen Koen-mae หรือ Ocean Expo Park ตอนแรกนึกว่าจะหารถลำบาก แต่พอมาถึง Nago Bus Terminal ปรากฎว่าเล็กกว่าที่คิด หารถง่ายมากครับ มีป้ายบอกชัดเจน จากนี่นั่งรถกว่าจะถึง Kinen Koen-mae ใช้เวลาอีกเกือบๆชัวโมงครับ เรียกว่านั่งรถกันยาวเลยวันนี้ แต่ที่แย่คือตั้งตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้บ่าย 3 เข้าไปแล้ว ฝนก็ยังตกไม่หยุดซักทีพอถึงป้าย Kinen Koen-mae ก็ลงแล้วเดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามก็ถึง ถ้าฝนไม่ตกคงถ่ายรูปได้เยอะกว่านี้ น่าเสียดายเหมือนกันเช็คเวลาดูปรากฎว่าใกล้จะถึงเวลาที่มีการแสดงโลมา เลยเข้าไปดูกันก่อน ก็คล้ายๆกับโชว์โลมาบ้านเราน่ะครับ แต่คนดูเยอะเหมือนกัน มีนักเรียนมาทัศนศึกษาด้วย เลยคนเต็มที่นั่งเลยดูไปแป๊บนึง รู้สึกถึงมีสายตาที่จ้องมองมาอยู่ ด้านหน้าเองครับ มีเด็กญี่ปุ่นมองมาที่แฟนผมตลอดเลย สงสัยไม่เคยเห็นของแปลกเนอะ ก็น่ารักดีครับโชว์ประมาณ 15 นาทีก็จบการแสดง ทีนี้ได้เวลาไปดูใน Aquarium แล้ว จากที่โชว์โลมาวิ่งฝ่าฝนเข้าไป เปียกเอาการเลยทีเดียว ร่มที่เอาไปก็โดนลมจะจนพัง แต่ที่ Aquarium ถ้าเข้าหลังสี่โมงเย็นจะได้ลดราคา ตอนที่ผมเข้าไปก็สี่โมงนิดๆแล้ว จากตั๋วลดราคาที่ซื้อที่สนามบิน ก็ได้ลดราคาซ้ำอีกรอบ แฟร์มากๆครับ เดินเข้ามาด้านในจะเป็นอ่างของพวกปลาดาวกับปลิงทะเล ที่อนุญาตให้จับเล่นได้ แต่ห้ามยกขึ้นมาเหนือน้ำนะ ลองจับปลิงทะเลดู รู้สึกหยุ่นๆหยึยๆยังไงก็ไม่รู้แฮะด้านในก็คล้ายๆพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบ้านเรา คือมีตู้สัตว์น้ำย่อยๆ แบ่งเป็นประเภทๆ แต่ตามกำแพงจะมีแผ่นแข็ง พิมพ์อย่างดี พิมพ์พวกความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำให้หยิบได้ฟรีๆครับ อยากให้บ้านเราสนับสนุนด้านการศึกษาแบบนี้บ้างจังเจอตู้นึงมีปลาประหลาดดี คล้ายๆหนอน ฝั่งตัวอยู่ในทราย โผล่มาแต่หัว พอปลาตัวอื่นว่ายมาใกล้ก็หดตัวไปแอบในทราบ ซักพักก็โผล่หัวออกมาเหมือนเดิมแล้วก็มาถึงพระเอกของที่นี่ บ่อรวมขนาดใหญ่ครับ ข้างในมีปลาเต็มไปหมด เท่าที่เห็นก็พวกทูน่า ปลาวาฬ กระเบน มีโลมาจอมซ่า 2 ตัวว่ายโฉบไปโฉบมาในนั้นด้วยพอถึง 5 โมงเศษๆก็ได้เวลากลับครับ เดินออกมาจากสวนน้ำ แล้วข้ามถนนไปรอรถบัสที่ฝั่งตรงข้าม รอรถกันนานเหมือนกันเพราะรถน้อยครับ แถมฝนยังตกไม่หยุด เล่นเอาเกือบป่วยไปเหมือนกัน รออยู่พักใหญ่ๆสาย 70 ก็มา ขึ้นไปนั่งลงที่ Nago Bus Ternimal เสร็จแล้วต่อรถสาย 120 ไปลงที่ป้าย Asato กว่าจะถึงก็เกือบๆสี่ทุ่ม ร้านใน Kokusai-dori หลายๆร้านก็เริ่มปิดกันแล้ว สุดท้ายเลยได้ของกินจาก Family Mart เป็นมื้อเย็นแทนวันนี้ถึงจะนั่งรถซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เหนื่อยไม่น้อยเลยครับ แถมค่ารถก็อ่วมเอาการ รวมๆวันเดียวน่าจะเสียค่ารถหลายพันเยนอยู่ แต่ก็ครั้งหนึ่งในชีวิตนะครับ ไม่รู้จะได้มาที่นี่อีกรึเปล่า จัดการมื้อเย็นก็นั่งเล่นนอนเล่นซักพักก็ได้เวลานอนครับ เก็บแรงไว้ลุยวันพรุ่งนี้ต่อ :)