|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
เมื่อข้าพเจ้าวิ่งไล่ดวงอาทิตย์ (1)
สู้ๆครับ อีกไม่ไกลแล้ว
ตั้งแต่เริ่มเดินขึ้นภูมาเกือบสองชั่วโมง ผมได้ยินคำพูดทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง และก็ได้รู้หลังจากนั้นไม่นานว่ามันเป็นแค่คำพูดที่มีไว้เพื่อให้กำลังใจคนที่กำลังยืนหอบแฮ่กๆอยู่บนเนินเขาอย่างพวกเรา มากกว่าที่จะหมายความตามนั้นจริงๆ
ผมยกนาฬิกาขึ้นดูพร้อมทั้งจิบสปอนเซอร์ เพิ่งรู้ว่าตัวเองใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด (กูแก่แล้วใช่มั๊ย) แม้จะเหนื่อยแต่ลมหนาวที่โชยมาบาดผิวหนังเป็นระลอก ทำให้ผมไม่มีเหงื่อสักหยดเดียว เส้นทางสองข้างทางช่างแห้งแล้ง แต่เหน็บหนาว มองเห็นใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นลงบนพื้น รอให้นักท่องเที่ยงเดินเหยียบย่ำผ่านไปอย่างไม่แยแส
คู่รักที่นั่งพักอยู่ใกล้ๆผม เริ่มหยิบน้ำดื่มและลูกอมมาป้อนให้แก่กัน ฝ่ายหญิงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูขึ้นมาซับเหงื่อให้กับไอ้หนุ่มหน้าจืดที่ตอนนี้เหนื่อยจนหน้าแดงแป้ด ผมทนดูอยู่ไม่ถึงนาทีก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินต่อ...กลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวเผลอกระโดดถีบสองคนนั่นตกหน้าผาไปทั้งคู่
เคล็ดลับที่ผมได้เรียนรู้จากเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมาคือ จงเดินอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวตามสภาพร่างกายตัวเอง ไม่ต้องแข่งขันทำสถิติโลกกับชาวบ้านที่ไหน ถึงจะขึ้นเร็วกว่าชาวบ้านเขาชั่วโมงนึงมันก็ไม่ได้ทำให้คุณแมนมากขึ้นหรือมีสาวที่ไหนมาตามกรี๊ดหรอกนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดขึ้นเป็นลมขึ้นมากลางทางต้องให้เพื่อนๆหามลงเขา...อันนี้แหละมีเฮแน่ๆ
อีกสาเหตุนึงที่เราไม่ควรรีบขึ้นสู่ยอดภูอย่างเดียว นั่นเพราะตลอดสองข้างทางมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง(นอกเหนือจากเหล่านักท่องเที่ยวที่หมดแรงนั่งเรียงรายลิ้นห้อยอยู่ตามสองฝั่งทางเดิน)รอให้เราค้นพบ การมุ่งแต่จะไปสู่จุดสูงสุดจะทำให้เราพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นไปอย่างไม่รู้ตัว
ผมเดิน วิ่ง คลาน ปีนป่าย ตะกาย เลื้อย เป็นเวลาราวสามชั่วโมงกว่าๆก็สามารถถึงหลังแป(ยอดภู) ได้สำเร็จ เรียกได้ว่าเป็นการใช้พลังเฮือกสุดท้ายอย่างแท้จริง ข้าวเหนียวส้มตำที่ตกถึงท้องเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หันไปทางไหนก็มีแต่คนยืนน้ำตาไหลพรากถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตภูกระดึง(อย่างกะพิชิตเอเวอร์เรสต์)
สภาพอากาศป่าข้างบนมีทั้งป่าสนและป่าดิบแล้ง เต็มไปด้วยต้นสนภูเขารูปร่างสวยงามยืนเรียงต้นท้าทายลมหนาว รู้สึกตื่นตาตื่นใจดีทีเดียว (คนที่เจอแต่ทะเลอย่างผมย่อมตื่นเต้นเป็นพิเศษ)
ถึงที่ทำการอุทยาน ผมรีบจองที่กางเต้นท์ บนลานมีเต้นท์ที่กางแล้วเรียงตัวกันอยู่ห่างๆ ผิดจากที่คาดเดาไว้ตอนแรก คิดว่าจะมีคนเยอะเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปลายปี
ผมเลือกทำเลกางเต็นท์ใต้ต้นสนต้นใหญ่ เสร็จแล้วออกไปหาอะไรทานตรงโซนร้านค้า ราคาอาหารที่นี่ไม่แพงอย่างที่คิดเมื่อเทียบกับการแบกหามขึ้นที่สูงมาเกือบ10กิโลเมตร(จานนึงก็ราว40-50 บาท) คุณป้าเจ้าของร้านทักทายและชวนคุยอย่างเป็นมิตร
กลับไปที่เต้นท์ พบว่าที่ว่างข้างๆมีคนมากางเต้นท์ไปแล้วเรียบร้อย และพี่แกก็เริ่มตั้งวงกินเหล้าเคล้าเสียงเพลงกันตั้งแต่บ่ายสาม เริ่มหวั่นใจว่าคืนนี้จะได้นอนหลับเป็นปกติสุขรึเปล่าหนอ ตอนแรกกะว่าจะผูกมิตรกับเต้นทท์ข้างๆ แต่พอเห็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งค์นั้นยกขวดแสงโสมขึ้นกระดกเพียวๆ ก็เปลี่ยนความคิดทันที ขอแค่พวกคุณ(มึง)อย่าโหวกเหวกโวยวายตอนดึกๆก็จะขอบพระคุณอย่างสูงแล้ว
ตอนเย็นๆตัดสินใจเช่าจักยานปั่นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาใกล้ๆ(ข้างบนนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่องพระอาทิตย์ขึ้น-ตก มากกว่าเรื่องการอาบน้ำ) ถนนเส้นเล็กๆที่ตัดผ่านป่าสนทำให้การปั่นจักรยานนั้นแสนจะเพลิดเพลินด้วยทิวทัศน์สองข้างทางที่สวยจับใจ ผู้คนที่ร่วมเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันต่างก็ยิ้มแย้ม และไม่หวงแหนรอยยิ้ม
ดวงอาทิตย์กลมโตกำลังลับลาฟากฟ้าไปอย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กที่รอคอยชมพระอาทิตย์ตกอย่างสงบต่างก็รีบกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพเบื้องหน้ากันมือเป็นระวิง ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกถูกย้อมสีกลายเป็นสีส้มสด จากความสูงกว่าหนึ่งพันเมตร มองเห็นภาพโลกเบื้องล่างกำลังล่ำลาแสงสุดท้ายของวันอย่างอาลัยอาวรณ์
และทันทีที่ดวงอาทิตย์ลับหายไปจากท้องฟ้า ความมืดและความเหน็บหนาวก็ไล่หลังมาจนทำให้หลายๆคนหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมแทบไม่ทัน
ผมใส่ถุงมือและรูดซิปเสื้อแจ็คเกตที่สวมอยู่จนสุด รีบปั่นจักยานกลับที่พัก มองไปข้างหน้าแลเห็นทิวสนทะมึนอยู่ในความมืด มีสำแสงจากไฟฉายของนักท่องเที่ยวด้านหน้าส่องแสงอยู่วิบวับ ให้อารมณ์แปลกประหลาดราวกับตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกนิทาน.
Create Date : 26 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2551 13:34:02 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2500 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นู๋ที วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:08:36 น. |
|
|
|
โดย: subda7 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:21:07:14 น. |
|
|
|
| |
|
|